บทที่ 19 : การประเมินขั้นสุดท้าย
บทที่ 19 : การประเมินขั้นสุดท้าย
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเช้าตรู่ นอกจากนี้ยังเป็นวันที่สิบตั้งแต่ที่โม่ซิ่วมาฝึกที่ชั้นเรียนระดับสูง
ในวันที่สี่ หลังจากการต่อสู้แบบกลุ่ม หวังเล่ยได้ตั้งเปลี่ยนการทดสอบเล็กน้อยซึ่งมันทําให้เขาบาดเจ็บ
ดังนั้นทั้งสี่คนจึงรู้สึกกระวนกระวายใจมาก หากพวกเขาไม่สามารถทำลายการป้องกันของหวังเล่ยได้ พวกเขาจะเอาชนะเขาได้ยังไง?
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หวังเล่ยและหวังหยูไม่ได้กำหนดอะไรใหม่ๆและปล่อยให้ทั้งสี่คนฝึกฝนได้อย่างอิสระ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาต้องการท้าสู้ หวังเล่ยก็จะสู้กับพวกเขา
ทั้งสี่คนนั้นเคยต่อสู้กับหวังเล่ยมาแล้วสามครั้ง แต่ผลลัพธ์นั้นก็เป็นเหมือนเดิมคือทุกครั้งพวกเขาจะถูกจัดการจนไม่สามารถโต้กลับไปได้
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา พวกเขาทั้งสี่คนเลือกที่จะไม่ท้าสู้กับหวังเล่ยอีกต่อไป แต่พวกเขาเริ่มสู้กันเองซึ่งทําให้หวังเล่ยประหลาดใจเล็กน้อย
มีบางอย่างที่ทําให้โม่ซิ่วรู้สึกแปลกๆในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
เพราะเจิ้งอี้ได้ส่งข้อความมาหาเขาเมื่อห้าวันก่อนว่าที่โรงเรียนกําลังเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับเขา แต่โม่ซิ่วได้บอกเจิ้งอี้ไปว่าอย่าไปสนใจข่าวบ้าๆบอๆนั่น
ด้วยนิสัยของเจิ้งอี้ เขาจึงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆแต่ถึงอย่างนั้นก็เขาไม่ได้รับข่าวใดๆจากโม่ซิ่วเลยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
เมื่อคืนโม่ซิ่วถามเจิ้งอี้ไปว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่โรงเรียนหรือไม่?
เจิ้งอี้ตอบกลับมาเพียงสองคําว่า "ไม่มี"
สัญชาตญาณของโม่ซิ่วนั้นกำลังบอกเขาว่า เจิ้งอี้คงจะสบายดี เพราะถ้าไม่เจิ้งอี้คงไม่พิมมาแบบนี้ ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการประเมินในวันนี้เขาจะทักไปหาเจิ้งอี้เพื่อความชัวร์อีกครั้ง
ซึ่งการประเมินนั้นจะเริ่มในเวลา 9 โมงเช้า
นอกจากหวังเล่ยและหวังหยูแล้ว ยังมีอีกคนที่โม่ซิ่วคุ้นหน้าเป็นอย่างดี
ซึ่งก็คืออาจารย์ถัง!
โม่ซิ่วนั้นสงสัยว่าทําไมอาจารย์ถังถึงได้ไม่เคลื่อนไหวเลยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่จู่ๆกลับมาปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้
นอจากโม่ซิ่วแล้ว มู่ชิงอี้ หลิวซี่หยาง และ เย่หยวนดูจริงจังมากเมื่อพวกเขาได้เห็นอาจารย์ถังปรากฏตัวขึ้น
อาจารย์ถังนั่งลงและพูดว่า “ตามสบายเถอะ ฉันแค่มาที่นี่เพื่อดูเท่านั้น พวกเธอก็แค่ทำตัวตามปกติเท่านั้นเอง”
ส่วนหวังเล่ยเดินเข้าไปที่ตรงกลางและพูดว่า "พวกเธอจะได้การยอมรับจากองค์กรณ์เงาหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้ว"
พวกเขาทั้งสี่คนก้าวออกมาข้างหน้าโดยที่มีโม่ซิ่วยืนอยู่ด้านหน้าสุดและพูดว่า "เริ่มกันเลยไหม?"
หวังเล่ยผายมือออกแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นกฎก็เหมือนเดิม ฉันจะใช้แค่พลังเดียวเท่านั้น ถ้าหากพวกเธอทำให้ฉันเจ็บได้พวกเธอก็ชนะ เอาล่ะถ้าอย่างนั้นก็มาเริ่มกันเลยเถอะ”
โม่ซิ่วเปิดใช้งานพลัง “ก้าวข้ามขีดจำกัด” หลังจากนั้นลำแสงสามดวงก็ลอยขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าของเขาซึ่งเป็นแสงของธาตุเหล็กสามแสงที่ซ้อนกันอยู่บนร่างของโม่ซิ่ว เป็นผลให้พลังโจมตีของเขาสูงขึ้นมาก
หวังเล่ยหรี่ตาลงซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คิดว่าพลังของเย่หยวนจะสามารถใช้แบบนี้ได้ด้วย
ถ้าหากเป็นแบบนี้ ด้วยพลังโจมตีในตอนนี้ของโม่ซิ่วอย่างสุดกำลังมันอาจทำลายเกราะไฟของเขาได้
หวังเล่ยไม่อยู่เฉยๆเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่เขากลับเริ่มที่จะเปิดฉากโจมตีใส่โม่ซิ่วก่อน
โม่ซิ่วได้ใช้วิชามวยไทเก็ก ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเพียงศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน แต่ก็มันมีจุดอ่อนที่ค่อนข้างน้อยและใช้โจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
ส่วนการเคลื่อนไหวของหวังเล่ยนั้นเป็นรูปแบบการต่อสู้ของนักรบทั่วไป ซึ่งทุกการเคลื่อนไหวนั้นจะมุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนของโม่ซิ่ว นอกจากนี้เขายังพยายามทำทุกอย่างให้ง่ายขึ้นและตัดการเคลื่อนไหวที่ไม่จําเป็นออกไป
แม้ว่าโม่ซิ่วจะเพิ่มพลังโจมตี แต่เขาจะเสียเปรียบหลังจากที่โจมตีมาได้สองครั้ง
ในขณะเดียวกัน มู่ชิงอี้ได้เริ่มขว้างดาบสั้นเพื่อขัดขวางหวังเล่ย ในขณะเดียวกันหลิวซี่หยางก็กำลังเดินวนไปรอบๆเพื่อหาโอกาสโจมตีหวังเล่ยเป็นครั้งคราว ส่วนเย่หยวนนั้นกำลังหาโอกาสเพื่อวางกับดักอื่นๆ
นี่เป็นวิธีที่พวกเขาใช้อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี
หวังเล่ยได้กล่าวว่า “เฮอะ น่าเบื่อจริงๆ ช่วยวางแผนอะไรให้มันดีๆหน่อยได้มั้ย?!”
เมื่อเห็นว่าพวกเขายังคงทำแบบเดิม หวังเล่ยจึงค่อยๆผ่อนคลายลงและจะเล่นกับพวกเขาอีกสักพัก จากนั้นเมื่อเขาจึงจะจัดการกับทั้งสี่คนให้พร้อมกันในทีเดียว
ขณะที่หวังเล่ยกําลังผ่อนคลาย จู่ๆเขาก็สังเกตุว่ารูปแบบการโจมตีของโม่ซิ่วเปลี่ยนไป...
“ไอ้หนู นี่นายคิดจะใช้ฉันเพื่อฝึกงั้นเรอะ?!”
ในที่สุดหวังเล่ยก็เริ่มรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวโม่ซิ่วนั้นคือการโจมตีที่ตัวเขาเองเคยใช้มาก่อน
โม่ซิ่วได้เรียนรู้เทคนิคของคู่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลาเพื่อทำให้ตัวเขาแข็งแกร่งขึ้น จนแม้แต่หวังเล่ยเองก็ถึงรู้สึกตกใจในความสามารถของโม่ซิ่ว
เมื่อเป็นเช่นนี้หวังเล่ยจึงเปลี่ยนใจทันที เขาไม่ต้องการทำเหมือนเล่มอีกต่อไปและต้องการจบการต่อสู้นี้โดยเร็วที่สุด
ดังนั้นหวังเล่ยจึงเริ่มโจมตีอย่างสุดพลัง ซึ่งทำให้โม่ซิ่วรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทันที
"หลิวซี่หยาง ช่วยฉันด้วย!"
เมื่อหลิวซี่หยางได้ยินแบบนี้ เขาจึงพุ่งไปข้างหน้าทันทีด้วยที่ถือดาบสั้นเอาไว้และโจมตีไปที่หวังเล่ยสามครั้ง
แต่เนื่องจากหวังเล่ยต้องการกําจัดโม่ซิ่ว นอกจากนี้หลิวซี่หยางก็ไม่สามารถทะลวงการป้องกันของเขาไปได้อยู่แล้ว ดังนั้นหวังเล่ยจึงไม่สนใจเขา
ทันใดนั้นโม่ซิ่วก็เริ่มโซเซและถูกหวังเล่ยต่อย หลังจากที่กระเด็นถอยหลังออกไปเล็กน้อย โม่ซิ่วก็ชกไปที่หลิวซี่หยางทันที
หวังเล่ยนั้นคิดว่าโม่ซิ่วเป็นบ้าไปแล้ว เพราะเขาถึงกับทำร้ายตีสมาชิกในทีมของเขาเองโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไป
แต่จู่ๆวิชา “ร่างเงา” ของหลิวซี่หยางก็ถูกใช้งานหลังจากที่ถูกโม่ซิ่วโจมตี ซึ่งทันใดนั้นเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นด้านหลังหวังเล่ย
แสงสีทองสองดวงส่องกระพริบพร้อมกับพลังธาตุเหล็กทั้งสองที่ถูกเปิดใช้งานบนร่างของหลิวซี่หยาง
ในตอนนี้หวังเล่ยรู้ตัวแล้วว่าเขานั้นถูกหลอก ซึ่งโม่ซิ่วนั้นจงใจโจมตีใส่หลิวซี่หยางเพื่อให้เขาใช้วิชา “ร่างเงา” ซึ่งการที่โม่ซิ่วเดินโซเซมันอาจจะเป็นการส่งสัญญาณไปยังเย่หยวนและหลิวซี่หยาง
ระหว่างการต่อสู้เมื่อไม่กี่วันก่อน หวังเล่ยได้รู้ว่าการโจมตีครั้งแรกของหลิวซี่หยางหลังจากใช้วิชา “ร่างเงา” จะทำให้พลังโจมตีเพิ่มขึ้น และในตอนนี้ด้วยการเสริมพลังของธาตุเหล็ก จึงทำให้พลังโจมตีของเขาไม่น้อยไปกว่าโม่ซิ่วไปแม้แต่น้อย
หวังเล่ยที่กำลังหลังกลับไปเพื่อป้องกันตัวเอง แต่เขากลับถูกโม่ซิ่วรั้งตัวเอาไว้
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เตะหลิวซี่หยางออกไป แต่เขาก็ใช้พลังส่วนใหญ่ของเขาไปแล้ว ซึ่งทำให้ดาบสั้นของหลิวซี่หยางนั้นทำอะไรเขาไม่ได้
เมื่อเห็นว่าโจมตีไม่สำเร็จ โม่ซิ่วจึงปล่อยเขาไป ในขณะเดียวกันหวังเล่ยก็หันกลับมาและเตะหลิวซี่หยางให้กระเด็นออกไปไกลๆ
ในขณะเดียวกัน มู่ชิงอี้ที่หลบอยู่ในเงามืดได้ปาดาบสั้นสามเล่มออกไป
ดาบสั้นสองเล่มนั้นพุ่งแหวกอากาศไปและปรากฏขึ้นต่อหน้าหวังเล่ยซึ่งมันพุ่งมาจากจุดอับสายตาของเขา ดังนั้นหวังเล่ยจึงทำได้เพียงต้องถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว
ส่วนดาบสั้นเล่มสุดท้ายที่พุ่งเข้ามานั้น โม่ซิ่วคว้ามันเอาไว้ได้
เนื่องจากหวังเล่ยถอยหลังไปหนึ่งก้าว จงทำให้โม่ซิ่วมีพื้นที่มากพอที่จะออกแรงได้
พลังทั้งหมดของเขาเพิ่มขึ้น 100% การซึ่งมันได้เพิ่มความเร็วในการโจมตีของเขาด้วยเช่นกัน เมื่อรวมกับพลังการป้องกันที่เพิ่มขึ้นด้วย เขาจึงสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก
โม่ซิ่วดึงเอาพลังทั้งร่างกายของตั้งแต่ส่วนเท้าจนถึงเอวของเขา จากนั้นจึงรวมพลังจากที่เอวขึ้นมาถึงแขน
"ชั้วะ!!!"
โม่ซิ่วโจมตีหวังเล่มด้วยดาบสั้นอย่างสุดแรงเกิดทันที
ทันใดนั้นเลือดหยดหนึ่งได้ไหลออกมาจากแขนของหวังเล่ย
พวกเขาทำได้แล้ว!
ทั้งสี่คนได้ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้แล้ว!
"สำเร็จแล้ววว!!!"
หลิวซี่หยางและเย่หยวนต่างโผกอดกันด้วยความดีใจ ส่วนมู่ชิงอี้ก็วิ่งไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น
อาจารย์ถังและหวังหยูต่างก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน เพราะคนทั้งสี่นี้ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมากในช่วงสิบวันที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน หวังเล่ยได้ถอดชุดเกราะของเขาออกและปรบมือ
“พวกเธอทำได้ดีมากจริงๆ ดูเหมือนพวกเธอจะทุ่มการโจมตีทั้งหมดที่ครั้งสุดท้ายสินะ”
“เย่หยวนใช้พลังธาตุเหล็กห้าครั้งอันเพื่อเพิ่มพลังโจมตีของโม่ซิ่วและหลิวซี่หยาง ในขณะเดียวกันหลิวซี่หยางได้ใช้การโจมตีของโม่ซิ่วเพื่อใช้วิชา”ร่างเงา“จนเกือบจะทําร้ายฉันได้”
หลิวซี่หยางและเย่หยวนยิ้มจนแทบจะฉีกไปถึงหู
“ส่วนมู่ชิงอี้ ได้ใช้ดาบสั้นสองเล่มปามาจากจุดอับสายตาของฉัน และให้ดาบสั้นเล่มสุดท้ายไปอยู่ที่โม่ซิ่วได้อย่างสมบูรณ์”
ทุกคนต่างมองไปที่โม่ซิ่ว เพราะทุกคนรู้ว่าโม่ซิ่วนั้นเป็นคนที่สำคัญที่สุดของแผนการนี้
แต่โม่ซิ่วยังคงยืนอย่างสงบราวกับว่าเขาไม่ได้ขยับเลยตั้งแต่ทำให้หวังเล่ยบาดเจ็บได้
ที่จริงแล้วโม่ซิ่วเองก็กำลังช็อกอยู่ เพราะสิ่งที่ทําให้เขาตกใจนั้นไม่ใช่การเอาชนะหวังเล่ยได้
แต่ในขณะที่เขาใช้พลัง “ก้าวข้ามขีดจำกัด” เพื่อโจมตีหวังเล่ยด้วยพลังทั้งหมดของเขา ลำแสงสีทองก็สว่างวาบขึ้นมาในใจของเขา
พลังของเขาได้รับการอัพเกรด...