ตอนที่แล้วบทที่ 15 พลังแห่งศรัทธา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 17 ข้าร่ายเวทย์ได้

บทที่ 16 โรคระบาด


เมื่อเผชิญกับข้อสงสัยจากเคลย์ ฟิลินก็ไปที่วิหารก่อน เพื่อขออนุญาตอังเกอร์ จากนั้นก็พากลุ่มผู้บริหารทั้งหมดไปที่แปลงมอสเรืองแสงของอังเกอร์

"เดิมทีก็เป็นแบบนี้แหละ ใช้วัสดุรองต่างกัน กรวดยังทำหน้าที่เป็นท่อระบายน้ำด้วย ระบายน้ำส่วนเกินออกไป ว้าว แค่วิธีง่ายๆ แบบนี้ ก็ทำให้สิ่งที่มีความต้องการความชื้นต่างกันสองอย่าง สามารถเติบโตในแปลงเกษตรเดียวกันได้ เก่งจริงๆ" เคลย์กราบลงกับพื้น ยอมรับอย่างสิ้นใจ

"ท่านฟิลิน เจ้าของแปลงเกษตรผืนนี้ มีความรู้ด้านการเพาะปลูกเหนือกว่าพวกเรามาก เขาเป็นนักพรตหรือเปล่า? เขาจะมาช่วยเราบริหารจัดการและพัฒนาแปลงเกษตรของเราได้ไหม?"

"ฝันไปเถอะ" ฟิลินหัวเราะด้วยความพึงพอใจ "อันที่จริงที่นี่พวกเจ้าอยู่นานไม่ได้หรอก รีบดูให้ไว แล้วจดรายละเอียดไว้ รีบไปเร็วๆ นะ บริเวณนี้ข้าประกาศเป็นเขตหวงห้ามแล้ว ถ้าไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่ข้าก็เข้ามาไม่ได้"

เขาไม่เข้าใจด้านเทคนิคจริงๆ เวลาเจอปัญหาเฉพาะด้านบางเรื่อง มักโดนเคลย์ทำเอาหมดปัญญาเสมอ ตอนนี้ในที่สุดก็ได้ทวงคืนมาบ้างแล้ว ดูสิ เคลย์ เจ้าก็ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นในทุกเรื่องซะหน่อย

ทุกคนที่ได้ยินต่างสะดุ้ง ในเมืองใต้ดินแห่งนี้ยังมีเขตหวงห้ามที่แม้แต่จอมเมืองฟิลินยังไม่อาจเข้าไปตามใจชอบด้วยงั้นเหรอ?

ในตอนนี้ มีทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานอายส์เคว่า "ท่านผู้การ เกิดโรคระบาดในเขตชั้นบนขึ้นแล้ว มีผู้ท้องเสียอาเจียนสิบกว่าคน มีคนพบศพในสระน้ำ"

พอได้ยินว่าเป็นเขตชั้นบน สีหน้าของอายส์เคก็เคร่งขรึมขึ้นทันที ถามว่า "กักกันและปิดล้อมหรือยัง? ศพอยู่ที่ไหนล่ะ?"

เขตชั้นบนเป็นย่านคนรวย ก็คือบริเวณส่วนบนสุดของทางลาดเอียงทันทีที่น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำจะเข้ามายังเมืองเมืองใต้ดินทันที ยิ่งสูงน้ำยิ่งใส

ในเมืองใต้ดินที่มืดมิด ชื้นแฉะ ไม่เห็นแสงตะวันเช่นนี้ สิ่งอำนวยความสะดวกในการระบายน้ำยังไม่สมบูรณ์ สิ่งขับถ่ายของคนและสัตว์ตลอดจนน้ำเสียจากการดำรงชีวิตต่างๆ ไหลเวียนอย่างเสรี ยิ่งลงต่ำ สภาพแวดล้อมด้านสุขอนามัยก็ยิ่งแย่ เกิดโรคระบาดได้มากขึ้น

ทางเมืองใต้ดินมีแผนรับมือที่เป็นระบบแล้ว นั่นก็คือการกักกันและปิดล้อม จากนั้นส่งจอมเวทย์เข้าไปรักษา ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วสามารถควบคุมการระบาดให้อยู่ในเวลาอันสั้นได้

แต่สิ่งที่ทำให้อายส์เคกังวลคือ ครั้งนี้โรคระบาดเกิดขึ้นในเขตชั้นบนที่มีสุขอนามัยดีที่สุด น้ำเสียอย่างแน่นอนต้องไหลลงไปยังเขตชั้นล่างตามแรงโน้มถ่วง ตอนนี้เพิ่งค้นพบเพียงสิบกว่าราย แต่ไม่รู้ว่ายังมีอีกเท่าไหร่ที่ซ่อนตัวอยู่

กลุ่มคนกรูกันไปยังบริเวณในเขตชั้นบนที่ค้นพบศพ มีศพเน่าเปื่อยนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น ลีน่ามองแวบเดียวก็รู้สึกคลื่นไส้ รีบหันหน้าหนีไป

ฟิลินตรวจสอบอย่างละเอียด พลางร้องอุทานว่า "เวลาที่ตายน่าจะเพิ่งผ่านไปแค่สองวันเท่านั้น ทำไมถึงเน่าขนาดนี้แล้วล่ะ? แม้แต่วิญญาณก็ยังไม่ตกค้าง น่าประหลาดจริงๆ"

ได้ยินคำพูดของฟิลิน ลีน่าข่มความรู้สึกคลื่นไส้ หันหน้ากลับมา มองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดขึ้นว่า "ท่านเจ้าข้า ท่านช่วยผ่าช่องท้องของเขาได้ไหม?"

หลังจากผ่าช่องท้องแล้ว ทุกคนต่างสีหน้าเปลี่ยนไป "ปมปีศาจ! ฝีมือไอ้พวกผีปีศาจจากหุบเขาปีศาจนั่นแหละ"

การปรากฏตัวของหุบเขาปีศาจและโรคระบาด ทำให้ทั้งเมืองใต้พิดินตื่นตระหนกขึ้นมา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างกักตัวอยู่บ้าน ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกจากที่พักของตน มีเพียงสิ่งที่ไม่มีชีวิตเท่านั้นที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

เมื่อเทียบกับสังคมมนุษย์ทั่วไปแล้ว วิธีรับมือกับโรคระบาดนี้ได้ผลดีกว่ามาก เพราะสิ่งไม่มีชีวิตไม่ติดโรคระบาด และยังสามารถรักษาให้สังคมหมุนเวียนต่อไปได้

อังเกอร์สังเกตเห็นว่าวิหารกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทุกคนถูกกักตัวอยู่ในบ้าน ไม่มีผู้ศรัทธามาเยือน วิหารแห่งความไม่ตายจึงกลับสู่ความเงียบงันเช่นเดิม

โครงกระดูกสีเงินยังคงทำความสะอาดเช่นที่เคยทำ ภายในบริเวณวิหารถูกทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง ไม่มีฝุ่นละอองแม้แต่นิด

สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปคือ ตั้งแต่ที่อังเกอร์มีหัวใจแห่งวิญญาณก่อตัวขึ้น ทุกครั้งที่โครงกระดูกสีเงินพบอังเกอร์ มันจะหยุดงานในมือ กุมด้ามไม้กวาดยืนตรง แล้วก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม

โดยปกติแล้ว โครงกระดูกซอมบี้ทั่วไป เมื่อเจอพวกเดียวกันที่มีวิญญาณแข็งแกร่งกว่าตนเอง จะหนีไป มีเพียงพวกที่สลักกฎเกณฑ์ไว้เท่านั้นที่จะมีท่าทีแบบนี้

อังเกอร์พยายามสื่อสารกับมัน แต่ได้รับเพียงการตอบสนองง่ายๆ เช่น 'ทำความสะอาด' หรือ 'เงียบสงบ' เป็นต้น ตามหลักการแล้ว โครงกระดูกสีเงินมีสติปัญญาในระดับหนึ่งแล้ว ไม่น่าจะไม่สามารถสื่อสารได้ แต่โครงกระดูกสีเงินนี้ดันเป็นแบบนั้นพอดี

ไม่มีใครมา อังเกอร์ก็ไม่สนใจ เขาชอบความเงียบสงบแบบนี้มากกว่า ตอนนี้บริเวณใกล้เคียงวิหารมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง อังเกอร์ปลูกมอสเรืองแสงเต็มไปหมด

เดิมเขาตั้งใจจะปลูกภายในบริเวณวิหาร แต่ปลูกลงไปแล้วก็ถูกโครงกระดูกสีเงินจัดการเก็บกวาด แม้แต่คืนเดียวก็ทนอยู่ไม่ได้

เพราะได้รับการดูแลอย่างดี สิ่งแวดล้อมก็พอเหมาะพอเจาะ มอสเรืองแสงเติบโตอย่างน่าพอใจ ยิ่งขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว จนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่างใกล้กับวิหารแล้ว

หลังจากถูกปิดล้อม อังเกอร์มีเวลามากขึ้นในการจัดการกับมอสเรืองแสง แต่เสียดายที่บริเวณรอบวิหารมีดินน้อย ส่วนที่มีเล็กน้อยก็เป็นแค่ฝุ่นที่สะสมกันมา ส่วนประกอบมีความซับซ้อน ไม่ค่อยมีสารอาหาร จึงไม่สามารถแทรกพืชอาหารลงไปปลูกได้เหมือนในแปลงเกษตร

แต่ช่างมันเถอะ ถ้าปลูกมอสเรืองแสงได้ ก็ปลูกแต่มันก็พอ ยังไงครอบครัวมิโนทอร์ก็กินแม้แต่ มอสธรรมดา ดังนั้นมอสเรืองแสงก็ถือเป็นอาหารชนิดหนึ่งเหมือนกันล่ะนะ

มอสเรืองแสงไม่ต้องการดิน ไม่ต้องการแสงแดด อังเกอร์จึงหาแผ่นหินมาวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ แล้วปลูกมอสลงไประหว่างชั้น

ในเมองใต้ดินนั้นขาดแคลนทุกอย่าง ยกเว้นแผ่นหินที่มีมากเป็นพิเศษ บางพื้นที่ยังเป็นชั้นหินดินดาน แค่สกิดเบาๆ ก็ได้แผ่นหินเรียบร้อยแล้ว

สร้างชั้นวางเจ็ดแปดชั้น ปลูกมอสเรืองแสงลงตรงกลางของแต่ละชั้น มันจะส่องแสงได้เอง ไม่ต้องพึ่งพาแสงสว่างก็เติบโตได้ ขอแค่รักษาความชื้นให้พอเหมาะก็พอ

บนแผ่นหินเหล่านี้ อังเกอร์ปลูกมอสที่คัดเลือกมาโดยเฉพาะ ว่าต้นไหนล่ำที่สุด เติบโตเร็วที่สุด และมีขนาดใหญ่ที่สุด

การคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ถือเป็นทักษะพื้นฐานที่สุดของการเพาะปลูก ถ้าไม่เข้าใจแม้แต่เรื่องนี้ อังเกอร์ก็คงไม่มีทางปลูกพืชได้เป็นพันปี เมล็ดพันธุ์คงเสื่อมสภาพไปนานแล้ว

ในขณะที่อังเกอร์กำลังปลูกมอสอย่างสงบเงียบ จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้ากระหืดกระหอบดังแว่วมาแต่ไกล ข้างหน้ามีเด็กชายวัยสิบกว่าขวบ อุ้มเด็กหญิงวัยสี่ห้าขวบไว้ในอ้อมแขน วิ่งเท้าเปล่าสุดชีวิต ไม่รู้ว่าเหยียบโดนหินแหลมชิ้นไหนเข้า เลือดจึงไหลทะลักออกมา

แต่เด็กชายเหมือนจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ยังคงวิ่งสุดกำลังตรงมาทางวิหารแห่งความไม่ตาย ด้านหลังของเขามีโครงกระดูกทหารสี่ห้าตัวกำลังไล่ล่าติดตาม ถือศาสตราพร้อม และหากไล่ทันมันพร้อมฟันฟาดเด็กชายได้ทุกเมื่อ พวกมันได้รับคำสั่งให้สังหารสิ่งมีชีวิตที่พเนจรไปมาให้หมด

วิหารอยู่ไม่ไกลแล้ว แววตาของเด็กชายฉายประกายแห่งความหวัง พึมพำว่า "ท่านเทพแห่งความไม่ตาย ได้โปรดช่วยน้องสาวของข้าด้วยเถิด"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด