ตอนที่ 18 ผู้หญิงเช่นเราเกิดมาเพื่อเสวยสุข
ตอนที่ 18 ผู้หญิงเช่นเราเกิดมาเพื่อเสวยสุข
ความจริงคือในท้องพระโรงหลิงเซียวแห่งนี้ไม่มีใครสามารถทำร้ายจักรพรรดินีได้
เพราะนอกจากการคุ้มกันของผู้ฝึกตนระดับหยวนเสินประจำราชวงศ์แล้ว ในท้องพระโรงหลิงเซียวยังเป็นสถานที่รวบรวมขุนนางผู้ฝึกตนระดับสูงเข้าไว้ด้วยกัน ทางด้านจักรพรรดินียังถือครองตราประทับวิหคดำ จึงเรียกว่าได้การคุ้มกันของนางเมื่อรวมกันแล้วยังเหนือกว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนเสินขึ้นไปอีก
เว้นแต่จะมีปรมาจารย์ระดับบรรลุวิถีในตำนานมาปรากฏบนโลก เพียงแต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีใครในโลกก้าวสู่ระดับนั้นได้
เมื่อจักรพรรดิของราชวงศ์ต้าซางฝึกตนถึงระดับหยวนเสินแล้วรวมเข้ากับการถือครองตราประทับวิหคดำจะเป็นการเพิ่มพลังวิญญาณไปอีกระดับและสามารถใช้พลังที่ใกล้เคียงกับระดับบรรลุวิถีได้เลย
นี่คือเหตุผลโดยพื้นฐานที่ราชวงศ์ต้าซางยังคงยืนหยัดมาได้ยาวนั้นและครองโลกเพียงหนึ่งเดียว
ถ้าอดีตจักรพรรดิไม่สิ้นพระชนม์อย่างลึกลับก่อนบรรลุระดับหยวนเสิน เกรงว่าโลกปัจจุบันจะมีเสถียรภาพและความสามัคคีมากขึ้น
ใต้แท่นสูง จี้อู๋ฉางดูน่าสมเพช
“ฝ่าบาทโปรดเมตตา!”
ทว่าเขาถูกผนึกพลังวิญญาณและดึงพลังทิ้งโดยไม่มีทางได้ต่อต้านเลย
ในวันเดียวกันนี้ตระกูลเสิ่นก็ไม่รอด เสิ่นฉางเฟิงถูกปลดจากตำแหน่งด้วยข้อหาจัดตั้งกลุ่มลับเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและทำให้ราชสำนักเสื่อมเสีย
บรรดาขุนนางที่เหลือจึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คงเพราะฝ่าบาทตั้งใจปราบปรามตระกูลใหญ่เป็นเยี่ยงอย่าง
ตระกูลเสิ่นและตระกูลจี้ก็เป็นแค่การเชือดไก่ให้ลิงดู
แม้ว่าคนตระกูลเสิ่นที่เหลือจะไม่เต็มใจยอมรับ แต่พวกเขาเห็นว่าตระกูลจี้น่าอนาถยิ่งกว่าจึงรู้สึกดีขึ้น
อย่างน้อยตระกูลจี้ก็ถูกโค่นล้มและโดยรวมตระกูลเสิ่นยังได้กำไร
โดยปราศจากข้อกล่าวหาจากตระกูลจี้ หลี่เต๋อเฉวียนจึงพ้นผิด
เขาถูกตัดเงินเดือนเพียงหนึ่งฤดูกาลเท่านั้น
“ขอบคุณมาก ขอบคุณท่านโหวซูที่เข้ามาช่วยเหลือ”
หลังได้รับการปล่อยตัวจากคุกหลวง หลี่เต๋อเฉวียนได้แสดงความขอบคุณซูอันแบบสุดซึ้ง แต่เขายังไม่รู้ว่าบุตรสาวได้ขายตัวเองให้ซูอันเพื่อช่วยบิดาแล้ว หลี่จื่อซวงก็ไม่กล้าบอกหลี่เต๋อเฉวียนเช่นกัน
มิฉะนั้นก็น่าสงสัยว่าเขาจะรู้สึกขอบคุณมากขนาดนี้หรือเปล่า
……
จวนตระกูลซู อาทิตย์อยู่กลางศีรษะ
ในห้องนอนของซูอัน
“พี่จื่อซวงคนนี้ใช้ไม่ได้เลยนะ”
เมื่อมองหลี่จื่อซวงที่กำลังนั่งยองๆ และยกมือจับคอเอาไว้ด้วยท่าท่างกระอักกระอ่วน เยี่ยหลีเอ๋อร์ก็แสดงท่าทีดูถูกออกมา
บางทีอาจเป็นความพิเศษจากกายอินบริสุทธิ์จึงทำให้เยี่ยหลีเอ๋อร์มีความสามารถในการเรียนรู้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญในเรื่องประเภทนั้น
ใบหน้าของหลี่จื่อซวงแดงก่ำด้วยความอับอาย
ก่อนหน้านี้นางมักจะหมกมุ่นอยู่กับมัน และนางเต็มใจที่จะถูกซูอันหลอกเพราะความสุขที่บิดาได้รับการปล่อยตัว
แต่เรื่องประเภทนั้น สำหรับคนปกติจะปรับตัวเข้ากับมันง่ายๆ ได้หรือ
……
เยี่ยเสวียนซึ่งอยู่ห่างไกลถึงตงโจวและกำลังแพร่ข่าวเกี่ยวกับมังกรอสูร บัดนี้โผล่ขึ้นมาโดยมีสภาพไม่ต่างจากเดิมนัก แค่เปลี่ยนจากพืชน้ำมาเป็นใบไม้หลายใบกองอยู่บนศีรษะและมีหนอนใบไม้สีเขียวตัวอ้วนอยู่ด้วย
“ข้ารู้สึกเหมือนสูญเสียสิ่งต่างๆ ไปมากมายแล้ว”
เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่เขายังก้นด่าเหมือนเดิมว่า “ซูอัน เจ้าสมควรตาย!”
……
ผ่านไปไม่กี่วันนับตั้งแต่การประชุมราชสำนักครั้งล่าสุด
ในครั้งนี้ซูอันได้สร้างความดีความชอบจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง
นั่นคือตำแหน่งราชเลขาธิการขั้นสาม มีหน้าที่ช่วยเหลือองค์จักรพรรดินีจัดการกิจการบ้านเมือง
ก่อนหน้านี้ตำแหน่งนี้ว่างมาโดยตลอด
ตอนนี้ซูอันเป็นราชเลขาธิการของจักรพรรดินีแล้ว นอกจากจะยุ่งกับงานราชการ เขายังมีอีกหลายเหตุผลที่ต้องเข้าวัง
โดยเฉพาะเวลาที่ไท่โฮ่วเรียกหา ซูอันจะวิ่งไปเข้าเฝ้าทุกๆ สามวัน หรือบางคราวเขาจะแวะไปหยอกล้อพี่ชิงหลิงด้วย
ทุกครั้งที่เขาเห็นสีหน้าว่างเปล่าของพี่ชิงหลิงมีสีแดงระเรื่อแต้มอยู่ ซูอันจะรู้สึกพึงพอใจมาก
“พี่ชิงหลิงดูอะไรอยู่หรือ?”
ซูอันเดินไปข้างหลังชิงหลิงเงียบๆ และยกมือตบไหล่ของนาง
เฮือก!
ชิงหลิงสะดุ้งโหยงและหนังสือในมือของนางหล่นลงพื้นทันที
บางทีนางอาจตั้งใจอ่านเกินไป หรือบางทีนางไม่ได้สัมผัสถึงรัศมีของซูอัน แต่นางไม่ได้สังเกตเห็นการเข้ามาใกล้ของซูอันจริงๆ
“เจ้า เจ้ามาที่นี่ทำไม” นางพูดขณะบังคับตัวเองให้สงบ แต่เท้าเล็กๆ ของนางยังไม่หยุดเคลื่อนไหว มันเผยให้เห็นความแปลกประหลาดในตัวนางได้ชัดเจน
ซูอันมองชิงหลิงด้วยความสงสัย เหตุใดวันนี้พี่ชิงหลิงจึงมีปฏิกิริยามากขนาดนี้
“ข้าแวะมาหาพี่ชิงหลิงไง”
“โอ้ อา! ข้าจำได้ว่ายังมีงานต้องทำ ถ้าไม่มีอะไร ข้าจะไปก่อนนะ”
นางมองใบหน้าหล่อเหลาของซูอันที่อยู่ตรงเบื้องหน้า เมื่อรวมเข้ากับเนื้อหาในหนังสือที่นางเพิ่งดูจึงทำให้ใบหน้าของนางแดงก่ำและนางหายตัวไปในพริบตา
เมื่อนางอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดหลี่แล้ว นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ซูอันเกือบจับได้แล้ว
แต่เนื้อหาเหล่านั้นในหนังสือน่าสนใจมาก ไม่น่าแปลกใจที่พวกนางกำนัลในวังหลายคนจะชื่นชอบ
เดิมทีนางยึดหนังสือมาจากนางกำนัลในวัง แต่กลายเป็นว่านางอดจะเปิดดูไม่ได้
นางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าและตั้งใจว่าจะหยิบออกมาดูต่อ
ในพริบตาเดียว ร่างกายของนางพลันแข็งทื่อ
ช้าก่อน หนังสือของข้าอยู่ไหน?
……
ซูอันยังอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นชิงหลิงวิ่งจากไปด้วยความรวดเร็ว เขาจึงยกมือเกาศีรษะด้วยความฉงน
เหตุใดวันนี้พี่ชิงหลิงจึงแปลกมาก?
นางวิ่งเร็วมากจนลืมเก็บหนังสือขึ้นมาด้วยซ้ำ
เขาก้มลงหยิบหนังสือที่หล่นบนพื้นขึ้นมา และชื่อหนังสือดึงดูดความสนใจของซูอันทันที
‘พี่สาวเทพธิดากระบี่เย็นกับน้องชายหมาเด็กของนาง’
เอ่อ~ชื่อของหนังสือเล่มนี้ออกจะประหลาดไปหน่อย!
เมื่อเปิดหนังสือออกดูจึงพบว่ามันเป็นหนังสือภาพและเป็นภาพเกี่ยวกับการต่อสู้เร่าร้อนระหว่างชายหญิง
ฟึบ!
เมื่อซูอันกำลังจะพลิกหน้าต่อไป ชิงหลิงก็มาปรากฏตัวอีกครั้งและมองซูอันที่กำลังก้มหน้าดูหนังสือในมือ
จังหวะนี้คนทั้งสองได้แต่มองตากันปริบๆ
บรรยากาศในโถงใหญ่ตกอยู่ในความกระอักกระอ่วนและมีความลำบากใจเพิ่มขึ้น
จบเห่!
ชิงหลิงรู้สึกเพียงว่าชีวิตนางจบสิ้นแล้ว
หากโลกนี้ถูกทำลาย คงจะไม่อับอายอีกต่อไป
“พี่ชิงหลิง…” ซูอันพูดก่อนเพื่อทำลายบรรยากาศหนักอึ้ง
“นี่ไม่ใช่ของข้านะ” ชิงหลิงรีบอธิบาย
“พี่...”
“เอาล่ะ หยุดพูดเถอะ” ชิงหลิงยกมือปิดหน้า จากนั้นรีบคว้าหนังสือจากมือของซูอันและหายไปอีกครั้งในพริบตา
เป็นความเร็วเกือบจะสูงสุดของระดับมิ่งตานแล้ว
ในช่วงเวลาสั้นๆ ต่อจากนี้ นางไม่กล้าเจอซูอันอีกแล้ว
“เอ่อ ที่จริงข้าอยากจะพูดว่าหากเจ้าอยากรู้ก็สามารถไปดูงานจริงที่จวนข้าได้”
ซูอันส่ายหน้าพลางยิ้มแบบห้ามไม่อยู่
“คาดไม่ถึงว่าพี่ชิงหลิงจะมีมุมเร่าร้อนด้วยนะเนี่ย”
“ปกติชอบทำตัวนิ่งๆ เงียบๆ แต่ข้างในชอบความสนุกซุกซนไม่เบา”
“นี่อาจเป็นความย้อนแย้งกระมัง” ซูอันยกมือแตะคางพลางครุ่นคิด
ขณะที่เขากำลังใช้ความคิด ทันใดนั้นก็มีเสียงดังอยู่นอกห้องโถง
“เฮ้! พวกเจ้ายังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า!” เสียงผู้หญิงที่หยิ่งผยองเสียงหนึ่งดังขึ้น “เหตุใดข้าต้องทำงานทั้งหมดนี้ด้วย? ข้าไม่ทำ!”
“ไม่มีใครสอนกฎให้เจ้าหรือ?” เสียงผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าอีกคนดังขึ้นพร้อมคำตำหนิ
“เฮอะ ข้ารู้ดี เพียงแต่ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน แล้วจะมีกฎที่สามารถรังแกคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร” เสียงผู้หญิงที่เย่อหยิ่งไม่ยอมแพ้
“เสี่ยวเจวียนอย่าทำแบบนี้เลย หากเจ้าส่งเสียงดังเกินไปจะรบกวนเจ้านายผู้สูงศักดิ์เอาได้” มีอีกเสียงหนึ่งดังเพื่อเกลี้ยกล่อมนาง “พวกเราเป็นนางกำนัลในวัง และมีหลายคนอยากจะเป็นคนรับใช้ในวังแต่ก็ทำไม่ได้นะ”
“เฮอะ นี่เป็นการแบ่งชนชั้นบ้าบอ เหตุใดข้าต้องรับใช้พวกนั้นด้วย? คนอื่นต่างหากต้องมารับใช้ข้า” หลินเจวียนเหวี่ยงไม้กวาดทิ้งโดยแรงและยกมือเท้าสะเอวพลางตะโกนว่า “คนยุคโบราณแบบพวกเจ้าช่างมีความคิดโง่เขลาและมีสมองน้อยจริงๆ ดินเหลวฉาบไม่ติดผนัง [1] เห็นได้ชัดว่างานเหล่านี้เป็นงานของพวกผู้ชาย และผู้หญิงอย่างเราเกิดมาเพื่อเสวยสุขต่างหาก”
เชิงอรรถ
[1] ดินเหลวฉาบไม่ติดผนัง (烂泥扶不上墙) หมายถึง คนไร้ความสามารถและโง่เขลา ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ หมดหนทางช่วยเหลือ