บทที่ 12 บทเรียนแรก
บทที่ 12 บทเรียนแรก
"พวกเรายังอยากสู้ต่อ!" ประโยคนี้ไม่ใช่แค่คำพูดจากโม่ซิ่วเท่านั้น แต่แววตาที่เด็ดเดี่ยวของ มู่ชิงอี้ เย่หยวน และ หลิวซี่หยาง ก็ยังสื่อถึงเจตนาเดียวกัน ซึ่งทำให้หวังเล่ยมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า "บทเรียนแรกได้จบลงแล้ว"
โม่ซิ่วและคนอื่นๆต่างรู้สึกงุนงง บทเรียนแรก? จบลงแล้วเหรอ?
หวังเล่ยได้อธิบายต่อว่า "บทเรียนแรกนั้นคือการไม่ยอมแพ้ เมื่อวานนี้พวกเธอได้แพ้ต่อฉัน แต่ทว่าวันนี้พวกเธอกลับเริ่มที่จะท้าสู้กับฉันใหม่อีกครั้ง นั่นแสดงให้เห็นว่าแม้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่าแต่พวกเธอก็ยังกล้าที่จะต่อสู้"
"ลองนึกภาพมนุษย์ในอดีตที่เผชิญหน้ากับจักรพรรดิปีศาจผู้ทรงพลังที่ใช้พลังได้ไร้จำกัดดูสิ พวกเขารู้สึกสิ้นหวังยิ่งกว่าพวกเธอมาก แต่พวกเขายังไม่ยอมแพ้และเลือกที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเกิดและครอบครัวของพวกเขาเอาไว้"
"ดังนั้นแม้จะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและชีวิต แต่การต่อสู้ครั้งนั้นก็ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การต่อสู้ครั้งนั้นได้ปกป้องบ้านเกิดของพวกเขาไว้และจุดประกายความหวังสำหรับคนรุ่นใหม่ในอนาคต"
"แม้ว่าฉันจะไม่ใช่ศัตรูของพวกเธอจริงๆ แต่ฉันก็ต้องการสอนบทเรียนสำคัญนี้ว่าอย่ายอมแพ้และจงปลุกจิตวิญญาณให้การเป็นนักสู้ในตัวพวกเธอออกมา แม้ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่มนุษย์ก็ยังสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ด้วยพลังแฝงอันยิ่งใหญ่"
ถ้อยคำของหวังเล่ยนั้นได้สั่นสะเทือนจิตใจของโม่ซิ่วและอีกทั้งสามคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สัมผัสกับสงครามด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะการต่อสู้ครั้งนั้น
โม่ซิ่วเข้าใจดีว่าหวังเล่ยพูดถูก เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูสิ่งสำคัญคือต้องรักษาจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เอาไว้
“เอาล่ะ พักผ่อนให้เต็มที่ซะ พรุ่งนี้จะเป็นการเริ่มการต่อสู้แบบตัวต่อตัว” หวังเล่ยพูดกับพวกเขา
“การต่อสู้แบบตัวต่อตัว? หมายความว่ายังไงครับอาจารย์?” โม่ซิ่วถามด้วยความสงสัย
“ก็หมายความว่าพวกเธอทั้งสี่คนจะต้องต่อสู้กันเองทีละคู่ไงล่ะ!” หวังเล่ยอธิบาย
โม่ซิ่วและเพื่อนๆต่างตกตะลึงเพราะพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการต่อสู้แบบนี้มาก่อน
หลังจากเลิกคาบเรียน หลังเล่ยจึงบอกว่าพรุ่งนี้เป็นการต่อสู้ที่สำคัญและให้ทุกคนไปเตรียมตัวให้พร้อม
โม่ซิ่วเองก็รีบกลับไปที่ห้องและหยิบบันทึกการฝึกออกมานั่งวิเคราะห์เพื่อหาวิธีเอาชนะคู่ต่อสู้
หลังทานอาหารเย็น โม่ซิ่วได้ออกไปฝึกฝนตามลำพังในลานกว้าง โดยการรัวหมัดใส่ก้อนหินใหญ่
ผ่านมาแล้วสองวันที่เขาไม่ได้ฝึกฝนการต่อสู้พื้นฐาน ดังนั้นโม่ซิ่วจึงรู้สึกว่าเขาต้องฝึกให้หนักเพื่อไม่ให้เสียเปรียบ
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะสดใสก็ดังขึ้นด้านหลังเขา
“แหมๆโม่ซิ่ว นี่เธอฝึกหนักขนาดนี้เลยเหรอ?” มู่ชิงอี้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเอ่ยทัก
โม่ซิ่วหันขวับไปและเห็นมู่ชิงอี้ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ใครจะเหมือนเธอนั่นล่ะ ฉันน่ะเป็นแค่นักเรียนจนๆที่พยายามดิ้นรนเพื่ออนาคต มันไม่ง่ายเลยนะที่คนอย่างฉันจะต้องทุ่มเทมากขนาดนี้น่ะ” โม่ซิ่วตอบกลับ
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา มู่ชิงอี้จึงก้มหน้าลงด้วยความเศร้าเพราะเธอไม่เคยได้ยินโม่ซิ่พูดแบบนี้มาก่อน
ปกติแล้วทั้งคู่จะฝึกฝนด้วยกันจนดึกดื่น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สนิทกันมากแต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ทั้งคู่จะเดินคุยกันไปเรื่อยๆจนมาถึงประตูหน้าโรงเรียนซึ่งมู่ชิงอี้จะขึ้นรถหรูที่จอดรออยู่ตลอด
ถึงแม้ว่ามู่ชิงอี้จะดูเหมือนมีชีวิตที่ดี แต่สำหรับโม่ซิ่วเธอคือเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทที่สุดของเขาในโรงเรียนชั้นม.ปลาย
มู่ชิงอี้ไม่ได้ตอบกลับ ส่วนโม่ซิ่วก็ไม่รู้ว่าต้องทําอย่างไรต่อ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือปล่อยให้เธอเป็นแบบนั้นกันแน่?
มู่ชิงอี้จึงกระโดดขึ้นไปบนหินก้อนใหญ่และนั่งบนหินโดยไม่สนใจว่าหินก้อนนั้นจะสกปรกหรือไม่
หินนั้นค่อนข้างสูง เมื่อมู่ชิงอี้ขึ้นนั่งบนขอบหินเท้าของเธอไม่แตะพื้นซึ่งทำให้เธอแกว่งเท้าไปมาอย่างสบายใจ
จากนั้นเธอก็หันกลับมาและยิ้มให้โม่ซิ่วก่อนพูดว่า "พวกเรามานั่งเล่นกันสักพักไหม?"
แม้โม่ซิ่วจะไม่ได้สนใจเธอ แต่ตอนนี้เขากลับหลงใหลในสิ่งที่มู่ชิงอี้กำลังทำอยู่
“เป็นอะไรไปน่ะ? นี่นายกลัวผู้หญิงงั้นเหรอ?”
โม่ซิ่วที่กลับมาตั้งสติได้อีกครั้งจึงเดินตรงไปที่ด้านข้างของมู่ชิงอี้เพื่อนั่งลง
“กลัวสิ มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่กลัวผู้หญิงโดยเฉพาะคนสวยอย่างเธอน่ะ?”
มู่ชิงอี้หัวเราะคิกคัก
“แหมๆ ไม่คิดเลยนะว่าคนอย่างนายจะปากหวานแบบนี้ด้วย”
โม่ซิ่วยิ้มและมองไปด้านโดยไม่พูดอะไร เขากำลังนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์โดยมีสายลมเบาๆพัดผ่านอากาศเคียงข้างสาวงาม จะมีใครบ้างที่โชคดีเหมือนกับเขาตอนนี้?
ดังนั้นทั้งสองคนจึงนั่งข้างกันอย่างเงียบ ๆโดยที่ไม่พูดหรือทำอะไร ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนอยู่
"สบายใจจริงๆที่ได้อยู่กับเธอ"
ทั้งสองคนพูดพร้อมกันและหันมายิ้มให้กัน
มู่ชิงอี้สางผมของเธอที่ถูกลมพัดและพูดว่า "ฉันไม่ได้พยายามอย่างหนักเพราะฉันอยากฝึกหรอกนะ แต่เป็นเพราะฉันไม่อยากกลับบ้านต่างหาก"
"อืม"
โม่ซิ่วพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร เพราะโม่ซิ่วรู้ว่าสิ่งที่มู่ชิงอี้ต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือคนที่จะรับฟังเธอ
“พ่อแม่ของฉันต้องการให้ฉันศึกษาความรู้ทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับพลัง พวกเขาเลยจ้างครูเฉพาะทางมาเพื่อให้กับฉัน บางทีพวกเขายังต้องการให้ฉันเป็นเพื่อนกับคนที่พวกเขาต้องการให้ฉันเป็นเพื่อนด้วย ดังนั้นในทุกวันฉันเลยไม่มีเวลาได้คิดหรือได้ทําอะไรที่ฉันต้องการเลย”
"อืม"
“ฉันน่ะอยู่ภายใต้คําสั่งที่เข้มงวดจากพวกเขาทุกวัน แม้แต่มาโรงเรียนฉันยังถูกห้ามไม่ให้มีเพื่อนเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่ฉันกลับบ้านไปฉันก็ต้องไปมีส่วนร่วมกับการทานอาหารกับคนใหญ่คนโตอยู่ตลอด ฉันน่ะไม่มีสักนาทีเลยที่ฉันจะได้เป็นอิสระ”
"อืม"
“ฉันรู้สึกเหมือนฉันไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตของฉันอีกต่อไปแล้วล่ะ เพราะทุกอย่างที่เกี่ยวกับฉันได้ถูกจัดการเอาไว้หมดแล้ว ถึงแม้ว่าความรู้นั้นจะสําคัญ ถึงแม้ว่าฉันอาจจะใช้สิ่งที่อาจารย์สอนฉันในอนาคตได้ ถึงแม้ว่าเพื่อนของฉันจะเป็นพวกคนระดับสุดยอด แต่ฉันเองอยากเป็นอิสระบ้าง ฉันเองก็อยากมีเพื่อนที่โรงเรียนและออกไปกินขนมกับเพื่อนๆหลังเลิกเรียนบ้างจริงๆนะ”
"อืม"
“ถึงแม้สิ่งที่ฉันต้องการมันจะดูเล็กน้อย แต่ฉันน่ะทําไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงเริ่มฝึกซ้อมอย่างหนักและฉันจะไม่กลับบ้านหลังเลิกเรียนและอยู่ฝึกจนโรงเรียนปิด เพราะฉันรู้สึกว่าฉันสามารถหลุดพ้นจากพ่อแม่ของฉันได้ก็ต่อเมื่อฉันฝึกอยู่คนเดียวเท่านั้น”
"อืม"
“ฉันน่ะอยากมีอิสระ ทำอะไรเหมือนกับคนอื่นและใช้ชีวิตให้สนุกบ้างจริงๆนะ”
"อืม"
"โม่ซิ่ว?"
"อื้อว่าไง ฉันกําลังฟังอยู่นะ"
“นายคิดว่าฉันผิดมั้ย? ฉันผิดมั้ยที่เกิดมาตอนนี้ในโลกนี้น่ะ?”
“ถึงแม้ว่าเธอจะพูดแบบนั้น แต่ฉันคิดว่าเธอน่ะคิดผิดแล้วล่ะ”
"แล้วนายคิดว่าใครผิดล่ะ"
"โลกใบนี้ต่างหากที่ผิด!"
มู่ชิงอี้ปิดปากของเธอและหัวเราะเบา ๆ "ฮ่ะๆๆ แล้วพวกเราควรทํายังไงล่ะถ้าโลกนี้มันผิดน่ะ"
โม่ซิ่วมองไปที่มู่ชิงอี้อย่างจริงจังและพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เปลี่ยนโลกนี้ซะสิ!"
มู่ชิงอี้รู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคําพูดของโม่ซิ่ว เธอนั้นรู้ว่าสิ่งที่โม่ซิ่วพูดเป็นไปไม่ได้และเธอก็รู้ด้วยว่าเขาพูดแบบนี้เพื่อปลอบเธอเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นมู่ชิงอี้ยังคงรู้สึกขอบคุณโม่ซิ่วมาก เพราะเขาเป็นคนที่ฟังเธอพูดระบายเรื่องราวในใจเป็นครั้งแรก ซึ่งเขายังเห็นด้วยกับเธอด้วยซ้ำ
มู่ชิงอี้จึงโน้มตัวไปทางโม่ซิ่ว
“โม่ซิ่ว มู่ชิงอี้ พวกเธอก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นเรอะ?!”
หลังจากนั้นหลิวซี่หยางก็เดินเข้ามาและเห็นทั้งสองคน
ตอนแรกมู่ชิงอี้ต้องการซบไปที่ไหล่ของโม่ซิ่ว แต่เธอก็รีบกลับมานั่งตัวตรงและก้มหน้าลงเพื่อเช็ดน้ำตาทันที
“โม่ซิ่ว นี่มันก็มันดึกแล้วรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ขอบใจมากนะที่ฟังฉันระบายน่ะ”
โม่ซิ่วกระโดดลงจากก้อนหินและพูดว่า "ฉันก็เหมือนกัน"
มู่ชิงอี้นั้นรู้สึกสบายใจมาก โม่ซิ่วเองก็เช่นกัน
เมื่อกี้เขารู้สึกโล่งใจอย่างมากที่ได้พูดว่า "จะเปลี่ยนโลก"
พวกเขาสองคนเดินเคียงข้างกันและเมื่อพวกเขาเดินผ่านหลิวซี่หยาง พวกเขาจึงแสร้งทําเป็นว่าพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและเดินตรงกลับไปที่ห้องของพวกเขาทันที
หลิวซี่หยางเกาหัวและพึมพําเบาๆ “สองคนนั้นเป็นอะไรไปน่ะ? อย่าบอกนะว่าพวกเขาละเมอเดินออกมานั่งเล่นน่ะ?”