บทที่ 195 วิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับสิบสี่!
“ใช่ ข้าคือ หยางเสี่ยวเทียน” หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า พร้อมกล่าวบอกนักปรุงโอสถผู้นั้นที่อากัปกิริยาเปลี่ยนไปไม่รู้จะตื่นเต้นหรือตกใจดี จนสีหน้าซีดเซียวน่าสงสาร
“หยางเสิน ขะ ข้าอาจารย์เจิ้น เมื่อครู่ข้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้า ข้า ข้า” เมื่อเขาพูดด้วยความตระหนกตื่นเต้นที่กำลังกรุ่น วาจาเขาจึงมิค่อยเรียงเป็นประโยคคล้องกันเล็กน้อย
หยางเสี่ยวเทียนเห็นท่าทีกระวนกระวายไม่สบายใจ เขาจึงปรี่เข้าจับมืออาจารย์เจิ้นด้วยรู้สึกเป็นกังวล เพราะตนก็มีส่วนผิดที่ไม่แนะนำตัวเอง อีกทั้งยังมาโดยมิแจ้งบอกผู้ใดเสียก่อน
“อย่าได้ถือสา อาจารย์เจิ้น” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าก็เฝ้ารอเจ้าอยู่ทุกวันสหายน้อย เจ้าบอกจะตามมาในอีกสองสามวัน จนเพลาล่วงเลยทำข้าไม่สบายใจ” หลี่เหวินกล่าวแทรก บนใบหน้าแสดงถึงความกลัดกลุ้มใจ
“ยิ่งได้ทราบข่าวว่าเจียงอวี๋ผู้นั้น ไปสร้างปัญหาให้เจ้าถึงในจวนข้ายิ่งเป็นกังวล วันนี้ จึงได้เตรียมตัวออกเดินทางหาเจ้าที่เมืองเสินเจี้ยน”
จบประโยค หยางเสี่ยวเทียนถึงเห็นรถม้าพร้อมคนอีกกลุ่ม ปรี่เข้ามาแจ้งหลี่เหวินเรื่องความพร้อมสำหรับการเดินทางดังกล่าวจริง จนพานให้เขายิ่งรู้สึกสำนึกผิดที่มิทราบว่ายังมีคนอย่างหลี่เหวินเป็นห่วงตนมากเพียงนี้
ครั้นประสบเห็นสีหน้าเป็นทุกข์ของหลี่เหวิน หยางเสี่ยวเที่ยวจึงกล่าวขออภัยในเรื่องทุกอย่าง พร้อมบอกเหตุผลถึงการมิได้มาดังคำที่เขาเคยบอกไว้ก่อนหน้า พลอยทำเขาพะวักพะวงด้วยวิตกกังวลตาม
“ถ้าเช่นนั้น เรารีบไปยังธาราโอสถพันปีกันก่อนเถอะ” หลังได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างจนคลายกังวลใจ หลี่เหวินจึงไม่รอช้าเร่งกล่าวพาเขาไปยังที่หมายทันที
“ขอรับ” เขายิ้มให้หลี่เหวิน พร้อมออกตัวติดตามไปไม่ห่าง
ช่วงอยู่ที่เมืองเสินเจี้ยน เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับธาราโอสถพันปีมากนัก แต่ครั้นมาถึงโถงหลักของสมาคมนักปรุงโอสถระดับปรมาจารย์อันใหญ่โตมโหฬารแล้ว เขาก็แทบทนรอไม่ไหวที่จะเข้านั่งบ่มเพาะพลังปราณในนั้น
“สหายน้อยหยาง ธาราโอสถพันปีเพลานี้ ยังถือว่าอยู่ในช่วงทรงพลังแข็งแกร่ง” หลี่เหวินกล่าวระหว่างเดินนำคนทั้งสามเข้าสู่ลานด้านใน เขาแย้มยินดีหลังสัมผัสได้ถึงอารมณ์หยางเสี่ยวเทียนดูกระตือรือร้นครั้นกล่าวถึงธาราโอสถพันปี
กระทั่งหยางเสี่ยวเทียนพร้อมคนอื่นๆ หายลับสายตาไป บรรดานักปรุงโอสถทุกคนในโถงหลักยังคงตื่นเต้นมิคลาย กล่าวร้องดีใจขณะสนทนากันเสียงดังลั่นโถง
โดยเฉพาะนักปรุงโอสถระดับสองดาว เขากลับยิ่งรู้สึกเสียใจถือโทษตนเองที่มีตาเสียเปล่า ถึงมองคนบารมีสูงสง่าเช่นนั้นไม่ออก ด้วยเอาอารมณ์เป็นใหญ่จนบดบังสติ
ทำเขาได้ตระหนักว่าที่ตนเองยังไม่เก่งกาจเท่าเด็กเช่นเขา คงเป็นเพราะถืออารมณ์อยู่เหนือสติปัญญา
หลังเดินผ่านหอสมาคมแลตำหนักฝ่ายในอยู่หลายแห่ง ทั้งสี่ก็มาหยุดอยู่หน้าประตูของหนึ่งในตำหนักใหญ่
ประตูถูกปิด โดยมีอักษรรูนอันสลับซับซ้อนผนึกไว้อย่างแน่นหนา แสดงให้เห็นถึงความเป็นสมบัติล้ำค่าจากสวรรค์ ที่สงวนไว้สำหรับผู้ที่คู่ควรเท่านั้น
เมื่อประตูเปิดออกให้เห็นภายใน ก็ประสบพบกับธาราโอสถพันปีขนาดกว้างและยาวประมาณสามร้อยฉื่อเบื้องหน้าทันที
สีของธาราโอสถพันปี มีสีเขียวมรกตสว่างใส ด้วยสั่งสมพลังงานจากสวรรค์มานานนับศตวรรษ
แม้นจะยืนอยู่นอกประตู พวกเขาก็ยังได้กลิ่นหอมอันแสนสบาย พานให้รู้สึกผ่อนคลายไปทั่วสารพางค์กาย
กลิ่นอันน่าหลงใหลเช่นนี้ คือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงการหลอมรวมพลังแก่นแท้ของสวรรค์และโลกในบ่อธารา ว่ามันก่อกำเนิดแลคงอยู่มานานเท่าไร
“สหายน้อยหยาง เจ้าต้องเข้าสู่ธาราโอสถพันปีเสียเดี๋ยวนี้ หลังประตูปิดลง อีกสิบวันข้างหน้า ข้าถึงจะมาเปิดให้เจ้าอีกครั้ง” หลี่เหวินยิ้มให้หยางเสี่ยวเทียน
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า พร้อมก้าวผ่านประตูเข้าไป
ประตูเริ่มปิดลงอย่างเชื่องช้าจนสนิท อักษรรูนยังประตูก็ทำการผนึกป้องกันสิ่งรบกวนภายนอกทันที
ส่วนอูฉีและหลัวชิง ทั้งสองยืนเฝ้ารออยู่หน้าประตู
หยางเสี่ยวเทียนยืนนิ่งอยู่ขอบสระครู่หนึ่ง ก่อนค่อยๆ ย่างกรายลงสู่ใจกลางธาราพร้อมนั่งขัดสมาธิ โคจรปราณมังกรแรกเริ่มอย่างไม่รั้งรออีกต่อไป
ทันใดนั้น พลังงานจากแก่นแท้ของสวรรค์และโลกที่กำลังพลุ่งพล่านในสระ เริ่มเกิดปฏิกิริยาตอบสนองครั้นสัมผัสว่ามีคนพร้อมดูดซับพลังชีวิตอันบริสุทธิ์จากมัน จนพลันหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายหยางเสี่ยวเทียนด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
หากมองจากระยะไกล แก่นแท้ของสวรรค์และโลกเหล่านี้ก่อตัวเป็นวังวนขนาดใหญ่ รายล้อมรอบหยางเสี่ยวเทียน ก่อนจมเขาลงสู่ใต้ธาราอย่างรวดเร็ว
ระหว่างหยางเสี่ยวเทียนกำลังดูดซับพลังจากแก่นแท้ของสวรรค์และโลกในธาราโอสถพันปี
ณ เมืองซิงเยว่เพลาเดียวกันนี้ หยางเฉาและหวงอิ๋งก็กำลังพาหยางหลิงเอ๋อร์เข้าร่วมพิธีปลุกวิญญาณยุทธ์ของนาง
หยางหลิงเอ๋อร์ยืนนิ่งอยู่ใจกลางค่ายกลปลุกวิญญาณยุทธ์ ณ จัตุรัสประจำเมืองซิงเยว่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นจนเริ่มผ่อนคลาย
ภายใต้สายตาทุกคู่ที่ต่างจดจ้องเฝ่าดูอยู่นั้น เสียงแผดร้องของหงส์เพลิงก็ดังก้องไปทั่วเมืองจวนผู้คนสะดุ้งตกใจ
เพลานี้ ทุกคนล้วนได้ประสบเห็นเต็มสองตา ว่าวิญญาณยุทธ์ที่ปรากฏอยู่เหนือหัวหยางหลิงเอ๋อร์ คือหงส์เพลิงสีสันกระจ่างใสขนาดใหญ่ สยายปีกบินขึ้นไปบนท้องนภาก่อนโฉบลงมาลอยเด่นที่เดิม
พลังกดดันอันน่าอัศจรรย์ใจแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วผืนพิภพ เหล่าวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่งกระทั่งผู้มีอำนาจทั้งอาณาจักรใกล้ไกล ต่างรับรู้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลนี้
ณ จัตุรัส เหล่าวิญญาจารย์ผู้คอยควบคุมค่ายกลปลุกวิญญาณยุทธ์ พร้อมผู้เข้าร่วมพิธีจากตระกูลน้อยใหญ่อื่นๆ ต่างเบิกตาค้างตัวแข็งทื่อด้วยตะลึงตกใจ
“นี่คือหงส์เพลิง!”
“วิญญาณยุทธ์หงส์เพลิงเก้าสี!”
“มันคือหงส์เพลิงเก้าสีงั้นหรือ!”
“วิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับสิบสี่!”
ผู้คนโดยรอบจัตุรัส พลันระเบิดเสียงแห่งความประหลาดใจสุดขีด ตอนนี้ มิมีผู้ใดไม่ตื่นเต้นแลดูตื่นตากับภาพอันได้ประจักษ์กันเบื้องหน้าสักผู้
วิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับสิบสี่นั้น นับว่าหายากกว่าเหล่าวิญญาจารย์ผู้มีวิญญาณยุทธ์สมบูรณ์โดยกำเนินระดับสิบเสียยิ่งกว่ามาก ไม่ต้องพูดถึงว่าอาณาจักรเซินไห่เคยมีปรากฏหรือไม่ แม้แต่อาณาจักรมังกรศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เคยมี
หยางเฉาและหวงอิ๋งซึ่งเดิมทีรู้สึกประหม่า เพลานี้ก็ตกตะลึงขณะกุมมือกันแน่นอย่างตื่นเต้นจนน้ำตาคลอ ปรากฏว่าวิญญาณยุทธ์ที่บุตรสาวพวกตนปลุกขึ้น กลายเป็นวิญญาณยุทธ์หงส์เพลิงเก้าสีขั้นสูงสุดระดับสิบสี่!
ส่วนบุตรชายตน ก็ปลุกวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงระดับสิบเอ็ดเช่นกัน ทั้งคู่ต่างรู้สึกถึงความปลาบปลื้มยินดี ที่ลูกทั้งสองจะไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวหาหรือต่อว่าเป็นคนไร้ค่าให้เด็กๆ ต้องพานเจ็บปวดดั่งที่เคยเกิดขึ้นอีก
“ขอพระเจ้าอวยพรหยางน้อยทั้งสองของข้า!” ริมฝีปากหยางเฉาสั่นเทา
ผู้เป็นบุตรชาย ยังสร้างความประหลาดใจให้พวกตนพอคลายพะวงลงบ้างแล้ว แต่โดยไม่คาดคิดว่าบุตรสาวจะสร้างความประหลาดใจได้ไม่ด้อยไปกว่าพี่ใหญ่ของนางเลย
ระหว่างผู้คนตกอยู่ในห้วงความตื่นเต้นยินดีไปกับหยางหลิงเอ๋อร์ ที่ปลุกวิญญาณยุทธ์หงส์เพลิงเก้าสีให้ตื่นขึ้น จู่ๆ ก็มีร่างคนผู้หนึ่งกระโจนขึ้นสูงเหนือกลุ่มฝูงชน พุ่งเข้าหาหยางหลิงเอ๋อร์พร้อมชี้กระบี่ยาวในมือ