ตอนที่ 330
ตอนที่ 330
พวกเขาไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
มันดูเหมือนมีสิ่งมีชีวิตกำลังต่อสู้กันในหมอกสีดำที่ม้วนตัวก่อนหน้านี้
แต่พวกเขาก็ดูไม่ออกว่าผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไร
เพียงแต่พลังที่ปรากฏขึ้นนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว
วิญญาณชั่วร้ายที่ปกคลุมไปทั่วสันเขาไร้เสียงได้สลายไปจนหมดสิ้น
ทางเข้าที่หายไปก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเช่นกัน
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว หลายคนก็ไม่มีใจที่จะล่าสมบัติอีกต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้พวกเขาก็ล้วนแต่มีชีวิตเป็นเดิมพัน และไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่มีการต่อสู้ที่รุนแรงแบบก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอีก
ยิ่งไปกว่านั้น สันเขาไร้เสียงแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในสิบพื้นที่ต้องห้าม และอันตรายในนั้นทำให้ผู้คนหลายคนหวาดกลัวจากใจจริง
ผู้คนก็เริ่มออกจากสันเขาไร้เสียงทีละคน
-
สันเขาไร้เสียงจะไม่มีอยู่เป็นหลักแหล่ง
นอกจากจะซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่าไม่มีสิ้นสุดเป็นส่วนใหญ่แล้ว มันจะปรากฏที่โลกภายนอกเป็นครั้งคราวเท่านั้นและไม่นานก็จะหายไป
ในขณะนี้ ผู้คนจำนวนมากก็ออกจากสันเขาไร้เสียงมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาก็เห็นสันเขาไร้เสียงเริ่มสั่นสะเทือน
เสียงบูมโซนิคจำนวนนับถ้วนก็ดังสนั่นไปทั่ว
“บูม!”
ท้องฟ้าก็เริ่มเปิดออก และสันเขาไร้เสียงก็กลายเป็นแสงออโรร่าสีดำ และเริ่มหายไปในความว่างเปล่า จากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อสันเขาไร้เสียงหายไป บรรดาผู้ที่อยู่ในหุบเขาหมื่นลูกต่างก็แสดงสีหน้าทั้งมีความสุขและเศร้า
บางคนได้รับสมบัติบางอย่างมาจากในสันเขาไร้เสียง
ส่วนบางนิกายก็ประสบความสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับ เต๋าซุนที่ยังอยู่ในสันเขาไร้เสียงแม้แต่น้อย
หลังจากที่สันเขาไร้เสียงหายไปจากโลกภายนอก ไป่เหมินก็มองไปที่เต๋าซุนที่ยังนั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่
จากนั้นพลังปีศาจของก็พลุ่งพล่านออกมาล้อมรอบเต๋าซุน
พลังปีศาจลากร่างของเต๋าซุน และค่อยๆ บินไปยังโลกภายนอก
สันเขาไร้เสียงกลับมาซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าและลอยไปข้างหน้า
ไป่เหมินทำลายกำแพงมิติโดยตรงและพาเต๋าซุน อกไปจากที่นี่
ชายทั้งสองก็ร่อนลงมาบนแม่น้ำสายยาว
ไป่เหมินมองไปรอบ ๆ และโบกมือ ต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่อยู่รอบตัวเขาก็โค่นลงในทันที
เขานำต้นไม้เหล่านั้นสร้างเป็นแพ
จากนั้นก็วางร่างของเต๋าซุนไว้บนแพ และปล่อยให้ไหลไปตามกระแสน้ำอย่างอ่อนโยนช้าๆ
จากนั้นเขาก็กลับไปซ่อนตัวในความว่างเปล่าและแอบปกป้องอย่างลับๆ
-
แสงแดดเที่ยงวันส่องผ่านป่าเขา
มีรัศมีจาง ๆ บนพื้นผิวแม่น้ำที่ส่องประกายระยิบระยับ
แพลอยเร็วไปตามแม่น้ำ
แม่น้ำสายนี้อ่อนโยนและยืดยาว
เต๋าซุนยังคงลอยไปตามสายน้ำต่อไป
ในโลกแก่นชีวิตในร่างกายของเขา เขายังคงหลอมดวงตาของเขาอยู่อย่างช้าๆในขณะนี้
มีหมู่บ้านมนุษย์สร้างขึ้นอยู่ที่ด้านล่างของแม่น้ำสายยาว
พวกเขาอาศัยอยู่ริมแม่น้ำเป็นเวลาหลายร้อยปีจากรุ่นสู่รุ่น
“หมู่บ้านลั่วเหอ!”
รุ่งสางมาถึง และต้นหลิวสองสามต้นที่ทางเข้าหมู่บ้านก็ปลิวไสวท่ามกลางสายลมเย็นในฤดูใบไม้ร่วง
ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งถือกะละมังไม้และกะละมังเสื้อผ้าขนาดใหญ่มาที่แม่น้ำด้านล่างในตอนเช้าเพื่อเตรียมซักผ้า
น้ำในแม่น้ำใสราวคริสตัล และก้อนกรวดที่ก้นแม่น้ำก็ใหญ่พอๆ กับไข่ยักษ์ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ในกลุ่มผู้หญิงนี้มี หญิงสาวสามคนและเด็กสาวสองคน
ทั้งห้าคนลุกขึ้นและคุยกันสบายๆ ขณะซักผ้า
“มู่หยู ข้าได้ยินมาว่าแม่ของเจ้าหมั้นหมายเจ้ากับเชาซิงที่อยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้าน
เหตุใดเจ้าถึงดูไม่ค่อยพอใจกัน?
พ่อของเขาเป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้าน และเขาก็มีความสามารถมากเช่นกัน เจ้าจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอนถ้าเจ้าได้แต่งงานกับเขา ”
ผู้หญิงคนหนึ่งก็มองไปยังหญิงสาวข้างๆ แล้วถาม
“ใช่แล้ว ข้าไม่รู้เลยว่ามีผู้หญิงกี่คนในหมู่บ้านที่อยากจะแต่งงานกับเชาซิง แต่เขากลับไม่เลือกใครเลย
เจ้าควรคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดีนะ! “ หญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆก็พูดต่อและพยายามโน้มน้าวนาง
แต่เด็กหญิงที่ชื่อกู่มู่หยูก็เพียงแค่ยิ้มและส่ายหัว
นางดูไม่ยินดีแม้แต่น้อย!
นางสวมชุดสีฟ้าอ่อนและดูอ่อนโยน
ผมยาวของนางผูกไว้ด้านหลังด้วยริบบิ้นสีชมพู และดวงตาของนางก็เป็นประกาย
เมื่อนางยิ้ม ลักยิ้มเล็กๆก็ปรากฏบนใบหน้าด้านซ้ายของนาง ทำให้ดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนี้ นางเพียงแค่ซักผ้าและไม่ได้ตอบอะไร
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ และหลายคนก็ซักผ้าเสร็จแล้วและเตรียมตัวกลับบ้าน
ทันใดนั้นก็มีคนชี้ออกไปไกลแล้วตะโกนว่า “ดูนั่น นั่นอะไรน่ะ?”
“ดูเหมือนจะเป็นแพเล็กๆนะ” ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆพูด
“มีคนนั่งอยู่บนนั้นด้วย
หมู่บ้านลั่วเหอของเราซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างระหว่างป่ามาเป็นเวลานานแล้ว นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้พบคนแปลกหน้า ”
ขณะนี้หญิงสาวคนหนึ่งก็พูดด้วยความสงสัย พวกนางมองแพลอยเข้ามาอย่างช้าๆ
เมื่อแพลำเล็กจอดเทียบท่า หญิงสาวหลายคนก็ขึ้นไปดู
พวกนางไม่กี่คนมองไปยังชายหนุ่มบนแพและตะโกนเรียกหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบสนองแต่อย่างใด
“ไม่ใช่ว่าเขาตายแล้วรึ?” ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆก็เดา
ส่วนเด็กหญิงที่ชื่อกู่มู่หยูนั้นก็วางมือลงบนจมูกของชายหนุ่ม พยายามตรวจสอบลมหายใจ จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วพูด
“เขายังไม่ตาย และการหายใจของเขาก็ปกติดี”
“แล้วทำไมเขาถึงไม่ตื่นสักทีเล่า” หญิงคนหนึ่งก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ลืมไปเถอะ ปล่อยให้เขาลอยต่อไปดีกว่าหรือไม่
หากเข้าไปยุ่ง เกรงว่าอาจสร้างปัญหาได้ "
“แต่ที่บริเวณต้นน้ำด้านล่างมีสัตว์ป่าอยู่นะ
บางทีก็ยังปรากฏร่องรอยของสัตว์อสูรอีกด้วย" กู่มู่หยูตอบอย่างไม่เห็นด้วย
“ถึงตอนนั้นถ้าเขายังไม่ตื่น ไม่ใช่ว่าจะถูกสัตว์ป่ากินหรอกรึ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ มันไม่ใช่ความผิดของเราสักหน่อย” หญิงสาวตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ไปเถอะ อย่าสร้างปัญหาเลย”
หญิงสาวหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะดึงกู่มู่หยูกลับ และเตรียมที่จะจากไป
เมื่อมองแพที่กำลังจะลอยไปตามกระแสน้ำต่อ กู่มู่หยูก็เงียบไปสักพัก
จากนั้นนางก็สะบัดมือหญิงสาวคนอื่นๆแล้ววิ่งตรงไปที่แพ
นางคว้าแพบนฝั่งแล้วหันหน้ามาพูดกับคนอื่นๆ
“ไม่ว่ายังไงชีวิตคนก็สำคัญกว่า ในเมื่อตอนนี้ข้าได้พบเขาแล้ว ข้าคงไม่อาจปล่อยให้เขาไปเสี่ยงชีวิตได้ ”
“ถ้าเจ้าอยากช่วยเจ้าก็ช่วยเอาเองเถอะ อย่ามาว่าพวกข้าไม่เตือนก็แล้วกัน” ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆพูด
“หากคนๆนี้ไม่ใช่คนดีล่ะก็ ผลเสียจะมีมากกว่าผลดีแน่นอน”
“ข้าเข้าใจ” กู่มู่หยูเงียบไปสักพัก และในที่สุดก็ดึงชายหนุ่มออกจากแพ
นางพยุงร่างของเขาไว้และพยายามแบกกลับมาที่หมู่บ้าน
หญิงสาวหลายคนที่อยู่ข้างหลังเองก็ต้องลงแรงช่วยเช่นกัน ถึงแม้จะลังเล แต่สุดท้ายเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็มีแต่ต้องช่วยกัน
-
หมู่บ้านลั่วเหอเป็นหมู่บ้านมนุษย์
มันไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวยอะไรนัก
และตระกูลกู่ ของมู่หยู่เองก็ค่อนข้างยากจนเล็กน้อย
ครอบครัวของนางอาศัยอยู่ริมหมู่บ้าน
เป็นเพียงบ้านมุงที่ทรุดโทรมและเรียบง่ายสองหลัง ทุกครั้งที่ฝนตกก็มักจะมีน้ำรั่วหลายจุดในบ้านเสมอ
นอกจากบ้านมุงจากสองหลังแล้ว ยังมีสนามหญ้าขนาดกลางอีกด้วย
ลานนี้สร้างด้วยอิฐสีแดง และมีแกะสีขาวและสีเหลืองอยู่ข้างๆ
นางเป็นคนเดียวที่อาศัยอยู่ที่บ้านกับแม่ตาบอดวัยห้าสิบปีของนาง
ตั้งแต่นางเกิด นางไม่เคยเห็นหน้าพ่อของนางเลย
ในขณะนี้ นางก็เหงื่อออกเป็นอย่างมากขณะที่พยายามดิ้นรนพยุงเต๋าซุนเข้ามาในบ้าน และวางเขาลงบนเตียง
นางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา
และมองดูชายหนุ่มตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
เมื่อมองแวบแรก เขาก็ไม่ได้ดูหล่อเหล่าอะไรนัก แต่กลับให้ความรู้สึกถึงความมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
“เสี่ยวหยู เจ้ากลับมาแล้วเหรอ?” ในกระท่อมเล็ก ๆ อีกหลังหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งก็ถือไม้เท้าเดินออกมาและตะโกนเสียงดังในขณะที่มือของนางสัมผัสกับผนังบ้าน
“ท่านแม่” กู่มู่หยูรีบกลับมามีสติและเดินออกจากห้องไป
“เจ้ายังไม่ได้กินข้าวเลย ไปทำอะไรกินก่อนเถอะ”