บทที่ 15 นักรบในสายเลือดโดยแท้จริง
บทที่ 15 นักรบในสายเลือดโดยแท้จริง
การต่อสู้ครั้งนี้หวังเล่ยและหวังหยูนั้นตั้งใจจับคู่ เพราะทั้งมู่ชิงอี้และโม่ซิ่วนั้นมีพลังที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด
อันที่จริงมู่ชิงอี้นั้นควรจะชนะโม่ซิ่วได้ด้วยการควบคุมดาบสั้นของเธอ
แต่ผลลัพธ์ของการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่คาดไม่ถึง แต่ในระหว่างการต่อสู้ความเด็ดขาดและการโจมตีอย่างสุดขั้วของโม่ซิ่วนั้นก็น่าประหลาดใจไม่แพ้กัน
“โม่ซิ่วเป็นผู้ชนะ! คาบเรียนต่อสู้วันนี้จบลงเท่านี้”
เสียงของหวังเล่ยนั้นดังจนทําลายความเงียบ หลังจากนั้นโม่ซิ่วและคนอื่นๆก็กลับไปยังห้องของพวกเขาเอง
หวังเล่ยพูดว่า "หวังหยู โครงการวิจัยล่าสุดของนายคืออะไรเรอะ?"
หวังหยูปรับแว่นตาของเขาและจ้องไปที่ด้านหลังของโม่ซิ่ว
“ฉันกำลังค้นคว้าเงื่อนไขและวิธีการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการปลุกพลังสองอย่างได้ในครั้งเดียว”
เนื่องจากพวกเขาพูดกันตามปกติ ดังนั้นโม่ซิ่วจึงได้ยินการสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจน
เมื่อเขาได้ยินว่า “เงื่อนไขและวิธีการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการปลุกพลังสองอย่างได้ในครั้งเดียว” หัวใจของเขาก็แทบจะวูบลงกับพื้น หรือเป็นไปได้ไหมว่าการครอบครองพลังทั้งสองของเขาจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว?
โม่ซิ่วยังคงระงับอารมณ์ของเขาและกลับไปที่ห้องของเขาทันที
หวังเล่ยและหวังหยูเองก็กลับไปที่ห้องของพวกเขาเช่นกัน
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้องของพวกเขา หวังหยูได้กล่าวว่า "ท่านอาจารย์ถัง โม่ซิ่วนั้นไม่ตอบสนองใดๆต่อสิ่งที่ผมพูดเลยครับ"
อาจารย์ถังลูบเคราของเขาแล้วพูดว่า “จริงๆด้วย เจ้าเด็กคนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ว่าเขาจะมีพลังที่สองหรือไม่ก็ตามยังไงซะเขาก็ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์และหาได้ยาก”
ในขณะเดียวกัน หวังเล่ยได้พูดแทรกว่า “การต่อสู้ของโม่ซิ่วเมื่อครู่นี้น่าตกใจจริงๆ แม้แต่ผมเองก็ยังไม่สามารถตอบโต้ได้ทันเลยด้วยซ้ำ”
อาจารย์ถังพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ ความแข็งแกร่งของโม่ซิ่วนั้นไม่ได้มาจากการฝึกอย่างหนักของเขาเท่านั้น แต่เขาเป็นอัจฉริยะ ที่เกิดมาเพื่อเป็นนักรบอย่างแท้จริง”
...
โม่ซิ่วที่กลับมาที่ห้องของเขานั่งลงบนเตียงด้วยความตื่นตระหนก
“พวกเขารู้แล้วงั้นรึ? หรือว่าพลังเนตรแห่งพระเจ้ามันเด่นเกินไปจนพวกเขาสังเกตุเห็นได้กันแน่?”
หลังจากทั้คิดอย่างจริงจังแล้ว โม่ซิ่วจึงก็ค่อยๆสงบสติลง
ถ้าหากเขาถูกค้นพบพลังทั้งสองจริงๆ ก็ไม่จําเป็นต้องให้หวังหยูทดสอบเขาเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาสามารถคุยกับโม่ซิ่วได้ตรงๆ
การสนทนาของเขากับหวังเล่ยเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือพยายามกดดันอยู่กันแน่?
ในตอนนี้เป็นไปได้มากว่าเขากําลังถูกกดดันอยู่ ถ้าหากมีใครที่คิดจะสงสัยในตัวของเขาคนๆนั้นก็น่าจะเป็นอาจารย์ถัง
อาจารย์ถังจะต้องมีแรงจูงใจอื่นในการให้โอกาสแบบนี้กับเขาเพื่อพาเขามาชั้นเรียนพิเศษแห่งนี้แน่ๆ
“เป็นไปไม่ได้ ถ้าทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้โดยอาจารย์ถัง ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถังก็คือ...”
...
ขณะที่หวังเล่ย หวังหยู และ อาจารย์ถังกําลังคุยกันอยู่นั้นจู่ๆก็มีคนมาเคาะประตู
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
หวังหยูขมวดคิ้ว ใครกันที่มาหาเขาในเวลานี้?
"ใครน่ะ?"
“ผมโม่ซิ่วครับ ผมแค่อยากจะถามคําถามอะไรบางอย่างเท่านั้น อาจารย์สะดวกไหมครับ?”
หวังหยูมองไปที่อาจารย์ถัง โดยที่ไม่พูดอะไร จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นและเดินไปที่ประตูเล็กๆบานหนึ่ง
หวังหยูเดินไปเปิดประตูและให้โม่ซิ่วเข้ามา
“อาจารย์ ผมมีคําถามบางอย่างที่ผมคิดคำตอบเท่าไหร่ก็ไม่ออก ผมเลยต้องมาหาอาจารย์ตอนนี้”
หวังหยูผายมือให้โม่ซิ่วนั่งลงก่อนจะพูดต่อไป
โม่ซิ่วสังเกตภายในห้องซึ่งมันใหญ่มากและมีอยู่สี่เตียง นอกจากนี้ยังมีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งเอาไว้ด้วย
หวังหยูจึงนั่งลงและพูดว่า "อยากรู้อะไรก็ถามมาเลย"
หลังจากที่โม่ซิ่วนั่งลง เขาพูดด้วยความเคารพว่า “ทําไมความแข็งแกร่งด้านพลังของผู้คนถึงได้แตกต่างกันครับ? ก่อนหน้านี้อาจารย์บอกว่าพลังของทุกคนมีประโยชน์ แต่ผมเองก็เคยเห็นพลังที่ไร้ประโยชน์มากมาย เช่น เพิ่มความแข็งแกร่งได้ 5% หรือพูดภาษาไก่ได้”
หวังหยูตอบว่า “พลังของบางคนนั้นอาจเหมาะสมเมื่อขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า ซึ่งการเพิ่มความแข็งแกร่งได้ 5% ใอาจมีประโยชน์มากใช้แรงงาน แม้ว่าพวกคนเหล่านั้นจะเป็นคนธรรมดาแต่การเสียสละของพวกเขานั้นจึงทำให้พวกเรามีสถานที่ในการที่ดีได้”
โม่ซิ่วที่เข้าใจจึงพูดว่า "อาจารย์ ผมยังมีอีกคําถามหนึ่ง..."
หลังจากนั้นโม่ซิ่วก็ถามคําถามทั่วไปก่อนที่จะแสร้งทําเป็นว่าเขาได้รับคำตอบอย่างแจ่มแจ้ง
ทันทีที่โม่ซิ่วจากไป อาจารย์ถังจึงเข้ามาจากประตูด้านหลังและนั่งที่ที่นั่งที่โม่ซิ่วเคยนั่ง
“ฮ่ะๆๆ น่าสนใจจริงๆดูเหมือนว่าตอนนี้เขากําลังตรวจสอบพวกเราอยู่นะ”
หวังหยูพยักหน้าและพูดว่า “อาจารย์ถัง เด็กคนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ เขาคงสังเกตเห็นอะไรบางอย่างได้หลังจากที่เขาเข้ามาในห้อง บางทีเขาอาจจะสังเกตเห็นแผนผังของห้องก็เป็นได้”
“ถึงแม้ว่าเขาจะแสร้งทำเป็นสงบนิ่งตอนที่ฟังคำตอบ แต่ผมเห็นได้ชัดเจนว่าเขากําลังสังเกตทุกรายละเอียดภายในห้อง หลังจากที่ถามคําถามอีกสองสามข้อ เขาก็เริ่มมองไปที่อื่นๆ”
นอกจากนี้หวังเล่ยยังพูดเสริมอีกว่า “ผมเองก็เห็นเหมือนกัน ดูเหมือนเขาจะรู้ถึงความพยายามของพวกเราในการตรวจสอบเขาดังนั้นเขาจึงมาหาเราโดยเฉพาะ”
การกระทําของโม่ซิ่วนั้นไม่ได้ทำให้อาจารย์ถังโกรธ แต่อาจารย์ถังกลับยิ้มออกมากว้างๆแทน
“ฮ่าๆๆๆ เจ้าเด็กนี่น่าสนใจจริงๆ ถ้าอย่างนั้นฉันเองก็คงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ซะแล้ว”
หวังหยูถามว่า "อาจารย์ถัง ท่านต้องการให้เราทดสอบโม่ซิ่วต่อหลังจากที่ท่านจากไปแล้วหรือไม่?"
“ไม่จําเป็นหรอก ภารกิจของนายเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้นายไม่ต้องเฝ้าสังเกตุเขาแล้วแต่นายต้องช่วยเขาปกป้องความลับของเขาแทน”
หวังเล่ยและหวังหยูมองหน้ากัน พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร? อาจารย์ถังไม่ได้พาโม่ซิ่วมาที่นี่เพื่อค้นหาความลับของเขาหรอกเหรอ?
จากนั้น ประโยคต่อไปของอาจารย์ถังก็ทําให้ทั้งสองคนตกใจอย่างมาก
“แม้ว่านายจะบอกว่าโม่ซิ่วเป็นแค่คนนอกในตอนนี้ แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดฉันก็มีผู้สืบทอดวิชาของฉันแล้ว”
โม่ซิ่วนั้นไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น หลังจากกลับไปที่ห้องของเขา เขาก็เริ่มรู้สึกว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง
อาจารย์ถังนั้นอยู่ที่นี่ นอกจากนี้เขายังอยู่ในห้องพักครูอีกด้วย
โม่ซิ่วได้มองเข้าไปในห้องก่อนหน้านี้และพบว่ามีเพียงหวังเล่ยกับหวังหยูในห้องเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เห็นด้วยตาตัวเองว่ามีเตียงอยู่สามเตียง ซึ่งหมายความว่ายังมีอีกหนึ่งคนที่อยู่นั่ภายในห้อง
โม่ซิ่วยังคงเตรียมความพร้อมที่จะต่อสู้กับอาจารย์ถังในอนาคตด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าอาจารย์ถังได้ออกไปจากที่นี่ซะแล้ว
...
เช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งนี่เป็นวันที่สี่นับตั้งแต่โม่ซิ่วมาถึงที่นี่
เช่นเดียวกับสามวันที่ผ่านมา หวังหยูนั้นจะมาถึงห้องเรียนตรงเวลาทุกครั้ง
“จริงๆการเรียนวันนี้คือการอธิบายถึงสัตว์ร้ายโดยละเอียด แต่หลังจากที่คิดดูดีๆแล้วฉันเลือกที่จะไม่สอนเรื่องนั้น เพราะพวกเธอตอนนี้ยังไม่จําเป็นต้องมีรู้เรื่องนั้น และการบอกพวกเธอในตอนนี้ก็จะมีแต่การเพิ่มแรงกดดันให้กับพวกเธอเท่านั้น”
“บทเรียนสุดท้ายของวันนี้ไม่มีเนื้อหาและเป็นเพียงการถาม-ตอบเท่านั้น หากพวกเธอมีคําถามอะไรก็ถามมาซะ ตราบใดที่มันเป็นเรื่องที่ฉันรู้ ฉันจะบอกพวกเธออย่างละเอียดเอง”
แม้ว่าวันนี้จะไม่มีเรื่องเรียน แต่ทั้งคาบเช้าก็ไม่สูญเปล่าเพราะทุกคนเอาแต่ถามคําถาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โม่ซิ่วนั้นมีคําถามมากที่สุด โม่ซิ่วนั้นรู้ว่าเขามีความรู้น้อยที่สุดและไม่ต้องการเสียโอกาสนี้ไป ดังนั้นเขาจึงถามทุกคําถามที่เขาพยายามคิดได้
หลังจากเลิกเรียน โม่ซิ่วได้ถามว่า "อาจารย์ อาจารย์บอกว่าวันนี้เป็นคายเรียนสุดท้าย แล้วหลังจากนี้คาบเช้าผมต้องทำอะไรต่องั้นเหรอ?"
หวังหยูยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันบอกนายตั้งแต่วันแรกแล้วว่าหน้าที่หลักของชั้นเรียนระดับสูงนี้คือการเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของนาย ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกนายจะต้องเขาเรียนคาบการต่อสู้ตลอดทั้งวันแทน”
เมื่อได้ยินแบบนี้นอกจากโม่ซิ่วแล้วทุกคนก็ถึงกับสะดุ้ง นั่นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการเข้าเรียนคาบการต่อสู้เพราะคาบการต่อสู้นั้นเป็นประโยชน์ต่อทุกคนมาก แต่มันก็ใช้พลังร่างกายมากเช่นกัน
เมื่อไม่กี่วันก่อน คาบการต่อสู้ในตอนบ่ายทําให้ทุกคนเหนื่อยแทบขาดใจ และตั้งแต่พรุ่งนี้คาบการต่อสู้จะเริ่มทั้งวัน นั่นหมายความพวกเขาจะต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ในช่วงบ่าย ทั้งสี่คนมายืนรออยู่ด้วยกันและกำลังรอคําสั่งของหวังเล่ยและหวังหยู
ทั้งสองคนนั่งลงบนเก้าอี้และกระซิบกัน
หลิวซี่หยาง ไม่พอใจในความพ่ายแพ้ของเขาเมื่อวานนี้ ดังนั้นเขาจึงอาสาพูดขึ้นว่า "อาจารย์ วันนี้ผมจะสู้กับใครหรือครับ?"
หวังเล่ยพูดด้วยหน้าบึ้งๆเล็กน้อย “นายจะสู้กับใครเรอะ? ฉันบอกนายสักคำรึยังว่าวันนี้จะมีการต่อสู้แบบตัวต่อตัวน่ะ?”