ตอนที่แล้วบทที่ 15 นักรบในสายเลือดโดยแท้จริง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 17 การโจมตีหลอก

บทที่ 16 ชิงธง


บทที่ 16 ชิงธง

???

โม่ซิ่วเองก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยเช่นกัน การต่อสู้เพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อวานนี้ ถ้าว่ากันตามหลักเหตุผลแล้วทุกคนควรจะต้องต่อสู้กันเองสักครั้ง

แต่โม่ซิ่วนั้นลืมคิดไปว่าความคิดธรรมดาๆแบบนั้นไม่สามารถใช้ได้ในชั้นเรียนระดับสูงแห่งนี้

หวังเล่ยจึงกล่าวต่อว่า “พวกนายทำได้มาก ดังนั้นบทเรียนที่สองจึงจบลงแล้ว”

“บทเรียนที่สองคือการทําความคุ้นเคยกับพลังของพวกเธอ จากการต่อสู้เมื่อวาน พวกเธอทุกคนนั้นมีความเข้าใจในพลังมากพอแล้ว ดังนั้นวันนี้พวกเราจะทำการต่อสู้แบบเป็นทีม”

“การต่อสู้แบบทีมงั้นเหรอ?”

หลังจากนั้นหวังหยูจึงเริ่มอธิบายกฎ

“กฎในครั้งนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือการชิงธง!”

"ชิงธงเหรอ?"

หวังหยูพูดต่อ "ใช่แล้ว..."

“แต่ละทีมจะมีธงเล็กๆซึ่งสมาชิกในทีมจะตัดสินใจว่าพวกเขาฝากธงไว้ที่ใคร และเมื่อสมาชิกที่มีธงคนนั้นอยู่นอกเขต ทีมตรงข้ามจะเป็นฝ่ายชนะทันที”

“หากคนที่ออกไปนอกเขตไม่มีธง คนๆนั้นจะต้องเข้าไปในพื้นที่ของตัวเองและรอเวลาหนึ่งนาที”

“ถ้าหากพวกเธอถูกคู่ต่อสู้เอาชนะได้ พวกเธอจะแพ้ทันที”

หวังเล่ยใช้กองเก้าอี้วางเป็นวงกลมและสร้างช่องเปิดในวงกลมนั้น จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “นี่คือพื้นที่สำหรับรอเวลา ซึ่งโม่ซิ่วจะจับคู่กับหลิวซี่หยาง ส่วนมู่ชิงอี้นั้นจะคู่กับเย่หยวน”

หลังจากนั้นเขาก็ส่งธงขนาดเท่าฝ่ามือให้กับทั้งสองทีม ทันทีที่ทั้งสี่เห็นธงพวกเขาจึงทำการปิดบังทันทีเพื่อไม่ให้รู้ว่าใครได้ธงนั้นไป

หลังจากนั้น หวังหยูให้เวลาแต่ละทีมครึ่งชั่วโมงเพื่อปรึกษาและวางแผนต่อสู้

โม่ซิ่วในตอนนี้สามารถใช้เนตรแห่งพระเจ้าได้หนึ่งครั้ง ซึ่งเขาไม่ได้เลือกที่จะใช้มันกับเย่หยวนแต่จะใช้กับหลิวซี่หยางแทน

โม่ซิ่วนั้นรู้ถึงพลังของเย่หยวนอยู่แล้ว นอกจากนี้การทําความเข้าใจถึงพลังของเพื่อนร่วมทีมก็สําคัญกว่า

"พลังแรก: ร่างเงา"

“เอฟเฟกต์ของพลัง : เมื่อผู้ใช้ถูกโจมตี ผู้ใช้จะกลายเป็นร่างเงา หลังจากผ่านไปหนึ่งวินาที ผู้ใช้สามารถเลือกจุดที่จะปรากฏตัวได้ภายในรัศมีหนึ่งเมตรของตําแหน่งเดิม หลังจากใช้พลังแล้วการโจมตีครั้งแรกจะเพิ่มขึ้น 50%”

"ระยะเวลาที่ใช้ได้ : หนึ่งนาที"

"ระยะเวลาคูลดาวน์ : 2 ชั่วโมง"

โม่ซิ่วไม่คิดเลยว่าหลิวซี่หยางที่ดูตุ้ยนุ้ยนั้นจะมีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้

ตอนที่เขาบอกถึงพลังนี้ หลิวซี่หยางไม่ได้บอกว่าความเร็วของเขาจะเพิ่มขึ้นหลังจากใช้พลังและไม่บอกเรื่องพลังโจมตีที่เพิ่มขึ้น

หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ โม่ซิ่วจึงไม่ระวังตัวอีกต่อไปเมื่อใช้พลังเนตรแห่งพระเจ้า

การได้รู้ว่าอาจารย์ถังอยู่ที่นี่ก็เป็นประโยชน์เช่นกัน อย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าอาจารย์ถัง, หวังเล่ย และ หวังหยู นั้นไม่มีหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ว่าเขามีพลังที่สอง มิฉะนั้น พวกเขาคงจะไม่ปล่อยเขาไปเฉยๆแน่

ดังนั้นตั้งแต่นี้ไปโม่ซิ่วจึงสามารถใช้พลังเนตรแห่งพระเจ้าได้อย่างเปิดเผย เพราะแม้แต่คนอย่างหวังหยูก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะมีคนอื่นในโลกรู้เรื่องนี้ได้

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสี่คนก็เข้าสู่ลานประลอง

หวังเล่ย และ หวังหยู หยิบโต๊ะออกมาและเริ่มนั่งเคี้ยวเมล็ดฟักทองเพื่อรอดูการต่อสู้

"เริ่มได้!"

ในช่วงเริ่มของการต่อสู้ ทั้งสี่คนไม่ได้ใช้พลังใดๆและทำเพียงดูท่าทีเท่านั้น

โม่ซิ่วกับหลิวซี่หยางเป็นคู่แรกที่เริ่ม ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนนั้นกระจายตัวกันออกไป

เพราะพลังของมู่ชิงอี้และเย่หยวนนั้นเป็นพลังที่คู่กับการต่อสู้เป็นทีมมาก

ดังนั้น โม่ซิ่ว และ หลิวซี่หยาง จึงแยกกันออกไปเนื่องจากพวกเขาต้องการให้ มู่ชิงอี้ และ หลิวซี่หยาง แยกกันเพื่อมาจัดการกับพวกเขา ซึ่งพวกเขานั้นต้องการสู้แบบตัวต่อตัว

โม่ซิ่ว และ หลิวซี่หยาง อยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก หากมู่ชิงอี้และเย่หยวนเลือกที่จะโจมตีใครคนหนึ่งในเวลาเดียวกัน พวกเขาจะสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้อย่างรวดเร็ว

โม่ซิ่วและหลิวซี่หยางเองก็ค่อยๆเข้าหามู่ชิงอี้และเย่หยวนจากทั้งสองทิศทาง

ในขณะเดียวกัน มู่ชิงอี้และเย่หยวนนั้นดูเหมือนจะไม่เห็นโม่ซิ่วและหลิวซี่หยางเลย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่สนใจอะไร

ขณะที่โม่ซิ่วรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มู่ชิงอี้และเย่หยวนนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

พวกเขาโจมตีหลิวซี่หยางอย่างรวดเร็วราวกับว่าพวกเขาวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว

โม่ซิ่วรู้ว่ากำลังจะแย่ ดังนั้นร่างกายของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีทองขณะที่เขาใช้พลังข้ามขีดจำกัดและรีบไปช่วยเหลือทันที

แต่มันก็สายเกินไป เนื่องจากมู่ชิงอี้ใช้ดาบสั้นของเธออย่างรวดเร็วเพื่อสกัดกั้นทางหนีของหลิวซี่หยางเอาไว้ ในขณะเดียวกันเย่หยวนก็ได้จัดเริ่มใช้พลังของเขาล่วงหน้าแล้ว

พื้นดินใต้เท้าของหลิวซี่หยางเริ่มเป็นประกาย หลังจากนั้นเขาก็ถูกแช่ตรึง

หลังจากนั้น มู่ชิงอี้ใช้ดาบสั้นของเธอโจมตีไปที่ไหล่ของหลิวซี่หยางจนทําให้เขาล้มลงกับพื้น

ความเร็วของโม่ซิ่วนั้นไม่สามารถเทียบได้กับความเร็วของดาบสั้นได้ ดังนั้นเขาจึงทําได้เพียงเฝ้าดูหลิวซี่หยางโดนโจมตี

ไม่ใช่ว่าหลิวซี่หยางไม่สามารถหลบได้ แต่เขาไม่ต้องการใช้พลังของเขาง่ายๆ

อาจเป็นเพราะทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป หวังหยูที่เห็นเช่นนั้นจึงพูดทันทีว่า “หลิวซี่หยางออกนอกเขต การแข่งขันยังคงดําเนินต่อไป”

ที่การแข่งขันยังคงดําเนินต่อไปนั้นหมายความว่าธงไม่ได้อยู่กับหลิวซี่หยางแต่อยู่กับโม่ซิ่ว

หลิวซี่หยางกลับไปเขตพักฟื้นทันที ในขณะเดียวกันโม่ซิ่วก็กระโดดอยู่ด้านหลังมู่ชิงอี้

ตอนนี้กลายเป็นการต่อสู้สองต่อหนึ่งไปแล้ว โม่ซิ่วเองก็ไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะทั้งสองคนเลย ดังนั้นเขาจึงต้องการถ่วงเวลาจนกว่าหลิวซี่หยางจะกลับมาสู้ได้อีกครั้ง

แต่จู่ๆมู่ชิงอี้และเย่หยวนได้ทําสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น

ทั้งสองคนนั้นไม่ได้เลือกที่จะโจมตี แต่พวกเขาไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าของจุดพักฟื้น

แม้แต่โม่ซิ่วเองก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

"นี่พวกเธอกำลังทำอะไรน่ะ?"

เย่หยวนพูดว่า “ทําไมล่ะ? กฎไม่ได้บอกว่าพวกเราห้ามกลับเข้าไปในจุดพักฟื้นสักหน่อย”

โม่ซิ่วในตอนนี้ไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะพวกเขาสองคนได้เลย ส่วนพวกเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะโม่ซิ่วได้ภายในหนึ่งนาทีเช่นกัน

ดังนั้นมันคงจะดีกว่าที่จะปกป้องจุดพักฟื้น เมื่อหลิวซี่หยางออกมา พวกเขาก็จะเอาชนะเขาอีกครั้ง และตราบใดที่พวกเขาสามารถทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนโม่ซิ่วใช้พลังทั้งหมด พวกเขาก็จะสามารถเอาชนะโม่ซิ่วได้อย่างง่ายดาย

โม่ซิ่วจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "เย่หยวน นี่มันไม่น่าเกลียดเกินไปหน่อยเรอะ?"

เย่หยวนมองไปที่มู่ชิงอี้ที่กำลังยิ้มและพูดว่า "โม่ซิ่ว นี่เป็นความคิดของฉันเอง"

โม่ซิ่วตอบเธออีกครั้ง "ถึงอย่างนั้นก็เถอะมันไม่เกินไปหน่อยเรอะ?"

เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนี้จึงตอบว่า "โม่ซิ่ว นายน่ะเงียบไปเลย!"

โม่ซิ่วนั้นรู้สึกว่าคําพูดของเขาแรงเกินไปดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบ

แต่ปัญหาที่โม่ซิ่วกําลังเผชิญอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่กลับกับมู่ชิงอี้และเย่หยวนกําลังทำตัวสบายๆ

โม่ซิ่วในตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าหากเขาเริ่มโจมตีตอนนี้ มันจะยากสําหรับเขาที่จะเอาชนะทั้งสองคนได้ แต่ถ้าเขาไม่เริ่มโจมตีตอนนี้ พวกเขาก็จะสามารถถ่วงเวลาไปได้เรื่อยๆ

เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้เคลื่อนไหวและยืนอยู่นิ่งๆทั้งคู่

หวังเล่ยจึงถามหวังหยูที่อยู่ข้างๆเขาว่า “ทำไมพวกเราถึงไม่บอกให้พวกเขาชิงธงไปเลยล่ะ? ถ้าเป็นแบบนี้มันมีแต่จะยื้อเวลาออกไปเรื่อยไม่ใช่เหรอ?”

หวังหยูที่กำลังเคี้ยวเมล็ดฟักทองในมือมองไปที่การต่อสู้เบื้องหน้าอย่างจริงจัง

“พี่ ถึงแม้ว่าความสามารถด้านการต่อสู้ของพี่จะแข็งแกร่งมาก แต่สิ่งที่พี่ยังขาดไปคือการวางแผน เพราะฉะนั้นพี่ดูไปก่อนเถอะ แล้วต้องตั้งใจดูด้วยล่ะ เพราะบางทีมันอาจจะจบลงในพริบตาก็เป็นได้”

โม่ซิ่วคํานวณระยะเวลาที่ผ่านไปซึ่งมันเกือบจะถึงเวลาแล้วที่หลิวซี่หยางจะออกมาจากจุดพักฟื้น

หลังจากนั้น โม่ซิ่วได้เดินเข้าไปหามู่ชิงอี้และเย่หยวนทีละก้าว

เมื่อมู่ชิงอี้และเย่หยวนเห็นว่าโม่ซิ่วเริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาเองก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน โดยรู้ว่าการต่อสู้ที่เด็ดขาดกำลังใกล้เข้ามาถึงแล้ว

“หลิวซี่หยาง ได้เวลาออกจากจุดพักฟื้นแล้ว!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด