บทที่ 71 กระบี่สองเล่มรวมกัน สายลมฝนโปรยปราย
บทที่ 71 กระบี่สองเล่มรวมกัน สายลมฝนโปรยปราย
เมื่อลวดลายวงเวทย์อักขระถูกสลักลงบนตัวกระบี่บิน พลังธาตุลมเล็กๆ น้อยๆ ก็ไหลเวียนอยู่บนตัวกระบี่
พลังธาตุลมที่ไหลเวียนอยู่บนตัวกระบี่มากขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ เริ่มส่งผลต่อการสลักลวดลายวงเวทย์อักขระ
เฉินเต้าเสวียนที่เคยหลอมกระบี่บินระดับหนึ่งงขั้นสูงรู้ดีว่า ความสำเร็จหรือล้มเหลวของการหลอมกระบี่เล่มนี้อยู่ตรงจุดนี้
เขาจดจ่อกับมันอย่างเต็มที่ จิตใจเป็นหนึ่งเดียว
เขาไม่ถูกพลังธาตุลมที่ไหลเวียนอยู่บนตัวกระบี่รบกวนเลย ปราณแก่นแท้ถูกควบคุมโดยจิตสำนึก สลักลวดลายวงเวทย์อักขระเส้นแล้วเส้นเล่าลงบนตัวกระบี่
ลวดลายวงเวทย์อักขระปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่ ในไม่ช้า มันก็ซ่อนอยู่ในตัวกระบี่ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวอาวุธ
หนึ่งเส้น สองเส้น สามเส้น...
เมื่อลวดลายวงเวทย์อักขระซ้อนทับกันมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าผากของเฉินเต้าเสวียนก็เริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
นี่คือการแสดงออกของจิตสำนึก และปราณแก่นแท้ที่ถูกใช้ไปอย่างมาก
มันเห็นได้ชัดเจนว่า…
แม้จะมีความช่วยเหลือจากเตาหลอมรวมจิตวิญญาณ แต่การหลอมกระบี่บินระดับหนึ่งขั้นสูง มันก็ยังคงใช้พลังงานมากสำหรับเขาอยู่ดี
นึกภาพออกเลยว่า การหลอมกระบี่หิมะบินในตอนนั้น เขาโชคดีมากแค่ไหน!
หกเส้น เจ็ดเส้น แปดเส้น...
ในที่สุด
พลังธาตุลมบนตัวกระบี่ก็เหมือนกับของจริง มันพัวพันกันกับความเข้มข้นของพลังปราณ จนแยกจากกันไม่ออก
ณ ตอนนี้…
เฉินเต้าเสวียนมีทางเลือกสองทาง ทางหนึ่งคือ ล้มเลิกการสลักลวดลายวงเวทย์อักขระต่อไป
หากเลือกแบบนี้ เขาจะได้กระบี่บินระดับหนึ่งขั้นสูง ที่ด้อยกว่ากระบี่หิมะบินเล็กน้อย
ทางที่สองคือ พยายามสลักลวดลายวงเวทย์อักขระต่อไป
แน่นอน สำหรับเฉินเต้าเสวียนแล้ว การยอมแพ้ย่อมเป็นไปไม่ได้
ในตอนที่เขามีระดับบำเพ็ญเพียนแค่ขอบเขตหลอมรวมพลังปราณขั้นสาม เขาก็ยังสามารถหลอมกระบี่หิมะบินได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้ ที่เขาอยู่ขอบเขตหลอมรวมพลังปราณขั้นห้า แถมยังมีเตาหลอมรวมจิตวิญญาณช่วยอีกต่างหาก!
แม้ว่าการหลอมกระบี่บินระดับหนึ่งขั้นสูง ที่มีลวดลายวงเวทย์อักขระเก้าชั้นจะยังคงยากสำหรับเขา แต่ก็ง่ายกว่าในอดีตมาก
แน่นอน
เมื่อการสลักลวดลายวงเวทย์อักขระเส้นที่เก้าค่อยๆ เสร็จสมบูรณ์
พลังธาตุลมและความเข้มข้นของพลังปราณที่พันกันอยู่บนตัวกระบี่ มันก็ค่อยๆ หดตัวลงพร้อมกับลวดลายวงเวทย์อักขระ สุดท้ายก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่บิน
ในตอนนี้ นอกจากแสงพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่บนตัวกระบี่เป็นครั้งคราว ซึ่งพิสูจน์ว่ามันไม่ธรรมดาแล้ว อย่างอื่น ก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาดอีก
เฉินเต้าเสวียนเริ่มถอนหายใจออก ด้วยความโล่งอก
เขารู้ดีว่า การหลอมกระบี่บินธาตุลมระดับหนึ่งขั้นสูงครั้งนี้… สำเร็จแล้ว!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มแห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินเต้าเสวียน
ในช่วงเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา
ทุกวันเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากการสอนผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ของตระกูลเฉินในการหลอมอาวุธวิเศษ
ในที่สุดวันนี้ เขาก็มีอารมณ์ดี…
เขามีอาวุธวิเศษชิ้นที่สองเป็นของตัวเองแล้ว นั่นคือ… กระบี่บินธาตุลมระดับหนึ่งขั้นสูง!
ต่อจากนี้ไป เขาก็มีกระบี่บินสองเล่มแล้ว และล้วนเป็นกระบี่บินระดับหนึ่งขั้นสูง ที่มีลวดลายวงเวทย์อักขระเก้าชั้น
กระบี่บินระดับนี้ หากนำไปประมูลที่โรงประมูลตระกูลโจว อย่างน้อยก็สามารถประมูลได้ในราคาสูงถึงหนึ่งพันหินจิตวิญญาณ
แต่ ณ ปัจจุบัญ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเฉินหรือเฉินเต้าเสวียน ต่างก็ไม่ขาดแคลนหินจิตวิญญาณในตอนนี้
แน่นอนว่า เขาจะไม่ขายมัน!
เฉินเต้าเสวียนมองตัวกระบี่ที่เบาบาง ซึ่งแตกต่างจากกระบี่หิมะบินอย่างสิ้นเชิง เขาพึมพำว่า “จะตั้งชื่ออะไรให้เจ้าดี?”
“หิมะลอยเหมือนดอกเหมย สายลมก็พัดพาเงา งั้นข้าเรียกเจ้าว่า… กระบี่เงาบินก็แล้วกัน!”
ดูเหมือนว่ากระบี่เงาบินจะเข้าใจคำพูดของเขา มันส่งเสียงร้องเบาๆ ภายใต้การควบคุมของเฉินเต้าเสวียน มันก็ว่ายวนรอบร่างกายของเขาเหมือนปลา
เฉินเต้าเสวียนไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาของเขาหรือเปล่า เขารู้สึกว่าแรงต้านของกระบี่เงาบินเมื่อตัดผ่านอากาศนั้นน้อยกว่ากระบี่หิมะบินมาก
“นี่คือคุณสมบัติที่ได้จากพลังธาตุลมงั้นเหรอ?”
เฉินเต้าเสวียนพึมพำ “แค่ควบคุมธรรมดาๆ กระบี่เงาบินก็มีผลแบบนี้แล้ว หากใช้”กระบี่ไล่ล่าสายลม“จะเป็นอย่างไร?”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินเต้าเสวียนก็รู้สึกคันไม้คันมือ
ในเวลานี้เอง
จู่ๆ มีการเคลื่อนไหวผิดปกติในถุงเก็บของ
เฉินเต้าเสวียนหยิบเกล็ดสีเขียวออกมา ปรากฏว่าเป็นข้อความจากลั่วหลี ถึงเวลาค้าขายที่ทั้งสองนัดหมายกันไว้แล้ว
เขาเก็บเกล็ดสีเขียว
เฉินเต้าเสวียนลูบตัวกระบี่ที่เบาบางของกระบี่เงาบิน เก็บมันลงในถุงเก็บของอย่างเสียดาย
เขายกเลิกวงเวทย์อักขระกันเสียง
เฉินเต้าเสวียนเดินออกจากห้องผลิต พบว่าเฉินเต้าฉูและคนอื่นๆ ยังคงเรียนรู้การหลอมอาวุธวิเศษในห้องผลิตอีกสองสามห้องข้างๆ ความไม่พอใจที่เขามีต่อผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ทั้งห้าของตระกูลเฉินในช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็ลดลง
แม้ว่าเฉินเต้าฉูและคนอื่นๆ จะไม่มีพรสวรรค์ในการหลอมอาวุธวิเศษ
แต่ด้วยความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ บวกกับสภาพแวดล้อมและทรัพยากรในการเรียนรู้ที่ไม่มีใครเทียบได้ เฉินเต้าเสวียนเชื่อว่า พวกเขาจะต้องประสบความสำเร็จในเส้นทางการหลอมอาวุธวิเศษแน่นอน
เขาออกจากโรงงานกระบี่บินหงอินอย่างระมัดระวัง
เฉินเต้าเสวียนใช้ทักษะลม บินไปยังศาลากวนไห่บนเกาะหงซาน
เกาะหงซาน…
แสงจันทร์ส่องลงบนทะเล ปกคลุมศาลากวนไห่และน้ำทะเลด้วยทรายสีเงิน
เฉินเต้าเสวียนสวมชุดขาว ยืนอยู่บนทะเล ต้อนรับแสงจันทร์ ราวกับเซียนลงมาจุติ
“ข้ามาเร็วไปอีกแล้ว?”
เฉินเต้าเสวียนพึมพำ
ทำไงได้ ระยะทางระหว่างเกาะซวงหูกับเกาะหงซานมีเพียงสี่ร้อยกว่าลี้ ส่วนภูเขาวานรปีศาจน้ำของเผ่าเงือกอยู่ห่างจากที่นี่ถึงหนึ่งหมื่นลี้
แม้ว่าลั่วหลีและคนอื่นๆ จะออกเดินทางล่วงหน้าทุกครั้ง และความเร็วในการเคลื่อนที่ก็เร็วกว่าเฉินเต้าเสวียนมาก แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่าเขาที่เดินทางมาถึงเกาะหงซาน
เขาบินลงจอดที่ศาลากวนไห่
เฉินเต้าเสวียนมองรอยน้ำที่ถูกน้ำทะเลซัดเข้ามาในศาลา ใช้ทักษะควบคุมไฟ ระเหยรอยน้ำออกไป
จากนั้นก็นั่งลงบนม้านั่งหิน หลับตาพักผ่อน
ถึงจะบอกว่าหลับตาพักผ่อน
จริงๆ แล้ว จิตสำนึกของเขากลับจมลงสู่ก้นบึ้งของทะเลแห่งจิตสำนึก
ในทะเลแห่งจิตสำนึก
สะเก็ดดาวสิบดวงหมุนรอบๆ คัมภีร์สีทอง
“ข้าใช้เวลาเพียงหกเดือนในการฝึกฝน”กระบี่ไล่ล่าสายลม“และ”กระบี่ฝนโปรย“จนถึงขั้นสมบูรณ์ ตอนนี้ผ่านไปสี่เดือนกว่าๆ แล้ว ข้าหยั่งรู้หลายครั้ง แต่กลับไม่รู้วิธีรวมเคล็ดวิชากระบี่ทั้งสองเลย”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินเต้าเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยความสามารถในการเก็บสะสมความเข้าใจของ “คัมภีร์เต๋าหงเหมิงรู้แจ้ง” ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะบำเพ็ญเพียร การเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ หรือแม้แต่การอนุมานวงเวทย์อักขระหลอมวิญญาณที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาก็ประสบความสำเร็จทั้งหมด
แต่เขาไม่คิดว่า เขาจะเจออุปสรรคในการรวมเคล็ดวิชากระบี่ระดับหนึ่งสองบทเข้าด้วยกัน
แม้แต่การหยั่งรู้หลายครั้ง ก็ไม่สามารถทะลวงอุปสรรคนี้ได้
ถ้าหยกบันทึกไม่ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า เคล็ดวิชากระบี่ทั้งสองนี้ แยกมาจากเคล็ดวิชากระบี่บทสมบูรณ์ เฉินเต้าเสวียนคงต้องสงสัยว่า คนของนิกายกระบี่เฉียนหยวนที่รับผิดชอบในการแลกเปลี่ยนวิชาและเคล็ดวิชากระบี่ กำลังหลอกลวงตระกูลเฉินอยู่หรือเปล่า?
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าจะลองอีกครั้ง!”
เฉินเต้าเสวียนตัดสินใจ สะเก็ดดาวสิบดวงชนกันอีกครั้ง
หลังจากนั้น…
จิตสำนึกของเฉินเต้าเสวียนก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกคุ้นเคยของการหยั่งรู้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ครึ่งก้านธูปต่อมา
เฉินเต้าเสวียนลืมตาขึ้น ยืนขึ้นอย่างกะทันหัน
กระบี่บินสองเล่มบินออกมาจากถุงเก็บของของเขา ล้อมรอบเขา
เฉินเต้าเสวียนก็บินออกจากศาลากวนไห่เช่นกัน ยืนอยู่บนทะเล ต้อนรับแสงจันทร์ ราวกับกำลังสัมผัสอะไรบางอย่าง
ในตอนนี้
แสงจันทร์ น้ำทะเล และชายหนุ่มชุดขาวที่ถือกระบี่ ราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ชั่วพริบตา
ภาพนี้ก็ถูกเฉินเต้าเสวียนทำลาย
เขาลืมตาขึ้น แววตาไร้อารมณ์
เมื่อเขาลืมตา กระบี่บินสองเล่มที่ล้อมรอบเขาก็เปล่งคมกระบี่ที่น่ากลัวออกมา
“ฟิ้วๆๆ!”
กระบี่บินสองเล่มไล่ตามกันกลางอากาศ สุดท้ายก็หายไป
จากนั้น
ฝนก็เริ่มตกบนทะเล บรรยากาศพร่ามัว ปกคลุมท้องทะเลในรัศมีร้อยจั้ง
ใต้ทะเลไม่ไกล
ร่างเล็กๆ ราวกับสัมผัสอะไรบางอย่างได้ จู่ๆ ก็เร่งความเร็วไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน
ทางด้านหลัง ผู้คนของเผ่าเงือกเป็นห่วงองค์หญิงของพวกเขา ต่างก็เร่งฝีเท้า ตามไปติดๆ
ครึ่งถ้วยชาต่อมา
ลั่วหลีมาถึงผืนน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากศาลากวนไห่ เห็นภาพที่นางไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต
ชายหนุ่มชุดขาวยืนอยู่บนทะเล ร่างกายของเขาถูก “น้ำฝน” ปกคลุม มองเห็นไม่ชัด
ลั่วหลีพบจากกลิ่นอายว่า ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฉินเต้าเสวียน!
แต่ในตอนนี้
เฉินเต้าเสวียนดูเหมือนจะอยู่ในสภาวะหยั่งรู้
ลั่วหลีที่เป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน รู้ดีว่าสภาวะนี้หาได้ยากสำหรับผู้ฝึกตน นางจึงไม่รบกวนเขา
ชั่วลมหายใจต่อมา “น้ำฝน” ก็ดูเหมือนจะตกหนักขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับรอยสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่า
ไม่รู้ทำไม
เมื่อลั่วหลีเห็นรอยสีขาวในสายฝน นางก็รู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง
“นั่นคือ... ลมหรือเปล่า?”
ลั่วหลีพึมพำอย่างไม่แน่ใจ
แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงของเผ่าเงือก แต่ลั่วหลีไม่เคยเห็นเคล็ดวิชากระบี่ที่ลึกลับเช่นนี้มาก่อน
เมื่อเห็นภาพที่สวยงามตรงหน้า นางก็ได้แต่ตกตะลึงไปชั่วขณะ…