บทที่ 13: สถานะในปัจจุบันของมนุษยชาติ
บทที่ 13: สถานะในปัจจุบันของมนุษยชาติ
ภายในห้องพักครู…
หวังหยูขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า "ท่านอาจารย์ถัง ข้าว่าโม่ซิ่วมีอะไรแปลกๆไปนะ"
อาจารย์ถัง ที่นอนอยู่บนเตียงได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
"ว่ามาเร็ว บอกมาเร็ว!" ด้วยท่าทีเร่งรัดด้วยและเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
“ในคาบเรียนเมื่อเช้านี้ เมื่อผมใช้”สแกน“เพื่อสังเกตโม่ซิ่ว ผมพบว่าพลังบางอย่างของเขานั้นเป็นพลังด้านการตรวจจับ แต่เมื่อเขาต่อสู้กับหวังเล่ยในตอนบ่าย ผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อโม่ซิ่วใช้พลังของเขา มันเป็นพลังของครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับไปเป็นพลังตรวจจับ”
อาจารย์ถังลูบเคราของเขาขณะที่เขาก้มหน้าลงและพูดว่า “น่าสนใจนี่ ตอนที่ฉันเห็นว่าเขารู้จุดอ่อนของปีศาจอินทรี ฉันก็รู้ทันทีว่าเขานั้นไม่ธรรมดา บางทีเขาอาจจะมีพลังถึงสองอย่างด้วยซ้ำ”
หวังหยูได้พูดเสริมว่า “แต่บางครั้งพลัง”สแกน“ของผมก็มีการผิดพลาดบ้าง บางครั้งเมื่อผมมองไปที่หวังเล่ยก็มีบางครั้งที่พลังของเขาดูเหมือนพลังของนักฆ่า”
อาจารย์ถังพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เป็นไร เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยลองดูใหม่ก็ได้...”
ในเช้าวันรุ่งขึ้น
"วันนี้ ฉันจะพูดเรื่องสถานะในปัจจุบันของมนุษยชาติ"
“พวกเธออาจจะถามว่า ทำไมฉันต้องพูดถึงสถานะปัจจุบันของมนุษยชาติด้วย เพราะคนรุ่นพวกเธอนั้นไม่เคยได้สัมผัสกับโลกก่อนหน้านี้”
“ทวีปนี้เคยเป็นทวีปเอเชียมาก่อน ซึ่งในช่วงสงครามมหาอํานาจทั้งสามทวีปได้จัดตั้งพันธมิตรขึ้นซึ่งกลายเป็นพันธมิตรมนุษย์ในปัจจุบัน”
“หลังจากสงคราม มนุษย์และสัตว์ร้ายได้ลงนามในสัญญาเพื่อสงบศึก ซึ่งทำให้มนุษย์อาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางของทวีป ในขณะที่พวกสัตว์ร้ายนั้นอาศัยอยู่รอบนอก”
“อาวุธระดับสูงที่มนุษย์ใช้โดยพื้นฐานนั้นได้หายไป ซึ่งเหตุผลในการหายตัวไปคือพวกมันมีพลังในการฆ่าสัตว์ร้ายได้แต่ก็เป็นอันตรายต่อมนุษย์มากเช่นกัน ดังนั้นอาวุธเหล่านั้นจึงถูกปิดผนึกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง”
หลิวซี่หยางถามว่า “อาจารย์ ผมเคยได้ยินมาว่ามนุษย์เคยมีอาวุธที่เรียกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่สามารถทําให้โลกหายไปได้ทันที มันใช้จัดการกับพวกสัตว์ร้ายได้ไหมครับ?”
“ได้ผลอยู่แล้ว แต่มันสร้างผลร้ายมากกว่าผลดี ในช่วงแรกของสงครามมนุษย์ได้ใช้ระเบิดนิวเคลียร์ด้วย แต่ความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางของการระเบิดเท่านั้น ในขณะเดียวกันรังสีที่เกิดจากการระเบิดจะทําให้สัตว์ร้ายถูกวิวัฒนาการอีกครั้ง”
“นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นนั่นคือการจลาจล หลังช่วงสงครามมีการจลาจลมากมายและเพื่อเป็นการปราบปรามการจลาจล อาวุธทั้งหมดถูกจึงถูกสั่งห้าม”
โม่ซิ่วถามว่า “อาจารย์ ถ้ามนุษย์มีอาวุธและทุกอย่างที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับพวกสัตว์ร้าย ทําไมเราถึงไม่ขยายขอบเขตออกไปบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมาล่ะครับ?”
หวังหยูตอบว่า "แม้ว่ามนุษย์จะมีอาวุธอยู่มากมาย แต่ตอนนี้พวกเราปิดผนึกมันเอาไว้"
“พวกเธออาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เมื่อก่อนนั้นมีทั้งหมดห้าทวีปอยู่บนโลก ก่อนสงครามห้าทวีปนั้นสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ แต่ตอนนี้มนุษย์ไม่สามารถออกจากอาณาเขตของดินแดนพันธมิตรได้”
“มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันบอกว่าอาวุธเหล่านั้นได้ถูกปิดตายไว้ แต่ถึงอย่างนั้นทำไมถึงไม่มีข่าวคราวจากทวีปอื่นๆบ้างเลย พวกเธอเองก็คงจะสงสัยสินะ?”
“สาเหตุเป็นเพราะข่าวคราวจากอีกสี่ทวีปนั้นถูกตัดขาด ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีทางรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นนอกดินแดนของพันธมิตร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทวีปอื่นยังคงมีอยู่หรือไม่”
โม่ซิ่วขมวดคิ้วและถามว่า “อาจารย์ สัญญาณโทรศัพท์สามารถถูกกีดกันได้มั้ยครับ? นอกจากนี้ผมยังเคยอ่านผ่านๆมาว่าอุตสาหกรรมการบินและอวกาศกําลังพัฒนาอย่างมาก ซึ่งฝั่งมนุษย์เองก็มีดาวเทียมเทียมจํานวนมากแต่ทำไมพวกเราถึงไม่รู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นที่ภายนอกได้ล่ะครับ?”
หวังหยูยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า "คนที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้ไม่ใช่มนุษย์หรือสัตว์ร้าย แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลอันน่าสะพรึงกลัวต่างหาก"
โม่ซิ่วเคยได้ยินเรื่องเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลมาจากหนังสือเรียนบ้าง ซึ่งต้นกําเนิดของอุกกาบาตนั้นเป็นเพราะเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลอีกด้วย
“เหตุผลหลักที่พวกสัตว์ร้ายยอมสงบศึกกับเราก็เพราะว่าเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลนั้นอันตรายเกินไป”
"พวกเธอรู้ไหมว่ามหาสมุทรแปซิฟิกน่ะกว้างใหญ่แค่ไหน"
ทั้งสี่คนส่ายหัว
“มหาสมุทรแปซิฟิกนั้นครอบครองพื้นที่หนึ่งในสามของโลก นอกจากนี้ก่อนช่วงสงคราม มนุษย์ได้ทำการสํารวจมหาสมุทรแปซิฟิกน้อยกว่าห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เมื่อเป็นแบบนั้นพวกเราจึงไม่รู้เลยว่าสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวแบบใดที่อาศัยอยู่ในทะเลลึก จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังกลัวว่าสิ่งมีชีวิตในทะเลลึกเหล่านั้นจะน่ากลัวขึ้นเพียงใดหลังจากที่มันได้สัมผัสกับรังสี”
“เผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลได้ทําลายดาวเทียมเทียมของพวกเราและปิดกั้นสัญญาณการสื่อสารของพวกเราไว้ด้วยคลื่นอัลตราโซนิก ซึ่งนี่คือวิธีการของเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเล”
“ดังนั้นพวกเธออย่าได้ถูกหลอกด้วยความสงบที่พวกเธอเห็นเด็ดขาด เพราะนี่คือผลลัพธ์ของความพยายามอย่างหนักของคนรุ่นก่อนของเรา สันติภาพนั้นจะไม่คงอยู่ตลอดไปเพราะโลกใบนี้กว้างใหญ่เกินไปจนไม่สามารถจินตนาการได้”
โม่ซิ่วนั้นชื่นชมหวังหยูจากใจจริง ทุกบทเรียนนั้นทําให้เขามีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับโลกเพิ่มมากขึ้น
หากคําอธิบายพลังของเขาในช่วงสองวันที่ผ่านมาสามารถเปลี่ยนความเข้าใจของโม่ซิ่วได้ คําอธิบายของเขาเกี่ยวกับสถานะของมนุษย์ในวันนี้ก็ขยายขอบเขตความเข้าใจอันไกลโพ้นของโม่ซิ่วได้เช่นกัน
แม้ว่าวันนี้จะมีเนื้อหาเพียงเล็กน้อยแต่กลับมีคําถามมากมาย เพราะพวกเขาทั้งสี่คนเอาแต่ให้หวังหยูอธิบายว่าทำไมโลกถึงได้เป็นแบบนี้ๆได้
โม่ซิ่วมองไปที่มู่ชิงอี้ เมื่อวานนี้เขาบอกเธอว่าเขาต้องการจะเปลี่ยนโลก นั่นทำให้เขาดูเพ้อเจ้อเกินไปหรือไม่?
แต่โม่ซิ่วไม่รู้เลยว่ามู่ชิงอี้เองก็กำลังมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานของเธอเช่นกัน
...
ในตอนบ่ายที่ลานประลอง
หวังเล่ยและหวังหยูหยิบเก้าอี้สองตัวออกมาและนั่งบนเก้าอี้นั้น
หวังหยูได้กล่าวว่า “ตั้งแต่วันนี้ฉันจะเฝ้าดูการต่อสู้ทุกวัน และฉันจะอธิบายกฎของการต่อสู้ในวันนี้ให้พวกเธอได้ฟังเอง”
“พวกเธอจะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยหวังเล่ยจะเลือกกลุ่มให้และมีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้นที่จะชนะ นั่นคือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดสติหรือยอมแพ้เท่านั้น”
มุมปากของโม่ซิ่วกระตุกเพราะกฎแบบนี้แม้ว่ามันจะง่ายแต่มันไม่ได้บอกวิธีการต่อสู้ ดังนั้นการต่อสู้จึงอาจรุนแรงจนถึงชีวิตได้
หวังเล่ยจ้องมองไปที่พวกเขาสี่คนและพูดว่า “ต่อไปคือการจัดกลุ่ม กลุ่มแรกจะเป็นหลิวซี่หยางกับเย่หยวนและกลุ่มที่สองจะเป็น โม่ซิ่วกับมู่ชิงอี้”
โม่ซิ่วขมวดคิ้ว หลังจากที่เขาคิดเมื่อคืนนี้ เขาได้สรุปว่ามู่ชิงอี้นั้นรับมือได้ยากที่สุด
แม้พลังโจมตีของมู่ชิงอี้จะดูน้อย แต่นั่นคือตอนที่เธอกําลังโจมตีหวังเล่ย ถ้าเธอต้องต่อสู้กับโม่ซิ่วและอีกสองคน พลังของดาบสั้นที่ลอยได้ของเธอนั้นจะไม่ธรรมดาทีเดียว
นอกจากนี้เธอยังใช้ดาบสั้นผสานกับพลังย่นระยะที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาของเธอ ดังนั้นเธอจึงเป็นคนที่รับมือได้ยากที่สุด
"กลุ่มแรกเตรียมตัวให้พร้อม!"
โม่ซิ่วและมู่ชิงอี้ถอยออกไปด้านข้างเพื่อดูการต่อสู้ จากนั้นหลิวซี่หยางและเย่หยวนก็ก้าวเข้าออกมาและทั้งคู่ก็ถอยห่างออกจากกัน
"เตรียมตัวให้พร้อม... เริ่มได้!"
อาณาเขตได้ปรากฏขึ้นใต้เท้าของเย่หยวนโดยที่เป็นสีเหลืองซึ่งหมายความว่ามันเป็นธาตุดิน นั่นหมายถึงเย่หยวนได้เพิ่มการป้องกันของเขาก่อน
หลิวซี่หยางพูดกับหวังเล่ยและหวังหยูอย่างไม่พอใจว่า “อาจารย์ เขาโกงไม่ใช่เหรอ เขาปล่อยพลังของเขาออกมาก่อนการสู้จะเริ่มด้วยซ้ำ”
ด้วยพลังของเย่หยวนที่จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติสองวินาทีหลังจากใช้งานซึ่งทุกคนเองก็รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเย่หยวนจึงใช้พลังของเขาล่วงหน้า
หวังหยูยักไหล่และพูดว่า “นายไม่ได้ยินฉันพูดกฎเหรอ? มันไม่ได้ห้ามให้เขาใช้พลังก่อนเริ่มสู้นี่”
หลิวซี่หยางมองไปที่อาจารย์ทั้งสองด้วยการอ้าปากค้าง ซึ่งเย่หยวนเองก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป ในขณะที่หลิวซี่หยางไม่ได้สนใจเขา เย่หยวนได้พุ่งเข้าไปและเริ่มการต่อสู้ระยะประชิดทันที
หลิวซี่หยางนั้นเห็นว่าเย่หยวนไม่เพียงแต่ทําตัวหน้าด้านเท่านั้น แต่ยังโจมตีในช่วงที่เขาไม่ได้ตั้งหลักอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงกัดฟันแน่นด้วยความโกรธและหลบการโจมตีของเย่หยวน
โม่ซิ่วไม่เข้าใจเลยว่าหลิวซี่หยางซึ่งอ้วนมากจะมีพลังของนักฆ่าได้อย่างไร?
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากการต่อสู้ตามปกติ เขาเองก็ไม่ได้ช้าเช่นกัน บางทีเขาอาจจะเร็วกว่าโม่ซิ่วด้วยซ้ำ ถ้าโม่ซิ่วไม่ได้เปิดใช้พลังของเขา
การต่อสู้ในระยะประชิดเองไม่ใช่จุดเด่นของพวกเขาด้วย แต่หลิวซี่หยางนั้นยังคงได้เปรียบด้านความเร็วอยู่
เขาโจมตีเย่หยวนไปหลายครั้ง แต่ด้วยพลังของเย่หยวนนั้นทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใดๆเลย
พวกเขาทั้งคู่นั้นไม่ต้องการใช้พลังของตนก่อน เพราะพวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้ว่าใครก็ตามที่ใช้พลังของพวกเขาก่อนจะต้องแพ้
เมื่อเป็นเช่นนั้น การต่อสู้ครั้งนี้จึงกลายเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อและน่าเบื่อทันที...