ตอนที่แล้วบทที่ 17 ข้าร่ายเวทย์ได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19 แสงศักดิ์สิทธิ์

บทที่ 18 ผู้ศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง


เวทย์ชำระล้างเป็นเวทย์ระดับ 1 ที่เรียนรู้ได้ง่ายมาก อังเกอร์เกอร์จึงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นโครงกระดูกปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากมือ เนเกริสรู้สึกชอบใจและปลาบปลื้มในรสนิยมแปลกๆ ของตัวเอง

บางคนบอกว่าเวทย์ชำระล้างเป็นเวทย์สะสางสิ่งไม่ตาย ซึ่งสิ่งไม่ตายไม่สามารถเรียนรู้ได้ เนเก

ริสหัวเราะเยาะความคิดนั้น แสงเอาชนะความมืดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่แสงเอาชนะวิญญาณนั้นเป็นความเข้าใจผิดที่เป็นที่นิยม มันมาจากที่วิญญาณไม่ชอบแสงแดดเป็นหลัก

แต่คนเป็นก็ไม่ชอบแสงแดดไม่ใช่เหรอ? ลองเอาคนไปตากแดดตอนเที่ยงวันหน้าร้อน ซักสองชั่วโมงดูสิ จะพูดได้แค่ว่าคนเป็นทนแสงแดดได้มากกว่าเท่านั้นเอง

จากประวัติศาสตร์ที่เนเกริสรู้ เวทย์ชำระล้างที่สามารถต่อกรกับวิญญาณได้นั้นก็เพราะมันเป็นเวทย์แสง 'ศักดิ์สิทธิ์'

เวทย์แสงที่มีคำว่า 'ศักดิ์สิทธิ์' เพิ่มเข้ามา ก็แสดงว่ามันเป็นเวทย์ที่เกี่ยวข้องกับพลังศักดิ์สิทธิ์ ที่มีพลังความคิดบางส่วนฝังอยู่ เวทย์แสงศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงแต่ต่อกรกับวิญญาณ แต่ยังต่อกรกับสิ่งนอกรีตทั้งหมด รวมถึงปีศาจและสิ่งมีชีวิตจากธาตุด้วย

เพียงแค่ไม่ให้มี 'ความคิด' ที่มุ่งร้ายแบบนี้มาร่วมด้วย เวทย์แสงศักดิ์สิทธิ์ก็จะกลายเป็นเวทย์แสงธรรมดาทั่วไป

เด็กหญิงดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านการชำระล้างเพียงแก้วเดียว อาการทั้งหลายก็หายไปอย่างรวดเร็ว นอนหลับสบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เด็กชายถอนหายใจด้วยความโล่งอก ซาบซึ้งใจยิ่งนัก เขาหมอบกราบขอบคุณอังเกอร์ไปมา ทุกอย่างที่อังเกอร์ทำตั้งแต่การเรียกฝนไปจนถึงการชำระล้าง เขาเห็นกับตาทั้งหมด นี่ทำให้เขารู้ว่าผู้ที่ช่วยน้องสาวของเขาไม่ใช่กองเพลิงบนแท่นบูชา แต่เป็นโครงกระดูกที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก

อีกสองดวงวิญญาณลอยออกมาจากร่างของเขา ไม่ได้พุ่งเข้าสู่ไฟศักดิ์สิทธิ์แห่งวิญญาณ แต่กลับเข้าสู่ร่างของอังเกอร์โดยตรง

เห็นได้ชัดว่าสองดวงวิญญาณนั้นพันธนาการและก่อตัวขึ้นในวิญญาณของอังเกอร์ กลายเป็นสัญลักษณ์ประหลาดลอยอยู่เหนือเปลวไฟที่ลุกโชนออกมาจากหัวใจแห่งวิญญาณของเขา

เมื่อเล่าการเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดนี้ให้เนเกริสฟัง ก็ได้ยินเสียงอิจฉาของมังกรทองเหสำริดดังขึ้น "ไอ้หมอนี่มันช่างโชคดีเหลือเกิน เจ้าได้รับศรัทธาของเขาแล้ว ตั้งแต่นี้ไป เขาจะเป็นผู้ศรัทธาของเจ้า เป็นผู้ศรัทธาผู้บ้าคลั่ง ไอ้หมอโชคดี เจ้าไม่มีแม้แต่กายเทพ เจ้าเป็นเพียงเทพปลอม แล้วเจ้ายังขโมยเครือข่ายวิญญาณอีก ช่างน่าสมเพชจริงๆ!"

คำว่า "น่าสมเพช" ในภาษาเวทมนตร์มีความหมายแฝงถึงการดูหมิ่นและการสังหาร เมื่อใช้เพียงลำพังจะมีผลในการเน้นย้ำอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรง บ่งบอกว่าเนเกริสกำลังอารมณ์เสียมากและอยากด่าทอใครสักคน

เนเกริสเคยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้ากับผู้ศรัทธาอย่างลึกซึ้ง สรุปได้ว่า ไม่ใช่เทพเจ้าที่สร้างผู้ศรัทธา แต่เป็นผู้ศรัทธาต่างหากที่สร้างเทพเจ้า

เหมือนกับตัวเนเกริสเอง เดิมทีเขาก็เป็นเพียงมังกรทองสำริดที่มีความรู้กว้างขวางเท่านั้น แต่เพราะมีผู้ศรัทธาในตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ สะสมมาวันแล้ววันเล่า ในที่สุดเขาก็จุดไฟศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ

แต่ถ้าพูดตามตรง เทพแห่งความรู้อย่างเขานั้นก็เป็นเทพที่ค่อนข้างจะปลอมๆ เสียหน่อย การจุดไฟศักดิ์สิทธิ์ต้องอาศัยการสะสมเป็นวันๆ เดือนๆ อาศัยการมีชีวิตอยู่นานพอ จนกระทั่งเมื่ออายุราว 8,000 ปี เขาจึงสามารถจุดไฟศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ สาเหตุที่แท้จริงก็คือเขาไม่มีผู้ศรัทธาที่บ้าคลั่ง

ลองคิดดูสิ ในบรรดาคนที่ศรัทธาในความรู้ จะมีสักกี่คนที่บ้าคลั่งได้ขนาดนั้น? พวกปัญญาชนเลวยิ่งกว่าพวกผู้ชายชั่วๆ เสียอีก เมื่อวานยังสาบานด้วยสีหน้ามั่นใจว่าโลกแบนอยู่เลย แต่วันนี้เมื่อได้รับหลักฐานมากพอ ก็พร้อมจะกลืนคำพูดที่พูดไปทั้งหมดเสียสนิท

สิ่งที่พวกเขาศรัทธาคือความจริง ไม่ใช่มังกรทองสำริดที่ถ่ายทอดความรู้ให้พวกเขา

แต่ความจริงนั้นมีนับพันนับหมื่น และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ตามหลักแล้วน้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำ แต่ในบางมิติแห่งห้วงลึก น้ำกลับไหลขึ้นสู่ที่สูง เพราะในห้วงลึกนั้นมีปรอทเหลวเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ จึงทำให้น้ำลอยอยู่เหนือปรอท

มนุษย์มีชีวิตสั้น อายุขัยเฉลี่ยเพียงสี่ห้าสิบปี แต่กลับสร้างสรรค์เทพเจ้าขึ้นมามากมาย เพราะอะไร? ก็เพราะพวกเขามีผู้ศรัทธาที่บ้าคลั่งจำนวนมาก

หากกล่าวว่าผู้ศรัทธาสร้างเทพเจ้า งั้นผู้ศรัทธาที่บ้าคลั่งคือกุญแจสำคัญในการสร้างเทพ เพราะพวกเขาจะเผยแพร่เรื่องราวของคุณออกไป ชักชวนให้ผู้คนอื่นๆ มาศรัทธาในตัวคุณมากขึ้น ดังนั้น ผู้ศรัทธาที่บ้าคลั่งมักจะเป็นกุญแจสำคัญในการจุดไฟศักดิ์สิทธิ์

มังกรทองสำริดจะไม่อิจฉาได้อย่างไร? มันมีชีวิตยืนยาวมานับแปดพันปี แต่กลับไม่เคยเจอผู้ศรัทธาผู้บ้าคลั่งสักคน แถมผู้ศรัทธาของมันก็ยังเป็นพวกเลวๆ อีก ส่งผลให้อำนาจเทพของมันไม่ปรากฏให้เห็น

อำนาจเทพอ่อนแอก็แล้วไป แต่ดันไปมีเทพภาคด้วย เลยทำให้ราชันผู้ไม่ตายมองเห็นและผนึกมันเข้าไปในตำราทองเหลือง ส่วนพวกผู้ศรัทธาเลวๆ ของมัน ก็ไม่เคยคิดหาทางมาช่วยมันเลย

ขณะที่มังกรทองสำริดกำลังจมอยู่ในความเศร้าหมองและน้อยใจ อังเกอร์กลับสวมหมวกฟางและเปลี่ยนกายเป็นมนุษย์เรียบร้อยแล้ว มีเพียงแบบนี้เขาถึงจะสามารถพูดได้ "เกิดอะไรขึ้น? พวกมัน ตามล่าเจ้าเหรอ?"

เมื่อเห็นอังเกอร์เพียงแค่สวมหมวกก็กลายเป็นมนุษย์ได้ เด็กชายเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ! หากบอกว่าการล้างมือในน้ำมันเดือดคือปาฏิหาริย์ งั้นการแปลงร่างเป็นมนุษย์ก็คือปาฏิหาริย์ในบรรดาปาฏิหาริย์เลยทีเดียว ความศรัทธาของเด็กชายยิ่งทวีมากขึ้นอีกหลายส่วนในชั่วพริบตา

"เกิดโรคระบาด ปิดเมือง ออกจากบ้าน ฆ่า น้องป่วย ไม่ช่วย ตาย ลองสู้ดู" เดิมทีก็คิดว่าการพูดของอังเกอร์ติดขัดพอแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าเด็กชายจะพูดติดขัดยิ่งกว่า พูดทีละคำๆ กระโดดออกมาทีละนิด

อย่างไรก็ตาม นี่กลับเข้ากันพอดีกับนิสัยการพูดของอังเกอร์ พอได้ยินปุ๊บเขาก็เข้าใจทันที "โรคระบาด? อหิวาต์? แบบนี้เหรอ?" พูดไปก็ชี้ไปที่เด็กหญิง

การปิดเมืองเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน อังเห็นเพียงว่าผู้ศรัทธาหายไปในชั่วข้ามคืน แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

"ใช่ คนตายเยอะมาก กักกัน โครงกระดูกส่งของกิน แต่ไม่รักษา" เด็กชายเล่า

จริงๆ แล้วไม่ใช่ไม่รักษา แต่เป็นเพราะมีหมอรักษาน้อยเกินไป พวกเขาเป็นคนยากจน ไม่มีสิทธิ์ได้รับการรักษา ถ้าป่วยก็ได้แต่ทนกัดฟันสู้ หากสู้ไหวก็โชคดีไป แต่ถ้าสู้ไม่ไหวก็ตายอยู่ในบ้านนั่นแหละ

"ตายไปเยอะมากเลยเหรอ?" อังเกอร์ใช้ความคิดแล้วถามว่า "โครงกระดูกออกไปข้างนอกได้ไหม?"

"ได้เยอะ โครงกระดูกได้ ไม่ติดเชื้อ" เด็กชายตอบ

อังเกอร์หยิบจานใบหนึ่งออกมา ใส่น้ำสะอาดจนเต็ม ใช้เวทมนตร์ชำระล้างหลายครั้ง แล้วถือจานเตรียมจะออกจากวิหาร

"จะไปไหน?" เนเกริสอดใจไม่ไหว ถามขึ้นมา

"เอาไปให้ชาวมิโนทอร์" อังเกอร์ตอบ

"โอ้ ครอบครัวนั้นศรัทธาดีเหมือนกัน ไปดูสักหน่อยแล้วกัน แต่เจ้าไม่คิดจะถามชื่อผู้ศรัทธาผู้บ้าคลั่งของเจ้าเลยหน่อยเหรอ?" เนเกริสช่างทึ่งในตัวอังเกอร์จริงๆ นี่มันผู้ศรัทธาบ้าคลั่งนะ แค่ชื่อยังไม่ถาม แล้วต่อไปจะสั่งใช้เขายังไงกัน?

อังเกอร์ถามชื่อของเด็กชาย เด็กชายตอบอย่างตื่นเต้น "ออร์ค"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด