ตอนที่ 17 กำจัดญาติเพื่อดำรงธรรม
ตอนที่ 17 กำจัดญาติเพื่อดำรงธรรม
“ซูอัน! อย่ามาใส่ร้ายกันเช่นนี้ ตระกูลจี้ของเรามีความภักดีต่อราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน เราจะสมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมารได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าท่านสาดน้ำสกปรกใส่ตระกูลจี้ของข้าเพื่อจะช่วยล้างความผิดให้หลี่เต๋อเฉวียน”
“ถูกต้อง ซูอัน แม้ว่าท่านจะเป็นท่านโหว แต่ก็ไม่สามารถใส่ร้ายตระกูลจี้ของเราได้”
“อาศัยแค่ลมปาก! ท่านมีหลักฐานหรือไม่?”
ขุนนางจากตระกูลจี้ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกแล้ว พวกเขาแสดงตัวทีละคนแล้วเริ่มโต้แย้งซูอัน
มีขุนนางหนุ่มเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ท้ายแถวขุนนางอื่นๆ ซึ่งดูคล้ายกับจี้อู๋ฉางเจ็ดแปดส่วน เขามีเหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผากจนมันไหลลงมาตามกระดูกสันหลัง และมือเท้าของเขาเย็นราวกับน้ำแข็ง
เป็นไปได้อย่างไร เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาปกปิดอย่างดีแล้วจะถูกค้นพบได้อย่างไร
พูดลอยๆ แน่ มันจะต้องเป็นเท็จและไม่มีหลักฐาน!
“สาดน้ำสกปรก? เฮอะ! แล้วก่อนหน้านี้พวกท่านสาดอะไรใส่หลี่เต๋อเฉวียน? อุจจาระหรือ?”
ด้วยการแสดงออกที่ชอบธรรมและเที่ยงตรง ซูอันยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าซูอันมีจิตวิญญาณที่เที่ยงธรรม สองแขนเสื้อโปร่งใสสะอาด มีความภักดีต่อจักรพรรดินีและแผ่นดิน เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีและเหล่าขุนนางทั้งบู๊บุ๋น หากข้าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ข้าจะกล้าเปิดเผยความชั่วของตระกูลจี้ได้อย่างไร”
หรือมีคนในตระกูลสมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมารจริง?
จี้อู๋ฉางคิดเช่นนี้แล้วหน้าซีดเผือด
มิฉะนั้นซูอันจะพูดด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่มั่นใจขนาดนี้ได้หรือ
หากอยู่เฉยๆ แล้วผู้ใดจะกล้าทำร้ายตระกูลจี้ของข้า!
เขาเริ่มนึกถึงการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาในตระกูลจี้ที่เขาไม่ค่อยสังเกตเห็นมากนัก
“ฝ่าบาท นี่คือหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูอันหยิบหินฉายซ้ำออกมาแล้วชูมันขึ้นพลางมองจี้อู๋ฉางและพูดเสียงดังว่า “มีภาพเหตุการณ์ตอนที่คนตระกูลจี้สมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมารอยู่ในนี้”
ใบหน้าของจี้อู๋ฉางไร้สีเลือดและในใจมีการคาดเดาที่คลุมเครืออยู่
“ถ้าเช่นนั้นเรามาดูกันเลย” จักรพรรดินีพูดโดยไม่แสดงอารมณ์และไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
พลังเวทถูกซัดเข้าใส่หินฉายซ้ำเพื่อเปิดใช้งานพลังภายใน และภาพเหตุการณ์ก็ปรากฏขึ้นในท้องพระโรงใหญ่ทันที
เกิดความโกลาหลขึ้นในราชสำนัก
มันเป็นเรื่องจริง!
ขุนนางหนุ่มที่อยู่ท้ายแถวทรุดกายคุกเข่าลงด้วยความอ่อนแรงเมื่อหนึ่งในภาพที่ฉายซ้ำแสดงให้เห็นว่าเขากำลังพูดคุยกับกลุ่มผู้ปลูกฝังมาร
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือแผนการของซูอัน
บังเอิญมีช่วงหนึ่งในม่านพลังนั้นที่ผู้ปลูกฝังมารคนหนึ่งดื่มสุราหลายจอกและตะโกนว่า “โคตรบัดซบ พวกสุนัขในราชสำนักไล่ตามพวกข้าตลอดทั้งวัน และบรรดาลูกน้องจอมวายร้ายในวังหลวงนั่นอีก เอาแต่ไล่ตามเราเหมือนหมาไน ชีวิตของเราช่างน่าสังเวชจริงๆ คิดแล้วอยากจะโค่นล้มต้าซางให้สิ้นซาก”
นอกจากนี้ยังมีผู้ปลูกฝังมารส่งเสียงสนับสนุนด้วยท่าทางฮึกเหิมว่า “เผาทำลายท้องพระโรงหลิงเซียวและยึดบัลลังก์ของจักรพรรดินีซางนั่นซะ”
ขุนนางหนุ่มยืนอยู่ในหมู่ผู้ปลูกฝังมาร เขาชูจอกสุราขึ้นแล้วตะโกนว่า “ทุกคนมาดื่มจอกนี้ด้วยกันเพื่อฉลองให้กับความร่วมมือครั้งใหญ่!”
ม่านพลังดับลง ณ จุดนี้
ขุนนางทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะมองไปในทิศทางของขุนนางหนุ่มด้วยสีหน้าแปลกๆ
“นอกจากหลักฐานชิ้นนี้แล้วยังมีพยานบุคคลด้วย ตอนนี้ผู้ปลูกฝังมารในภาพนั้นถูกจำคุกของหน่วยวิหคดำและยอมรับสารภาพทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ” ซูอันส่งมอบหนังสือบันทึกคำสารภาพของผู้ปลูกฝังมาร
ขุนนางหนุ่มคนนี้ไปเอาความกล้ามาจากที่ใด?
เดิมทีทุกคนคิดว่าเขาอาจจะมีสหายผู้ปลูกฝังมารสักคนสองคน แต่ไม่คิดว่า...
“ไอหยา คราวนี้ตระกูลจี้จบเห่แล้ว”
ตระกูลจี้ไม่มีผู้ฝึกตนระดับหยวนเสินแม้แต่คนเดียว แล้วจะมีความทะเยอทะยานขนาดนี้เชียวหรือ?
จี้อู๋ฉางซึ่งเคยยืนกรานไว้ก่อนหน้านี้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เคราของเขาสั่นไหว ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือกลัวกันแน่
“ไอ้ลูกชั่ว ไอ้ลูกสารเลว!”
เขาหันกลับไปจ้องมองขุนนางหนุ่มที่ทรุดตัวลงกับพื้นและนึกอยากจะตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว
เป็นคุณชายตระกูลจี้ดีๆ ไม่ชอบ ดันไปสมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมาร กำลังคิดบ้าอะไร?
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ข้าแค่...” ขุนนางหนุ่มต้องการอธิบาย แต่เขาหวาดกลัวจนพูดไม่ออก
แม้ว่าเขาจะคบหากับผู้ปลูกฝังมาร แต่มันเป็นเพียงการหลอกใช้ผู้ปลูกฝังมารเพื่อให้ได้อักษรมารเท่านั้น
ความร่วมมือครั้งใหญ่ซึ่งเขาเอ่ยถึงมีความหมายเช่นนี้
ส่วนการโค่นล้มต้าซางอะไรนั่น
มอบความกล้าให้เขาอีกพันครั้ง เขาก็ไม่กล้าคิด!
ในเวลานี้เขาตระหนักได้ว่าการตัดต่อหินฉายซ้ำโดยตัดท่อนแรกและท่อนหลังออกด้วยจุดประสงค์ที่มุ่งร้ายนั้นสร้างความเกลียดชังร้ายแรงเพียงใด
ซูอันผู้อยู่เบื้องหลังหินฉายซ้ำ เมื่อหมดหน้าที่แล้วเขาแค่ยืนนิ่งเหมือนกำลังชมการแสดงชั้นยอด
ภารกิจของเขาสำเร็จแล้ว
“ไอ้ลูกทรพี เจ้าสร้างความเดือดร้อนให้ตระกูลจี้ของข้า จะเก็บเจ้าไว้ไม่ได้อีก!”
ทันใดนั้นจี้อู๋ฉางก็ลงมือและพลังเวทแห่งหยางบริสุทธิ์สั่นสะเทือนไปทั่วพื้นที่
ก่อนที่ขุนนางหนุ่มจะมีเวลาได้กรีดร้อง เขาก็ถูกซัดจนกลายเป็นหมอกโลหิต
เมื่อซูอันได้เห็นภาพนี้แล้วยังอดเม้มปากไม่ได้ คนผู้นี้ช่างโหดร้ายนัก ถึงขั้นสังหารญาติเพื่อดำรงความยุติธรรม และนั่นคือบุตรชายแท้ๆ ของตนด้วยซ้ำ
แต่น่าเสียดายที่ความผิดร้ายแรงเกินไป แม้จะฆ่าอีกแปดหรือสิบหนก็ไร้ประโยชน์
“บังอาจ!” หงเสาที่ยืนอยู่ด้านหลังของจักรพรรดินีแสดงความเกรี้ยวโกรธ
จี้อู๋ฉางกล้าสังหารคนในราชสำนัก หมายความว่าเขาไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาเลย
แต่จี้อู๋ฉางคุกเข่าลงทันทีและโขกศีรษะลงกับพื้นพลางเอ่ย “ฝ่าบาท กระหม่อมล้มเหลวในการสอนลูกชายให้ดีและสมควรได้รับโทษประหารชีวิต แต่ตระกูลจี้ที่เหลือนั้นบริสุทธิ์! ฝ่าบาทย่อมทราบชัดเจนว่ากระหม่อมยอมตายเพื่อรับโทษ และหวังว่าฝ่าบาทจะมีเมตตาต่อกระหม่อมที่ตั้งใจทำงานรับใช้ราชสำนักตลอดหลายปีที่ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ!”
ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเจ็บปวด สร้างบรรยากาศโดยรวมให้เศร้าหมอง
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะหลงเชื่อในรูปลักษณ์นี้
“ท่านพูดว่าตัวเองบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์หรือ ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ท่านเพิ่งทำไปนั้นคือการฆ่าปิดปากหรือไม่”
นี่คือคำพูดของเสิ่นฉางเฟิง
“ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมารคือลูกชายคนโตของท่าน ถ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลจี้แล้วใครจะเชื่อ?”
ขุนนางตระกูลเสิ่นที่เหลือรีบพูดสนับสนุน แม้แต่ขุนนางที่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่นก็ร่วมวงด้วย
สถานการณ์ในราชสำนักพลิกผันชั่วพริบตา
ก่อนหน้านี้เป็นตระกูลจี้ที่วิพากษ์วิจารณ์หลี่เต๋อเฉวียน ตอนนี้เหล่าขุนนางกำลังวิพากษ์วิจารณ์ตระกูลจี้
เหตุผลที่ตระกูลเสิ่นไม่สามารถเข้าร่วมความขัดแย้งก่อนหน้านี้เพราะหากพวกเขายังต่อสู้ต่อไป ทั้งสองฝ่ายจะล้มตายกันไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์เอื้ออำนวยและมีโอกาสดีที่จะโค่นล้มตระกูลจี้ได้โดยที่พวกเขาไม่ต้องเริ่มสร้างกระแสก่อน
ในเวลานี้ขุนนางตระกูลจี้ไม่กล้าออกหน้าเลย
เหตุผลหลักคือหลักฐานมัดแน่นเกินไปและไม่มีที่ว่างสำหรับการโต้แย้ง แม้แต่ขุนนางหลายคนที่ไม่มีสายเลือดตระกูลจี้ยังเริ่มคิดที่จะตัดความสัมพันธ์กับตระกูลจี้ ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่คนตระกูลจี้ จึงไม่จำเป็นต้องถูกฝังไปพร้อมกัน
“ดี ช่างดีนัก ตระกูลจี้ทำงามหน้านัก!” สีหน้าของจักรพรรดินีเย็นเฉียบราวกับน้ำค้างแข็ง และพวกขุนนางก็ตัวสั่นเมื่อตระหนักได้ว่าฝ่าบาทกำลังพิโรธ
ถ้าซูอันไม่ได้หารือกับจักรพรรดินีมาก่อน เกรงว่าเขาจะรู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน
“ใต้เท้าซูมีความเห็นอย่างไร?” นางมองไปที่ซูอัน
สายตาของขุนนางคนอื่นก็อดไม่ได้ที่จะเพ่งความสนใจไปที่ซูอัน
ซูอันเป็นผู้ค้นพบเรื่องการสมรู้ร่วมคิดของตระกูลจี้กับผู้ปลูกฝังมาร จึงเป็นเรื่องปกติที่จะรับฟังความคิดเห็นของเขา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการจ้องมองของกลุ่มผู้ฝึกตนระดับหยางบริสุทธิ์และมิ่งตาน ซูอันกลับไม่มีความตื่นตระหนกเลย
“ทูลฝ่าบาท ตระกูลจี้สมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมารและวางแผนก่อกบฏ พวกเขาทั้งทรยศต่อบ้านเมืองและทำผิดกฎหมาย ข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงผลงานในราชสำนักตลอดหลายปีที่ผ่านมาของตระกูลจี้ กระหม่อมคิดว่าบทลงโทษควรขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สำหรับตัวต้นเหตุควรถูกประหารชีวิต และคนในตระกูลระดับจื่อฝู่ขึ้นไปสมควรถูกดึงพลังวิญญาณคืน จากนั้นคนทั้งตระกูลต้องถูกเนรเทศไปฮวงโจวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮวงโจวตั้งอยู่ทางตอนใต้ของต้าซางและมีสภาพแวดล้อมเลวร้าย โดยมีพรมแดนติดกับดินแดนแห้งแล้งที่พืชพรรณไม่อาจงอกเงยได้ ซึ่งในดินแดนนั้นเผ่าปีศาจกำลังอาละวาด ในบางครั้งจะมีคลื่นสัตว์ประหลาดขนาดเล็กเกิดขึ้น
การเนรเทศตระกูลจี้ไปที่ฮวงโจวคือการปล่อยให้พวกเขาสังเวยชีวิตแก่เผ่าปีศาจ
“เช่นนั้นก็ตัดสินตามที่เจ้าพูด”
เมื่อเสร็จสิ้นการตัดสินของจักรพรรดินีแล้ว ผู้ฝึกตนระดับหยวนเสินจึงเข้ามาจับกุมจี้อู๋ฉางไว้ทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้สุนัขจนตรอกกระโดดกำแพง [1]
เชิงอรรถ
[1] สุนัขจนตรอกกระโดดกำแพง (狗急跳墙) หมายถึง เมื่อหมดหนทางแล้วก็จะทำเรื่องรุนแรงได้