ตอนที่ 53 ขัดเกลาผูกพันธะ
ตอนที่ 53 ขัดเกลาผูกพันธะ
ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ หากว่าเซี่ยปินยังไม่ทราบว่าทั้งหมดเป็นแผนการล่อลวงของจี้เตี๋ย การฝึกตนกลั่นลมปราณระดับสูงของเขาคงเป็นเรื่องสูญเปล่า
“ได้! ดี! ไอ้หนู ข้าจะจดจำเอาไว้ เรื่องนี้มันยังไม่จบ ต่อให้แกปรุงยาได้ดีแค่ไหน แต่อย่างไรก็เป็นได้แค่กลั่นลมปราณขั้นที่หก…”
เขากล่าวคำประชดประชันออกมา แม้ว่าจะเสียดายที่ต้องปล่อยมือจากธงวายุ แต่เขาก็ยอมขยับมือด้วยสีหน้าดำมืดไปตบที่ถุงมิติ สุดท้ายธงยาวสูงขนาดครึ่งตัวคนจึงปรากฏ เขาจับมันเอาไว้และส่งให้กับจี้เตี๋ย
“ถือว่าข้าฝากธงวายุนี้เอาไว้กับเจ้า เก็บรักษาให้ดีอย่าทำหาย!”
“ศิษย์พี่เซี่ยวางใจ ธงวายุที่อยู่กับข้าย่อมได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล!”
จี้เตี๋ยกำลังตื่นเต้นและยินดี ขณะนี้จึงเมินเฉยคำขู่ของอีกฝ่าย สุดท้ายจึงคว้ารับธงเอาไว้ด้วยสองมือก่อนจะยิ้มแย้มออกมา กระนั้นเซี่ยปินกลับยังจับธงเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ และไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหน จี้เตี๋ยก็ไม่อาจดึงมาได้
“ศิษย์พี่เซี่ยคิดอยากกล่าวคำอำลาอะไรต่อมันหรือไม่?”
เซี่ยปินที่ได้ฟังคำเหน็บแนม สุดท้ายจึงต้องสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะปล่อยมือจากมุมหนึ่งของธง
เขาเป็นผู้กล่าวด้วยตนเอง ว่าหากจี้เตี๋ยชนะจะยอมมอบธงวายุให้ หากว่าตอนนี้ยังคิดกลับคืนคำพูดไม่ทำตามสิ่งที่รับปาก เขาก็คงไม่เหลือหน้าไปพบใครในสำนักเจ็ดลึกล้ำ!
เมื่อไม่มีแรงแข็งขืน จี้เตี๋ยที่เดิมออกแรงดึงอยู่จึงต้องถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่อาจควบคุมร่าง กระทั่งว่าเกือบจะล้มลง
เพียงแต่เขาไม่ได้มีท่าทีโกรธหรืออะไร กระทั่งว่ายิ้มออกมาประหนึ่งพบเห็นสาวงามเลิศล้ำเสียด้วยซ้ำ และตอนนี้เองที่เขากอดวัตถุซึ่งได้รับมาเอาไว้แน่น
แม้ไม่ทราบว่ามันสร้างขึ้นด้วยวัสดุอะไร แต่ยามถือแล้วมันค่อนข้างหนัก อย่างน้อยก็น่าจะราวสิบกว่าจิน
ด้ามธงเป็นวัสดุทำจากไม้อะไรไม่อาจทราบ เพียงแต่มันถูกตัดแต่งจนเป็นแท่งกลมขัดมัน ยอดสุดคือธงสี่เหลี่ยมสีเขียวพร้อมสัญลักษณ์บนตัวธง
มันเป็นลวดลายหกเส้นจากบนสุดถึงล่างสุด สี่เส้นแรกนั้นคล้ายได้รับความเสียหาย และเขาไม่ทราบว่ามันมีความหมายถึงอะไร
“ขอบคุณศิษย์พี่ขอรับ ต้องกล่าวเลยว่าศิษย์พี่เซี่ยเป็นคนที่รักษาสัญญาอย่างดี ข้าจะจดจำเอาไว้”
เซี่ยปินที่ได้ยินถึงกับแทบกระอักเลือดออกมา กระทั่งซูลั่วยังต้องลอบมองจี้เตี๋ยที่ยอกย้อนด้วยคำพูด
ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธจนขอสู้ตายหรือไร?!
โชคดีที่เซี่ยปินยังไม่ถึงกับขาดสติ ภายหลังถลึงตามองตอบ เขาไม่ได้เอ่ยคำใดตอบโต้ เวลานี้จึงแค่สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวกลับและเดินจากไป กระทั่งยาที่เพิ่งปรุงขึ้นมาเมื่อครู่ก็ยังไม่เอาไปด้วย เพียงแต่สายตาของเขาบ่งบอกชัด ว่าเรื่องนี้มันยังไม่จบ!
แม้ว่าจี้เตี๋ยจะกังวลเรื่องอีกฝ่ายอาจมาตามล้างแค้นในภายหน้าอยู่บ้าง แต่เวลานี้มีเรื่องให้ตื่นเต้นยินดีมากกว่า
“เจ้าหนู ทำได้ดีมาก”
การแข่งขันจบลง ผู้อาวุโสเถียนก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน เขาเพียงแค่มาตบไหล่จี้เตี๋ยเป็นการพูดคุยเล็กน้อยก่อนจะกลับไป
“หากว่ามีข้อสงสัยเรื่องการปรุงยาในภายหน้า แวะเวียนมาสอบถามข้าได้” ผู้อาวุโสเถียนยิ้มให้ขณะมองทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาว สุดท้ายจึงมอบยาที่ปรุงแข่งขันกลับคืนให้
“ผู้อาวุโสเถียนรักษาตัวด้วยขอรับ!”
แม้ว่าจะเคยมีเรื่องขัดแย้งกับผู้อาวุโสเถียนอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็คลี่คลายได้ด้วยดี เขาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น หากอีกฝ่ายยอมปล่อยวางและยิ้มให้ เขาก็พร้อมที่จะยิ้มตอบ
ภายหลังอีกฝ่ายกลับไปแล้ว บริเวณถ้ำแห่งนี้จึงเหลือเพียงแค่พวกจี้เตี๋ยทั้งสองคน
“ศิษย์พี่หญิงซู อนาคตอันใกล้ข้าคงมีโอกาสบินบนท้องฟ้า ถึงตอนนั้นจะพาท่านเดินทางไปตามสถานที่ที่อยากไปขอรับ” จี้เตี๋ยถือธงวายุเอาไว้ในมือพร้อมฉีกยิ้ม
“คิดดีใจยังเร็วเกินไป ธงวายุนี้สมควรถูกเซี่ยปินขัดเกลาจนเกิดรอยพันธะไปแล้ว ดังนั้นต่อให้มีในครอบครองก็ไม่อาจใช้งาน” ซูลั่วมองตอบ แต่พอทราบว่าอีกฝ่ายนึกถึงตนเองก่อนใคร เวลานี้ในใจของนางจึงเกิดความรู้สึกอันหวานฉ่ำ
“ขัดเกลา?” จี้เตี๋ยเพิ่งเคยได้ยินคำคำนี้เป็นครั้งแรก เป็นเหตุให้แสดงออกมาว่าไม่ทราบเรื่องราว
“ธงวายุก็เหมือนกับถุงมิติ มันคืออาวุธวิเศษที่จำเป็นต้องขัดเกลาก่อนจึงสามารถใช้งาน ดังนั้นต่อให้คนอื่นได้รับไปก็ไม่สามารถใช้งานพวกมันได้” ซูลั่วยังคงสงบใจอธิบายให้ฟัง
“ถ้าเช่นนั้นทำอย่างไร? ต้องบอกให้มันถอนรอยพันธะหรือ? และดูเหมือนมันคงไม่ยอมทำโดยง่ายแน่!” ปัจจุบันจี้เตี๋ยรู้สึกประหนึ่งถูกน้ำเย็นราดเข้าใส่
หากว่าธงวายุถูกขัดเกลาและยอมรับคนอื่นเป็นเจ้าของแล้ว ได้มันมาจึงไม่ต่างอะไรกับแท่งไม้
ซูลั่วตอบ “ยังมีทางอื่น นั่นคือหาคนที่มีการฝึกตนแข็งแกร่งกว่ามันเพื่อลบล้างรอยพันธะ ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยขัดเกลามันอีกที”
“เฮ้อ!” จี้เตี๋ยถอนหายใจ เพราะมันแทบไม่ต่างอะไรกับไม่พูด เขาจะไปหาผู้อื่นที่มีการฝึกตนแข็งแกร่งกว่าเซี่ยปินจากไหนมาลบรอยพันธะได้กัน?
“เหนืออื่นใดเจ้าควรเพิ่มพูนความแข็งแกร่งส่วนตนก่อน หากว่ายังไปไม่ถึงการกลั่นลมปราณระดับสูง ต่อให้มีอาวุธวิเศษก็ยังเป็นเรื่องยากควบคุมได้อยู่ดี
“ขอรับ” จี้เตี๋ยไม่คิดหดหู่อยู่นาน ขณะนี้จึงพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม เพราะปัจจุบันเขาก็อยู่ห่างจากการกลั่นลมปราณระดับสูงไม่ไกล
เมื่อรวมกับยาย้อนฝันที่เพิ่งได้รับมา เรียกได้ว่าอยู่ไม่ไกลแล้วจริง ๆ เหลือก็เพียงแค่ว่าเมื่อใดจะข้ามผ่านเซี่ยปินได้ก็เท่านั้น
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นี้เองที่มีมือน้อยยื่นเข้ามาหยิกหูของเขา
“จงบอกความจริงแก่ข้า เจ้าเพิ่งเรียนรู้การปรุงยาแค่สองเดือนจริงหรือไม่?”
จี้เตี๋ยร้องออกด้วยความเจ็บปวดก่อนจะโพล่งตอบคำถาม “ศิษย์พี่หญิงซู ข้าจะกล้าโกหกท่านได้อย่างไรเล่าขอรับ! ข้าเพิ่งเดินบนวิถีการปรุงยาเมื่อสองเดือนที่ผ่านมาจริง ๆ ขอรับ!”
“ข้าไม่เชื่อ!” ซูลั่วแค่นเสียงเป็นการบ่งบอกว่าไม่เชื่อ เพียงแต่ยังยอมปล่อยมือ
“เจ้าที่เพิ่งปรุงยาได้แค่สองเดือน ไฉนเลยยาที่เจ้าปรุงถึงสามารถเอาชนะเซี่ยปินโดยง่ายดายเช่นนั้น?”
“บางทีอาจเป็นพรสวรรค์ของข้า!” จี้เตี๋ยหัวเราะตอบ เพราะเขาไม่อาจบอกความจริงให้นางทราบได้
“…” ซูลั่วถึงขั้นกลอกตามองตอบ เพียงแต่มันสมควรเป็นคำอธิบายหนึ่งเดียวที่พอฟังขึ้น สุดท้ายจึงมองเด็กหนุ่มราวโกรธเคืองขณะส่งถุงมิติคืนให้ “หลังจากนี้จงระมัดระวังตัวให้ดี หากว่ามีเรื่องราวใดจงมาหลบซ่อนตัวที่ยอดเขาโอสถ หากข้าอยู่ มันจะไม่มีทางกล้าลงมือ”
“ขอบพระคุณศิษย์พี่หญิงซูขอรับ ข้าจะกลับไปทบทวน…” จี้เตี๋ยเผ่นหนีโดยไม่รอนางตอบคำ เพราะเขามีความลับมากมายอยู่กับตัว จะให้อยู่กับซูลั่วไปตลอดคงไม่ใช่เรื่องสะดวก
ระหว่างทางเขายังได้เห็นกลุ่มศิษย์ที่มารวมตัวกันดูการแข่งขัน และแน่นอนว่าไม่มีใครมองเขาในแง่ดีสักเท่าไหร่
จี้เตี๋ยไม่ได้อธิบายอะไรจนกระทั่งลอบเดินทางกลับถึงพื้นที่โรงนา ยามเมื่อกลับไปถึงถ้ำตนเอง เขาจึงได้พบอู๋ฮั่น
การฝึกตนของอีกฝ่ายก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และด้วยความช่วยเหลือจากผลยกวิญญาณที่จี้เตี๋ยมอบให้ อู๋ฮั่นจึงไปถึงการกลั่นลมปราณขั้นที่สามจุดสูงสุดได้เรียบร้อย ปัจจุบันเขาจึงเป็นบุคคลที่มีระดับการฝึกตนสูงที่สุดในพื้นที่โรงนา
“ศิษย์พี่จี้ ข้าได้ยินว่าท่านไปแข่งขันปรุงยากับศิษย์จากฝั่งเหนือ ได้รับชัยชนะหรือไม่ขอรับ?!” ทันทีที่อู๋ฮั่นพบเห็นจี้เตี๋ย เขาเร่งร้อนเดินเข้ามาสอบถาม กระทั่งมอบความไว้ใจให้กับจี้เตี๋ยอย่างไร้ข้อกังขา
“ดีกว่าเล็กน้อย แค่เล็กน้อยจริง ๆ” จี้เตี๋ยหัวเราะตอบขณะกลับเข้าถ้ำ โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าอู๋ฮั่นที่ตื่นเต้นและยินดีพร้อมไปป่าวประกาศข่าวคราวชัยชนะอันยิ่งใหญ่
ผ่านไปเพียงไม่นาน ผลการแข่งขันจึงแพร่กระจายไปทั่วฝั่งใต้ในระยะเวลาไม่กี่วัน กระทั่งว่าสร้างความตื่นตะลึงให้แก่เหล่าศิษย์ร่วมสำนัก
แน่นอนว่าย่อมมีคนไม่เชื่อ ดังเช่นพวกสิงจงและเหอเฉียงเป็นต้น
แต่ไม่มีใครที่เกี่ยวข้องออกมาปฏิเสธข่าวที่แพร่กระจาย เป็นเหตุให้ข้อสงสัยกลับกลายเป็นจางหาย จนสุดท้ายมีคนเริ่มเชื่อมากมายยิ่งขึ้น
ปัจจุบันศิษย์จากฝั่งใต้หลายคนแทบจะเข้าลัทธิเกิดความนับถือต่อจี้เตี๋ยขึ้นมา
เพียงแต่จี้เตี๋ยไม่ได้ใส่ใจ เขาเพียงแค่ขัดเกลาสรรพคุณจากยาย้อนฝันและฝึกฝนไปอย่างต่อเนื่อง
“เกือบจะถึงจุดสูงสุดของการกลั่นลมปราณขั้นที่หกแล้ว!” ผ่านไปไม่กี่วัน จี้เตี๋ยออกมาจากถ้ำเพื่อยืดเส้นสายสักเล็กน้อย
แสงแดดที่ร่างกายไม่ได้รับรู้ถึงมานาน มันช่วยปรับสภาพอารมณ์และการโคจรพลังวิญญาณภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี
ภายหลังพักจนสงบใจลง เขาจึงนำธงวายุออกมามองและถอนหายใจ สุดท้ายจึงเก็บมันไป
มันคือของที่ผู้อื่นขัดเกลาความเป็นเจ้าของแล้ว กล่าวคือเขาไม่อาจใช้งานได้
“หึ ไม่นึกเลยว่าไม่เจอกันแค่สองเดือน ความสามารถสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายของเจ้าจะไม่ได้ลดเลือนไปเลยแม้แต่น้อย”