ตอนที่แล้วบทที่ 14 แปลเปลี่ยนพลังวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 16 โรคระบาด

บทที่ 15 พลังแห่งศรัทธา


เนเกริสประเมินความอดอยากของผู้คนที่หิวโหยต่ำเกินไป แม้เขาได้จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม แต่วิหารก็ยังคงแน่นขนัดไปด้วยฝูงชนที่ได้ยินข่าวแล้วรีบมาที่นี่ พอได้ยินว่ามีเพียงความเชื่อที่เคร่งครัดศรัทธาเท่านั้น จึงจะได้รับความช่วยเหลือจากราชาได้ ทุกคนจึงรีบกรูกันไปที่แท่นบูชา อยากจะพิสูจน์ต่อพระราชาว่าตนเองมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อความเป็นอมตะ หรือต่ออาหารมากเพียงใด

ฝูงชนที่แย่งกันเข้ามาเกือบทำให้วิหารที่ทรุดโทรมพังทลายลง แม้ครอบครัวหัววัวจะตะโกนเสียงแหบพร่าเพื่อรักษาระเบียบ แต่ก็ไม่เป็นผล

โครงกระดูกสีเงินที่เดิมกวาดเพียงพื้นมาโดยตลอด ได้กลับด้ามไม้กวาดอย่างกะทันหัน ปลายไม้กวาดถูกพันรอบด้วยพลังสีดำ ไม่นานนักมันแปรเปลี่ยนกลายเป็นดาบสองมือขนาดใหญ่ นี่คือจุดพิเศษของการใช้อาวุธวิญญาณ ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปตามวัตถุประสงค์การใช้งานได้หลากหลาย

หากว่างพอและสนใจฝึกฝน การปรับรูปแบบอาวุธหนึ่งร้อยแปดสิบรูปแบบก็ไม่ใช่ปัญหา เมื่อชำนาญแล้วจะเปลี่ยนรูปได้อย่างรวดเร็ว

เขาถือดาบไว้ในมือ จากนั้นโครงกระดูกสีเงินก็กระโดดขึ้นไปด้วยความแรง ขึ้นไปอยู่บนเสาหินข้างแท่นบูชา ย่อตัวลง แล้วส่งเสียงกรีดร้องทางจิตวิญญาณที่ไร้เสียง

ผู้คนที่กำลังยื้อแย่งกันเข้ามาไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องนี้ พวกเขาเพียงแต่รู้สึกถึงพลังที่สามารถแช่แข็งวิญญาณผ่านร่างกายเท่านั้น คล้ายกับความรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ เพียงแต่รุนแรงกว่าปกติหลายสิบเท่า

คนส่วนใหญ่ชะงักไปทั้งตัว ตัวสั่นเทิ้ม

เมื่อโครงกระดูกสีเงินกรีดร้อง บริเวณวิหารที่แต่เดิมไม่มีกำแพงล้อมรอบ พื้นดินก็ยกตัวขึ้น กระดูกขาวแต่ละท่อนประกอบกันเป็นรั้วกั้น ล้อมรอบพื้นที่วิหาร

เมื่อโครงกระดูกสีเงินกรี๊ดร้องเช่นนั้น ทุกคนต่างสงบลง เมื่อถูกรั้วกระดูกขาวล้อมรอบ ราวกับเพิ่งนึกได้ว่า ที่นี่คือวิหารเทพแห่งความไม่ตาย ที่พำนักของวิญญาณ ไม่ใช่ที่ที่สามารถส่งเสียงอื้ออึงได้อย่างไร้ยางอาย

ทุกคนเข้าแถวอย่างเรียบร้อย ทยอยเดินไปหน้าแท่นบูชาคำนับ เมื่อพวกเขาศรัทธาต่อความเป็นอมตะอย่างจริงใจ อังเกอร์จึงสามารถรู้สึกถึงการเชื่อมโยงระหว่างตนเองกับผู้ศรัทธา ผ่านสะพานแห่งเปลวไฟแห่งความตาย ก่อเกิดเป็นร่างแหของวิญญาณ

ในช่วงเวลานั้น แม้กระทั่งอังเกอร์ที่ได้ยินเสียงบางอย่างจากส่วนลึกในใจของอีกฝ่าย ความรู้สึกนี้ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก

คนส่วนใหญ่ต่างอ้อนวอน 'ได้โปรดประทานอาหารให้ข้าด้วยเถิด' น้อยคนนักที่ขอ 'ได้โปรดให้ข้าเป็นอมตะตลอดไป' นานๆ ครั้งจะมีผู้ขอ 'ได้โปรดฆ่าสาวจิ้งจอกข้างบ้านให้ข้าด้วยเถิด' หรือ 'ขอให้สายลมแห่งชีวิตสูญสิ้นไป' เป็นต้น สิ่งนี้ทำให้อังเกอร์ค้นพบว่า จิตใจของสิ่งมีชีวิตนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง

นอกจากจะได้ยินเสียงในใจเหล่านี้แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับอังเกอร์คือการแปรเปลี่ยนพลังศรัทธาเหล่านี้ มันทำให้เขารู้สึกราวกับได้กลับไปยังถ้ำใต้ดินอีกครั้ง ชี้นำพลังงานให้ไหลเข้าสู่ร่างกายของตนเองอย่างต่อเนื่อง

ผลึกวิญญาณ คือพลังงานที่เกิดจากการควบแน่นของวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอมตะ เนื่องจากสามารถแปรผกผันกลับไปเติมเต็มให้แก่วิญญาณได้ สิ่งมีชีวิตอมตะอื่นๆ จึงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงสามารถใช้เป็นสิ่งเทียบเคียงมูลค่า สามารถใช้เป็นสกุลเงินหมุนเวียนได้ เพียงแค่เป็นสิ่งมีชีวิตอมตะ ก็จะยอมรับในคุณค่าของผลึกวิญญาณนี้

พลังงานเหล่านี้ เป็นธรรมดาที่สามารถเติมเต็มเข้าสู่วิญญาณของอังเกอร์ได้ ก่อนหน้านี้เนื่องจากต้องขนย้ายอาหาร อังเกอร์จึงไม่กล้าใช้พลังงานเหล่านี้อย่างพร่ำเพรื่อ ตอนนี้มีพลังงานเพิ่มขึ้นมามากมาย ทำให้อัตราส่วนระหว่างอาหารและผลึกวิญญาณอยู่ที่หนึ่งต่อร้อย เขาจึงใช้อย่างไม่จำกัดได้

พลังงานวิญญาณที่ไหลทะลักเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้อังเกอร์รู้สึกว่าตนเองกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

บางครั้ง การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เปลวไฟแห่งวิญญาณหดตัวขึ้นอย่างรุนแรงฉับพลัน เปลวทั้งหมดพุ่งเข้าไปข้างใน ก่อเป็นลูกบอลมันเต้นตุบๆ ทั้งหดและพองตัวราวกับจังหวะของหัวใจ สลับกันอยู่อย่างนั้น ระลอกของพลังวิญญาณบริสุทธิ์ก็พลุ่งพล่านเข้าสู่ทุกช่วงชิ้นส่วนแห่งโครงกระดูกทั่วทั้งร่าง

เนเกริสสังเกตเห็นสภาวะของอังเกอร์ จึงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ "หัวใจแห่งวิญญาณงั้นหรือ? ข้าก็ว่าวิญญาณของเจ้ามันหนาแน่นเกินไป ไม่เหมือนโครงกระดูกสีเทาอื่นๆ ที่แท้ก็เกือบจะกลายเป็นหัวใจแห่งวิญญาณอยู่แล้ว อีกไม่นานนัก กระดูกของเจ้าก็จะเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกทองคำ เป็นไปได้ว่าอาจจะกลายเป็นราชาโครงกระดูกทองคำ"

ราชาโครงกระดูกทองคำงั้นหรือ? ฟังดูเหมือนจะเจ๋งไม่ใช่เล่น ผู้สร้างนายท่าน ก็คือโครงกระดูกทองคำ แสดงว่า ข้าก็สามารถสร้างโครงกระดูกอื่นๆ ได้เหมือนนายท่านหรือเปล่านะ?

...

พิธีกรรมบูชาที่วิหารเทพแห่งความไม่ตาย ก็ดำเนินไปอย่างเป็นปกติ ผู้ที่ศรัทธาอย่างเคร่งครัดและถวายเปลวไฟแห่งวิญญาณได้ ก็จะได้รับอาหารหนึ่งจิ๋น(หน่วยวัดน้ำหนักในจีน เท่ากับครึ่งกิโลกรัม)ต่อคน และสามารถมาร่วมพิธีได้ทุกวัน อังเกอร์ได้ขนย้ายอาหารประมาณสิบตันหรือราวๆ สองหมื่นจิ๋น ซึ่งเพียงพอให้วิหารใช้ไปได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ทุกคนไม่ได้เคร่งครัดศรัทธาทั้งหมด และไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อมั่นในความเป็นอมตะอย่างแท้จริง จากสองร้อยคน อาจมีประมาณหนึ่งร้อยคนที่สามารถถวายเปลวไฟแห่งวิญญาณได้ ส่วนคนที่ศรัทธาไม่มั่นคงพอ ครั้งต่อไปก็จะไม่มาอีก

ผ่านการคัดเลือกรอบหนึ่ง ผู้ศรัทธาที่แน่วแน่จะเหลือราวๆ สองร้อยคน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ดีทีเดียว เพราะประชากรทั้งหมดในเมืองใต้ดินมีประมาณห้าพันคนเท่านั้น และยังต้องแยกเผ่าพันธุ์และกลุ่มคนที่มีความเชื่อของตนเองออกไปอีก รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตายบางส่วน ทำให้จำนวนรวมยิ่งน้อยลงไปอีก

การผุดขึ้นมาอย่างกะทันหันของวิหารเทพแห่งความเป็นอมตะแห่งนี้ ฝ่ายบริหารของเมืองใต้ดินมีความเห็นขัดแย้งกันอย่างมาก ปีศาจสาว ลีน่า ถึงกับเสนอให้ขัดขวางไม่ให้ผู้ศรัทธาไปสักการะ เพื่อป้องกันไม่ให้ก่อตัวเป็นปัจจัยที่ไม่มั่นคง

แต่เพียงแค่พูดข้อเสนอนี้ออกมา ก็ถูกอายส์เคด่าอย่างโกรธเกรี้ยวทันที "เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ? ข้าก็เป็นผู้ศรัทธาในความเป็นอมตะ เจ้าคิดจะปิดกั้นข้าด้วยหรือ?"

อายส์เคคือจอมเวทย์แห่งความตาย มีจอมเวทย์แห่งความตายที่ไหนจะไม่ศรัทธาในความเป็นอมตะเล่า?

เมื่อลีน่าได้ยินดังนั้น หัวใจก็เต้นตึกตัก เธอดันลืมเรื่องนี้ไปได้ ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ เธอยังลืมสถานะของจอมเมืองไปด้วย จอมเมืองเป็นจอมมารเฒ่าผู้หนึ่ง มีฐานะเป็นส่วนหนึ่งของ 'ความเป็นอมตะ'

การเสนอให้ปิดวิหารแห่งความไม่ตายบนดินแดนของจอมมาร ลีน่ารู้สึกว่าตนเองต้องเสียสติไปแน่ๆ ถึงได้มีข้อเสนอเช่นนี้

ฟิลินรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ จึงปลอบใจว่า "ลีน่าเพียงแค่มีเจตนาดี กลัวว่าจะมีองค์ประกอบที่ไม่มั่นคงเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน และทำลายเสถียรภาพในปัจจุบัน"

ลีน่าพยักหน้ารัวๆ เหมือนลูกไก่จิกเมล็ดข้าว เธอเพิ่งเข้าร่วมกับเมืองใต้ดินนี้ได้ไม่นาน จึงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ของวิหารแห่งความไม่ตายเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เธอกลับได้สติขึ้นมาแล้ว วิหารแห่งความไม่ตาย ก็คือสถานที่สักการะบูชาสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตายนั่นเอง

ฟิลินผู้รู้ข้อมูลภายในกล่าวว่า "ไม่ต้องกังวลหรอก การเปิดวิหารอีกครั้ง อาจจะกลายเป็นหลักสำคัญที่สุดของเมืองใต้ดินเลยก็ได้ อีกทั้งยังแจกจ่ายอาหารออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน ช่วยบรรเทาสถานการณ์ขาดแคลนอาหารของพวกเรา ถือเป็นเรื่องดีมากเลยล่ะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน อย่าไปรบกวนเขา"

ส่วนเคลย์ที่นั่งอยู่อีกด้าน แสดงรอยยิ้มบางเบาในท่าทีที่ราวกับจะกล่าวว่า "เป็นไปตามคาด" เขารู้อยู่แล้ว ที่ฟิลินได้ของขนกลับมาหลายชุดอย่างกะทันหัน กับวิหารที่เพิ่งกลับมาเปิดอีกครั้งแถมยังแจกจ่ายอาหารออกไป แค่มีสมองก็คงเดาได้แล้วว่าสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกัน มีแต่ปีศาจสาวไร้สมองนี่ล่ะ ถึงได้พูดจาเลอะเทอะ

เมื่อทุกคนบรรลุข้อตกลงเป็นเสียงเดียวกันแล้ว ฟิลินเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปว่า "เรื่องที่พูดไว้เมื่อสองสามวันก่อน ที่จะใช้มอสเรืองแสงเป็นแหล่งแสงเสริมให้พืชผล ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?"

อายส์เคกับลีน่าสบตากัน สุดท้ายสายตาก็ตกไปที่เคลย์

เคลย์กล่าวว่า "ล้มเหลวขอรับ ปลูกในแปลงแล้วแต่ไม่เจริญงอกงามเลย ถ้าปลูกไกลเกินไป แสงจากมอสเรืองแสงก็สว่างไม่พอ ทำหน้าที่เสริมแสงได้ไม่ดี ต้องปลูกระหว่างสองแถวของพืชผลเท่านั้น แต่ว่ามันต้องการสภาพแวดล้อมที่ชื้นแฉะ ถ้าให้น้ำมาก รากก็จะเน่าเปื่อย ต้นพืชผลก็จะจมน้ำและเน่าไปด้วย ท่านครับ ข้าคิดว่าวิธีแบบนี้คงไม่ดี"

"หืม? ล้มเหลวงั้นเหรอ? แต่ข้าเคยเห็นบางคนทำสำเร็จนะ" ฟิลินกล่าว

"เป็นไปไม่ได้หรอก" พอเป็นเรื่องเทคนิค เคลย์ผู้ฉลาดเฉลียวจะไม่ยอมใครทั้งนั้น "ท่านอย่าบอกนะว่า ถูกหลอกด้วยเวทมนตร์? มันใช้เวทมนตร์ให้พืชเจริญงอกงามในช่วงสั้นๆ เพื่อหลอกท่าน ท่านขอรับ อย่าโดนหลอกเชียวนะ"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด