บทที่ 1: โม่ซิ่ว
บทที่ 1: โม่ซิ่ว
ณ โรงเรียนมัธยมปลายชุนซิตี้ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำเมือง
ห้องเรียน ม.6/1...
"แม้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะเหลืออีกแค่สิบกว่าวัน ทุกคนก็ยังคงต้องทบทวนความรู้ด้านทฤษฎี โดยเฉพาะคนที่ยังไม่สามารถปลุกพลังของตัวเองได้ พวกคุณจำเป็นต้องศึกษาหลักการเบื้องหลังพลังเหล่านั้นอย่างละเอียด ถึงกระนั้น นักเรียนที่ปลุกพลังได้แล้วก็อย่าได้ประมาทไป การสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะเป็นตัวตัดสินชะตากรรมของคนๆหนึ่งอย่างแท้จริง"
อาจารย์กาวเฉียน ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้น ม.6/1 ยืนพูดอยู่บนโพเดียม อาจารย์คนนี้สวมชุดดำต่างจากนักเรียนคนอื่น
ในขณะเดียวกันสายตาของโม่ซิ่ว นั้นกลับเต็มไปด้วยความจริงจังและความมุ่งมั่น
ซึ่งโม่ซิ่วเองก็รู้ดีว่าการสอบเข้าในครั้งนี้อาจไม่ได้สำคัญมากนักสำหรับคนที่ฐานะทางบ้านดี
แต่มันคือโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ
อาจารย์กาวเฉียนพูดต่อว่า "ช่วงเช้าเราจะเริ่มด้วยการศึกษาด้วยตัวเองจนถึงเที่ยง หลังทานอาหารกลางวัน เราจะไปฝึกฝนที่สนามฝึก"
เมื่ออาจารย์กาวเฉียนพูดจบ เขาก็ออกไปทันที หลังจากนั้นนักเรียนบางคนก็เริ่มพูดคุยกัน
"เห้ยแกๆ ได้ยินมาบ้างรึเปล่า เมื่อวานโจวชิวหวู่ห้องสองปลุกพลังของเขาได้แล้วน่ะ! ได้ยินว่าปลุกพลังได้ตั้งสองอย่างเลย"
"จริงดิ? สองอย่างเลยหรอ? เก่งเวอร์! แบบนี้ก็ทิ้งพวกเราห่างเลยสิ แล้วรู้ไหมว่าเขาได้พลังอะไรน่ะ?"
"ก็แน่สิ เขาเป็นลูกคนรวยนี่ เรื่องพรสวรรค์น่ะไม่ต้องพูดถึง นอกจากนี้ใครจะบอกพลังของตัวเองออกมาโต้งๆกันล่ะจริงมั้ย?"
"เอ่อ..ก็จริงแฮะ!"
โม่ซิ่วไม่สนใจการพูดคุยของนักเรียนรอบข้าง เขาเริ่มทบทวนสรุปตั้งแต่ปีแรกซึ่งรวมถึงประวัติความเป็นมาของพลังและวิเคราะห์พื้นฐานของพลังเหล่านั้นด้วย
โม่ซิ่วเปิดไปหน้าแรกของโน้ตสรุปที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับที่มาของพลัง
“พลัง” นั้นคือพลังลึกลับที่ปรากฏขึ้นหลังจากดาวตกที่รู้จักกันในชื่อ 'จุดกำเนิด' พุ่งชนโลก โดยที่แสงแปลกประหลาดสาดลงมาทั่วผืนพิภพ ซึ่งแสงนี้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงและมอบพลังพิเศษเหนือธรรมชาติให้กับมนุษยชาติ ถึงแม้ว่าสาเหตุที่เกิดพลังนี้ได้จะยังคงคลุมเครือ แต่มันได้เปลี่ยนแปลงวิถีและประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไปตลอดกาล"
หน้าที่สอง...
"พลังเหล่านี้ในปัจจุบันเรียกว่า “ธาตุทั้งสี่” ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการควบคุมทั้งสี่ธาตุ ได้แก่ วายุธาตุ (ควบคุมลม) , อัคคีธาตุ (ควบคุมไฟ) , ปฐพีธาตุ (ควบคุมดิน) , และ วารีธาตุ (ควบคุมน้ำ) เมื่อถึงวันเกิดอายุครบ 18 ปี คนๆนั้นจะสามารถปลุกพลังธาตุแรกของตัวเองได้ หลังจากนั้น พวกเขาจะสามารถปลุกพลังธาตุเพิ่มอีกหนึ่งอย่างได้ทุกปี จนกว่าจะปลุกครบทั้งสี่ธาตุ"
เมื่อปลุกได้ครบทั้งสี่ธาตุ ก็เปรียบเหมือนกับการนำระบบเกมเข้ามาสู่โลกแห่งความจริงซึ่งมันจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับโลกใบนี้ได้
พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดของโม่ซิ่ว แต่เขายังไม่สามารถปลุกพลังของตัวเองได้ ถ้าการสอบในครั้งนี้สามารถเปลี่ยนโชคชะตาของเขาได้ การปลุกพลังก็จะเป็นตัวตัดสินโชคชะตาของเขาเช่นกัน
พลังของแต่ละคนและประโยชน์ที่ใช้นั้นจะส่งผลโดยตรงต่อทิศทางของอนาคตของคนๆนั้น ดังนั้นเมื่อถึงวันเกิดครบ 18 ปีของเขา เขาจึงเต็มไปด้วยความกังวล
ทันใดนั้น เสียงกริ่งหมดคาบเรียนช่วงบ่ายก็ดังขึ้น
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง...
"เห้ย! โม่ซิ่ว เลิกอ่านได้แล้ว ไปกินข้าวเหอะ นี่แกจะทบทวนความรู้ทฤษฎีตั้งแต่ต้นเลยจริงๆงั้นเรอะ?"
คนที่พูดอยู่คือเจิ้งอี้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของโม่ซิ่วในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้
โม่ซิ่วปิดหนังสืออย่างใจเย็นแล้วยิ้มอย่างสงบ "ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?"
เจิ้งอี้ตกใจเล็กน้อยก่อนพูดว่า "แล้วแต่ละกัน แต่ตอนนี้ไปกินข้าวกันเหอะ!"
จากนั้นทั้งสองคนก็ไปกินข้าวที่โรงอาหาร ทันทีที่พวกเขานั่งลงเจิ้งอี้ก็กระซิบกับโม่ซิ่วทันที
"โม่ซิ่ว คืนนี้มีงานเลี้ยงนะไปด้วยกันป่าว"
ขณะที่โม่ซิ่วกินข้าว เขาเหลือบมองไปที่เจิ้งอี้แล้วส่ายหัว "ไม่อ่ะ วันนี้ฉันมีฝึก"
เจิ้งอี้เบะปากแล้วพูดว่า "น่าเบื่อจริงๆ มู่ชิงอี้เองก็จะไปงานเลี้ยงนี้ด้วยนะ แล้วอย่ามาบอกว่าฉันไม่ชวนแกทีหลังนะเว้ย"
มู่ชิงอี้คือประธานนักเรียน ซึ่งพวกเขา (โม่ซิ่วและมู่ชิงอี้) เป็นสองคนที่ขยันเรียนที่สุดในทั้งชั้น
โดยปกติแล้ว พวกเขามักจะเป็นสองคนสุดท้ายที่ออกจากโรงเรียน ดังนั้นพวกเขาจึงได้พูดคุยกันบ้าง
เมื่อเจิ้งอี้เห็นว่าโม่ซิ่วดูเหมือนจะสนิทกับมู่ชิงอี้มากเ ขาจึงตัดสินใจทำตัวเป็นพ่อสื่อเข้าซะเลย
"ไม่ว่าใครจะไป ฉันก็ไม่ไปหรอก!"
"แกนี่นะ…"
...
ที่สนามฝึกของโรงเรียนมัธยมปลายชุนซิตี้
"หื้ออ! หล่อจัง! ดูสิโม่ซิ่งทำลายสถิติด้านความเร็วอีกแล้ว!"
"ใช่ๆ เขาวิ่งระยะทาง 100 เมตรได้ภายในเวลา 7.65 วินาที บางทีนี่อาจจะเป็นสถิติใหม่ของโรงเรียนเลยก็ได้นะ"
"พวกแกสองคนหยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว แค่มองหน้าโม่ซิ่วและเลิกคิดเรื่องแบบนั้นเถอะ"
กลุ่มนักเรียนหญิงกำลังพูดคุยกันถึงโม่ซิ่ว
การสอบเข้านั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ประเภทแรกคือ การสอบภาคทฤษฎี ประเภทที่สองคือ การสอบภาคปฏิบัติ (ด้านร่างกาย) และประเภทที่สามคือการสอบด้านทักษะ
ข้อสอบภาคทฤษฎีนั้นทดสอบความรู้ที่พวกเขาได้เรียนมาจากตำราเรียน ส่วนการสอบภาคปฏิบัติ (ด้านร่างกาย)จะประกอบด้วย การทดสอบความแข็งแรง การทดสอบความเร็ว และการทดสอบด้านการต่อสู้
ในขณะเดียวกัน การสอบทักษะนั้นจะใช้ศัตรูจำลองผ่านคอมพิวเตอร์ เพื่อทดสอบการใช้และพลังของทักษะของแต่ละคน
โม่ซิ่วนั้นไม่ค่อยกังวลกับการสอบทั้งสองประเภทแรก เพราะเขาเป็นอันดับหนึ่งในโรงเรียนในด้านการสอบทฤษฎี ในขณะที่ผลการทดสอบร่างกายของเขานั้นยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก
ซึ่งโรงเรียนมัธยมต้นชุนซิตี้นั้นแบ่งผลการทดสอบร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ระดับสูงสุดคือ โม่ซิ่ว ระดับที่สอง ว่าง และนักเรียนคนอื่นๆนั้นอยู่ในระดับที่สาม
สิ่งเดียวที่โม่ซิ่วกังวลคือ การสอบด้านทักษะที่มีเวลาน้อยเกินไป เพราะเหลืออีกเพียงสิบวันเท่านั้นก่อนการสอบเข้า
เขาจะมีเวลาน้อยมากที่จะทำความคุ้นเคยกับทักษะของตัวเอง
“ฉันวิ่ง 100 เมตร ได้ภายในเวลา 7.65 วินาที และพลังหมัดของฉันก็อยู่ที่ 230.4 กิโลกรัม ดูเหมือนฉันจะต้องพยายามให้หนักขึ้น และเนื่องจากฉันยังไม่รู้ทักษะของตัวเอง ดังนั้นฉันจะต้องเพิ่มผลลัพธ์ในอีกสองประเภทให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
จากนั้นเสียงห้วนๆก็ดังขึ้น
“โม่ซิ่ว แกกล้าแข่งกับฉันไหม?”
ชายหนุ่มคนนี้คือหวังซวนหูเพื่อนร่วมชั้นของโม่ซิ่ว ซึ่งผลการเรียนของเขามักจะถูกโม่ซิ่วและมู่ชิงอี้กดทับเอาไว้เสมอเปรียบเสมือนเงาตามตัว ซึ่งผลลัพธ์จึงออกมาว่าเขามักจะเป็นที่สามอยู่เสมอ
ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา หวังซวนหูต้องอยู่ในอันดับต่ำกว่าโม่ซิ่วมาโดยตลอด
ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขามองเห็นความหยิ่งของโม่ซิ่วมาตลอดจนทนไม่ไหว
ซึ่งพอดีที่วันนี้มีคนกำลังให้ความสนใจโม่ซิ่วอยู่มาก ดังนั้นหวังซวนหูจึงถือโอกาสนี้เพื่อจะทำให้โม่ซิ่วต้องอับอาย
“จะแข่งอะไรล่ะ?”
“แข่งประลองฝีมือไงล่ะ!” หวังซวนหูกล่าวท้า
“การสอบเข้าเองก็มีการประลองฝีมืออยู่แล้ว ดังนั้นการหาคู่ซ้อมคงไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกใช่ไหม?”
โม่ซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง มันก็จริงอยู่ที่เขาไม่มีประสบการณ์การต่อสู้มากนัก ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล
พวกเขาทั้งสองคนมาถึงสนามรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีความยาวและกว้าง 25 เมตร ซึ่งผู้ที่แพ้คือผู้ที่ออกนอกเขตสนามหรือสลบไปเท่านั้น
เนื่องจากความกำยำของโม่ซิ่วนั้นยอดมาก จึงไม่มีใครกล้าท้าทายเขามาตลอด 3 ปี ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงมีผู้ชมจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน เจิ้งอี้ได้เบียดเสียดเข้าไปในฝูงชน และเมื่อเขาเห็นว่าคนที่กล้าท้าทายโม่ซิ่ว เขาจึงตกใจมาก
เจิ้งอี้ตะโกนออกไปว่า "หวังซวนหู นี่แกอยากโดนตื๊บงั้นเรอะ?"
เจิ้งอี้นั้นพูดแบบนั้นออกไปเพราะเชื่อว่าถ้าเป็นการประลองที่วัดกันที่พละกำลังล้วนๆ โม่ซิ่วจะไม่มีทางแพ้
“จะเริ่มเลยไหม?” โม่ซิ่วถามพร้อมกับยื่นมือออกไปทำท่าทีเชื้อเชิญ
หวังซวนหูนั้นไม่ได้ตอบโต้ กลับกันเขาก้าวเท้าออกไปกว้างๆแล้วเร่งความเร็วก่อจะพุ่งเข้าใส่โม่ซิ่วทันที
เสียงตะโกนที่น่ารำคาญของเจิ้งอี้นั้นดังขึ้นเช่นกัน
การโจมตีแบบสายฟ้าแลบของหวังซวนหูนั้นทำให้โม่ซิ่วถึงกับตั้งตัวไม่ทัน
ถึงอย่างนั้น สีหน้าของโม่ซิ่วยังคงเรียบเฉยไร้ซึ่งความตกใจ เขาออกแรงที่ขาและก้าวหาแทนที่จะถอยหนี จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวทางด้านขวาของหวังซวนหูอย่างรวดเร็วและชกหมัดใส่ท้อง
“อ๊าก!”
หวังซวนหูล้มลงไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด หลังจากนั้นสักพักเมื่อเห็นว่าโม่ซิ่วไม่ได้โจมตีต่อ เขาจึงค่อยๆลุกขึ้นยืน
ฝูงชนเริ่มพูดคุยกัน ซึ่งคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างพลังของทั้งสองคนนั้นห่างกันเกินไป และหวังซวนหูน่าจะแพ้อย่างแน่นอน
หวังซวนหูจึงก้มหน้าลงลักษณะเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง
คราวนี้หวังซวนหูหลบหลีกการเตะของโม่ซิ่วได้
หวังซวนหูที่หลบหลีกการโจมตีไปได้ ไม่ได้ตอบโต้ต่อ กลับกันเขาเข้าไปรัดขาของโม่ซิ่วเอาไว้
โม่ซิ่วไม่รอช้ารีบคว้าโอกาสนี้เพื่อชกหมัดใส่หน้าอกของหวังซวนหูทันที
ทันทีที่ทุกคนคิดว่าการประลองจบลงแล้ว หวังซวนหูกลับยิ้มด้วยความร้ายกาจ
“พลังที่หนึ่ง เขี้ยวพิฆาต!” หวังซวนหูตะโกนออกมาเสียงดัง
ขณะที่ทุกคนเฝ้ามองด้วยความตะลึง หนามแหลมได้งอกออกมาจากร่างกายของหวังซวนหูอย่างรวดเร็ว
ในวินาทีนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่โม่ซิ่วจะชักมือมาได้ทัน ดังนั้นเขาจึงทำเพียงแค่ยื่นมือออกไปคว้าหนามแหลมเพื่อลดความเสียหายให้น้อยลง
มือของเขาคว้าไปโดนหนามแหลมบนร่างกายของหวังซวนหูอย่างแน่นหนึบ จากนั้นโม่ซิ่วได้ใช้แรงเหวี่ยงนั้นดึงขาซ้ายออกมา
แม้ว่าโม่ซิ่วจะเตรียมรับมือไว้แล้ว แต่เขาก็ยังคงได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งทั้งขาซ้ายและมือขวาได้ถูกหนามแหลมทิ่มแทง
เจิ้งอี้พุ่งเข้าสู่สนามประลอง และตะโกนด้วยความโกรธใส่หวังซวนหูว่า “หวังซวนหู นี่แกยังกล้าใช้พลังงั้นเรอะ?! หน้าด้านจริงๆ วันนี้ฉันจะทำให้แกได้ลิ้มรสกับความทรมานเอง!”
หวังซวนหูใช้พลังของเขาจริงๆ! ซึ่งโดยปกติแล้ว ในการประลองธรรมดา ทั้งสองฝ่ายจะตกลงกันว่าจะไม่ใช้พลัง ถ้าหากต้องการใช้พลังจะต้องมีการแจ้งล่วงหน้า
ทุกคนรู้ดีว่าโม่ซิ่วนั้นยังไม่สามารถปลุกพลังใดๆได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นการวางแผนลวงของหวังซวนหูอย่างชัดเจน
ผู้คนรอบข้างเองก็เริ่มพูดถึงความหน้าด้านของหวังซวนหูกันจ้าละหวั่น แต่ทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าโม่ซิ่ว กำลังมองไปที่แผลของเขาด้วยความตื่นเต้น
เจิ้งอี้กำลังจะพุ่งเข้าไป แต่โม่ซิ่วคว้าแขนจองเขาไว้และส่ายหัวเพื่อให้หยุด
เจิ้งอี้กระซิบว่า “โม่ซิ่ว แกจะยอมทนกับเรื่องแบบนี้รึไงกัน? ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะรับผิดชอบเอง”
โม่ซิ่วดึงตัวเจิ้งอี้ไปไว้ด้านหลังเขาแล้วเดินเข้าไปหาหวังซวนหูทีละก้าว ก่อนจะยื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “จะสู้ต่อไหม?”
“อ้าวเฮ้ย?!”
ทุกคนรอบๆสนามต่างพากันส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ ทั้งที่สภาพเป็นแบบนี้ไปแล้ว แต่ยังอยากจะสู้ต่ออีกงั้นรึ?
หวังซวนหูเองก็ตกตะลึง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไร้ซึ่งเสียงตอบใดๆ
“จริงสิ! นายจะใช้พลังของนายก็ได้นะ!” โม่ซิ่วพูดต่อ
…
“เฮ้ยยยยย?!?!? (เสียงร้องด้วยความตกใจมากกว่าเดิมของทุกคนดังขึ้น)”