ตอนที่ 54 อย่าหลอกตัวเอง…
ตอนที่ 54 อย่าหลอกตัวเอง…
“หึ ไม่นึกเลยว่าไม่เจอกันแค่สองเดือน ความสามารถสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายของเจ้าจะไม่ได้ลดเลือนไปเลยแม้แต่น้อย”
เสียงเย้ยหยันอันคุ้นเคยดังขึ้น จี้เตี๋ยหันมองด้วยความประหลาดใจ พร้อมได้เห็นสตรีในชุดแดงยืนอยู่ไม่ไกล สายตาที่มองมาบ่งบอกชัดว่ากำลังประชดประชัน
นางยังคงเป็นเหมือนครั้งแรกที่ได้พบเจอ นั่นคือทำให้ดวงตาพร่างพราย
ว่าแต่ไม่ใช่นางไปฝั่งเหนือแล้วหรอกหรือ…
“คารวะศิษย์พี่หญิงเจียงขอรับ… ไม่ใช่ว่าท่านไปฝั่งเหนือแล้วหรอกหรือ…” จี้เตี๋ยพยายามฝืนยิ้มออกมา ขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปหาพร้อมโค้งกายให้อย่างนอบน้อม
“ข้ากลับมาพบเจ้า บังเอิญได้ยินวีรกรรมเพิ่มเติมเข้าพอดี! เวลานี้ทั้งฝั่งใต้แทบกล่าวขาน ว่าเจ้ายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อสตรีอันเป็นที่รัก โดยการขับไล่คนที่ตามเกี้ยวพาศิษย์น้องหญิงซูผ่านการแข่งขันปรุงยา…” เจียงโม่หลียังคงค่อนขอดต่อ ปัจจุบันส่วนสูงของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าจี้เตี๋ย จากรองเท้าผ้าปักสีขาวที่สูงขึ้นมาเป็นชุดสีแดง มันยิ่งทำให้นางดูเป็นสตรีแสนซุกซน
ส่วนเรื่องราวเหล่านั้นที่แพร่กระจาย ไม่แปลกหากจะไปถึงหูของนาง
เพราะปัจจุบัน เรื่องราวที่จี้เตี๋ยและเซี่ยปินแข่งขันปรุงยาต่อกัน มันแพร่กระจายไปถึงฝั่งเหนือด้วย
และนางทราบดีว่าเซี่ยปินเป็นคนอย่างไร ทั้งยังไล่ตามตื๊อลั่วลั่วมายาวนานเพียงใด
การแข่งขันระหว่างคนทั้งสองย่อมดึงดูดความสนใจและทำให้เกิดความริษยาไม่มากก็น้อย
“ศิษย์พี่หญิงเจียงเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าเพียงเคารพนับถือศิษย์พี่หญิงซู ไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดเช่นนั้นขอรับ” จี้เตี๋ยที่ได้ยินเรื่องราวซึ่งเล่าขานจนผิดเพี้ยน เวลานี้จึงก้มลงมองรองเท้าคู่ตรงหน้าไม่กล้าเงยหน้าตอบ
ต่อหน้าสตรีผู้นี้ ตัวเขารู้สึกด้อยกว่าไม่เคยเปลี่ยน และทุกครั้งที่พบเจอ เขาจะถูกลมปราณของนางสะกดข่มเอาไว้
“เหอะ!” เจียงโม่หลีมองมาด้วยรอยยิ้มประชดประชัน
“หลอกผู้อื่นนั้นหลอกได้ แต่คิดหลอกตนเองนั้นไม่ได้!”
“…”
จี้เตี๋ยเผยยิ้มขื่นขมและไม่กล้าทักท้วงคำใด กระทั่งคิดว่านางมาที่นี่เพื่อหาเรื่องกันใช่หรือไม่?
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้ว่างขนาดนั้น” เจียงโม่หลีเลิกคิ้วขึ้นมา มันเป็นเส้นโค้งที่งดงามยิ่งกว่าขุนเขาซึ่งอยู่ไกลห่าง ทั้งยังคาดเดาความคิดของเขาได้
“ที่ข้ามาครั้งนี้ ก็เพราะต้องการให้เจ้าช่วยอะไรสักอย่าง”
“กล่าวมาได้เลยขอรับ… ตราบเท่าที่ช่วยได้ ข้าพร้อมยินดีช่วยเหลือศิษย์พี่หญิงเจียงขอรับ” จี้เตี๋ยตอบรับอย่างหนักแน่น เพราะเจียงโม่หลีถือเป็นผู้มีบุญคุณแก่ตัวเขาอยู่ไม่ใช่น้อย
“ปัจจุบันเจ้าอ่อนแอเกินไป ดังนั้นควรคลี่คลายปัญหาของตนเองเสียก่อน ผู้อาวุโสเจิ้งได้รายงานเรื่องการหายตัวไปของหวังอวิ๋นและเฮ่อซงถึงฝั่งเหนือแล้ว ปัจจุบันทางฝั่งเหนือกำลังรับหน้าที่ตรวจสอบ ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเหมือนว่าจะมีความคืบหน้าไม่ใช่น้อย” เจียงโม่หลีตอบกลับ และไม่ทราบว่านางตั้งใจหรือไม่ได้เจตนา แต่สายตานั้นจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างไม่ละสายตา
เนื่องจากจี้เตี๋ยคือผู้ต้องสงสัยว่าฆาตกรรมคนทั้งสอง ยามผู้อาวุโสเจิ้งคิดจับกุม อีกฝ่ายได้กล่าวอ้างเรื่องเป็นหวานใจวัยเด็กกับนางเพื่อหลอกลวงพวกผู้อาวุโสเจิ้ง…
“เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอันใดกับข้า…” จี้เตี๋ยยังคงแสดงอาการสงบเป็นการตอบรับ
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี” เจียงโม่หลีมองราวกับคิดขุดลึกลงไปในสายตา สุดท้ายจึงโบกมือพร้อมกับส่งขวดหยกใบหนึ่งมาให้
“ในขวดคือยาบ่มเพาะต้นกำเนิด เมื่อใดเจ้าไปถึงการกลั่นลมปราณขั้นที่หกจุดสูงสุด มันจะทำให้เจ้าสามารถทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดได้”
ยาบ่มเพาะต้นกำเนิด… เป็นยาที่ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่หกจุดสูงสุดต้องการ เพราะมันสามารถช่วยทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดได้โดยตรง
จี้เตี๋ยถึงขั้นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ยานี้สมควรเป็นรางวัลการแข่งขันของฝั่งใต้ที่เจียงโม่หลีชนะเลิศและได้รับมา
เพียงแต่เพราะเหตุใดเจียงโม่หลีถึงได้มอบยานี้ให้โดยไม่มีเหตุผล เรื่องราวเป็นเหตุให้จี้เตี๋ยอดคิดไม่ได้ว่าหรืออีกฝ่ายจะมีใจให้ตนเอง…
ราวกับตระหนักได้ถึงความสงสัยในใจของเขา เจียงโม่หลีมองมาพร้อมกล่าวตอบ
“บอกต่อเจ้า ข้าต้องให้เจ้าช่วยเหลือ และนี่ถือเป็นรางวัลล่วงหน้า ดังนั้นจงรับเอาไว้ เนื่องจากระดับการฝึกตนปัจจุบันของเจ้าต่ำเตี้ยเกินไป อย่างน้อยเจ้าควรเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดเสียก่อนจึงจะช่วยเหลือข้าได้ และยานี่จะช่วยย่นระยะเวลา” เจียงโม่หลีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันเรียบเฉย
“ส่วนเรื่องที่ต้องการให้ช่วยนั้นไม่ต้องกังวล เจ้าทำได้แน่! ไม่ได้ยากเกินความสามารถของเจ้า”
“ขอรับ เช่นนั้นเมื่อใดศิษย์พี่หญิงเจียงต้องการความช่วยเหลือขอให้บอกกล่าวได้เลยขอรับ” จี้เตี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึก แม้ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายต้องการให้ช่วยอะไรกันแน่ แต่เขาก็พร้อมที่จะตอบรับ
“ไม่น่าจะนานมากนัก จงรักษาชีวิตเอาตัวรอด เพราะหากเจ้าตาย ยาบ่มเพาะต้นกำเนิดของข้าจะกลายเป็นสูญเปล่า” หญิงสาวเปรยสายตามองตอบเป็นครั้งสุดท้าย ถัดจากนั้นจึงเดินกลับไป
“ฝั่งเหนือเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วหรือนี่…” จี้เตี๋ยมองตามแผ่นหลังของนางที่เดินออกไปไกลห่างแล้ว เวลานี้จึงลดศีรษะลงก้มมองขวดหยกในมือและครุ่นคิดอะไรก็ไม่อาจทราบ
“วูบ…” สภาพอากาศในภูเขาเป็นอะไรที่ไม่อาจคาดเดา ดวงตะวันที่อาจสาดส่องแสงแรงกล้าเมื่อครู่ ปัจจุบันกลับกลายเป็นสายลมรุนแรงพัดพาจนเป็นเหตุให้ต้นไม้ใบหญ้าต้องส่งเสียงร้องโหยหวนตามลม
เสื้อผ้าที่จี้เตี๋ยใส่อยู่ก็ถูกสายลมแรงพัดด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นช่วงเดือนสาม แต่สายลมกับเย็นเยือก… และก็เป็นเวลานี้เองที่เขาดึงสติกลับมา
“ค่อนข้างหนาว…” จี้เตี๋ยขมวดคิ้วพร้อมห่อไหล่ พลางนึกถึงความหมายในคำกล่าวของเจียงโม่หลีเมื่อครู่นี้ ความรู้สึกไม่ใคร่สบายใจจึงเริ่มก่อเกิดขึ้นภายใน
เขาไม่ทราบว่านางกำลังทดสอบตนเองอยู่หรือไม่
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องราวเกินคาดคิด จี้เตี๋ยตัดสินใจคิดนำถุงมิติที่ซ่อนไว้ไปทิ้งให้ไกลห่าง เช่นการโยนลงแม่น้ำให้ไหลไปกับกระแสน้ำจนไกลแสนไกล
เพราะไม่อาจทราบได้ว่าอีกฝ่ายจะตรวจสอบจนพบถุงมิติหรือไม่ และบางทีพวกเขาอาจพบเจอเบาะแสอะไรอื่นก็เป็นได้
“เฮ้อ… อากาศไม่ดีเอาซะเลย…” ภายหลังหยุดยืนอยู่สักพักหนึ่ง จี้เตี๋ยจึงถูมือตนเองขณะก้มศีรษะลงและเก็บขวดหยกไว้ในแขนเสื้อ
ยาที่ได้รับมาจะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่หกจุดสูงสุด และปัจจุบันระดับการฝึกตนของเขายังอยู่ห่างจากจุดนั้นอยู่พอสมควร
“ไม่ทราบเลยว่านางต้องการให้ไปทำอะไร ถึงขนาดยอมจ่ายค่าตอบแทนล่วงหน้าเป็นยาบ่มเพาะต้นกำเนิด ดูลึกลับดีเสียจริง”
คงต้องปล่อยไปก่อน…
ยามค่ำคืน ฟากฟ้าถูกปกคลุมด้วยม่านราตรีอันดำมืด จี้เตี๋ยกำลังมุ่งหน้าไปยังใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง แต่กลับได้พบว่าหลุมที่เขาเคยขุดซ่อนถุงมิติเอาไว้กลับถูกขุดค้นไปเสียก่อนแล้ว!
ถุงมิติที่ซ่อนเอาไว้ก็หายไปด้วยเช่นกัน!
“ไม่ดีแล้ว… ดูจากร่องรอยของหน้าดินที่ถูกขุดไป น่าจะผ่านมาอย่างน้อยก็หนึ่งเดือน เหมือนว่าการข่าวของศิษย์พี่หญิงเจียงจะไม่ใช่เรื่องกังวลเกินเหตุ” จี้เตี๋ยเผยสีหน้าดำมืด ทั้งยังไม่กล้าอยู่ในบริเวณนี้ต่อ เขาเร่งร้อนกลับไปยังถ้ำของตนเองขณะเดินวนเวียนไปมา จนสุดท้ายต้องนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นเพื่อสงบใจ
ช่วงเวลาเช่นตอนนี้ เขาต้องไม่เสียอาการ อย่างเลวร้ายก็ต้องต่อต้านแบบซึ่งหน้า
ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันระยะเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้วแต่กลับไม่มีใครแวะเวียนมาหา เป็นไปได้ว่าผึ้งสะกดรอยจิตวิญญาณจะไม่อาจตามหากลิ่นอายที่ทิ้งไว้นานขนาดนั้นได้พบ!
“ต้องฝึกฝน ต้องรีบทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดเสียก่อน!” จี้เตี๋ยพยายามทำจิตใจให้กระจ่าง เวลาเช่นตอนนี้นึกเสียใจไปไม่ได้อะไรขึ้นมา ทั้งยังไม่อาจหลบหนี
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอาการร้อนรน ถัดจากนั้นจึงเริ่มกระบวนการฝึกฝน
หากทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด ต่อให้ความจริงถูกเปิดเผย อย่างน้อยเขาก็มีความมั่นใจพอปกป้องชีวิตตนเองเอาไว้!
แม้ว่าการกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด มันอาจไม่สามารถเทียบเปรียบกับทั้งสำนักเจ็ดลึกล้ำได้เลยก็ตาม…
แต่มันก็ดีกว่าการกลั่นลมปราณขั้นที่หก!
ดังนั้นในช่วงไม่กี่วันหลังจากนั้น นอกจากขัดเกลาสรรพคุณจากยาทุ่งสมุทร จี้เตี๋ยจะเก็บตัวอยู่แต่ในถ้ำเพื่อฝึกฝนทุกวัน
ระหว่างช่วงเวลานั้นเอง อู๋ฮั่นได้รับหน้าที่คอยไปตามหาวัตถุดิบปรุงยาย้อนฝัน
เพราะหากว่าได้รับยาย้อนฝันเพิ่ม ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะสำเร็จไปถึงการกลั่นลมปราณขั้นที่หกจุดสูงสุด เมื่อรวมเข้ากับยาบ่มเพาะต้นกำเนิด เขาจะสามารถทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดได้!
ช่วงเวลาที่เร่งร้อนฝึกฝน ครึ่งเดือนได้ผ่านพ้นไปราวกับชั่วพริบตา
แม้ว่าจะไม่มียาย้อนฝัน แต่ด้วยความช่วยเหลือจากยาทุ่งสมุทร ระดับการฝึกตนของจี้เตี๋ยจึงไต่ระดับเข้าใกล้การกลั่นลมปราณขั้นที่หกจุดสูงสุด
เพียงแต่ภายหลังครึ่งเดือนนี้ผ่านพ้น จี้เตี๋ยได้ใช้ยาทุ่งสมุทรที่มีจนหมด กระทั่งสมุนไพรวิญญาณสำหรับใช้ปรุงยาทุ่งสมุทรก็หมดลงเช่นกัน
บังเอิญกับช่วงนี้อู๋ฮั่นกำลังเก็บตัวเตรียมทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ เป็นเหตุให้จี้เตี๋ยต้องเดินทางไปยอดเขาโอสถด้วยตนเอง
“ขายเห็ดหลินจืออัคคี ผู้ใดสนใจเชิญทางนี้ เห็ดหลินจืออัคคีร้อน ๆ ช่วยเพิ่มพูนการฝึกตนได้…”