ตอนที่ 282 อสูรโกลาหล (ฟรี)
ตอนที่ 282 อสูรโกลาหล
ในชั่วพริบตา สภาพแวดล้อมรอบตัวซูหยางก็เปลี่ยนไป
เหมือนได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนใหม่ ซูหยางรู้สึกได้ในขณะนี้ว่าเขาดูเหมือนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
ความว่างเปล่า ความโกลาหล ทุกสิ่งในระยะสายตาคือ ความมืดมิด...
มีเพียงดวงดาวเท่านั้นที่ส่องสว่างพื้นที่ที่เขาอยู่
“นี่คือแดนลับโกลาหลงั้นหรือ? พลังโกลาหลอยู่ที่ไหนกัน?”
ซูหยางสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างสับสน ข้อมูลในมือของเขายังมีน้อย ยังมีหลายสิ่งที่เขาไม่รู้
แต่การรวบรวมข้อมูลของที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ด้วยการใช้เจตจำนงดาบ และพยายามอนุมาน เขาจะหาได้ว่าพลังโกลาหลอยู่ที่ไหนได้ไม่ยาก
เจตจำนงดาบครอบคลุมพื้นที่ว่างขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว
เมื่อเจตจำนงดาบแผ่ขยายออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างก็สกิดใจเขาขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของกึ่งปราชญ์เป็นรากฐาน ซูหยางจึงไม่สนใจ และขยายขอบเขตการรับรู้ต่อไป
แต่ในไม่ช้า ซูหยางก็ค้นพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ กึ่งปราชญ์บางคนดูเหมือนจะเร่งรีบมายังตำแหน่งที่เขาอยู่
ด้วยเจตจำนงดาบ ซูหยางจึงสามารถเข้าใจวิถีการเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น เมื่อคนเหล่านี้มุ่งตรงมาหา เขาก็รับรู้ได้ก่อนแล้ว
ซูหยางขมวดคิ้ว คนพวกเขากำลังจะทำอะไร? ทำไมถึงมุ่งหน้ามาหาเขา?
แต่ก่อนที่เขาจะคิดอะไรได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในพริบตา ร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
"สหาย การที่เจ้าปลดปล่อยออร่าออกมาเช่นนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย"
คนที่มาคือผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ เมื่อพวกเขาเห็นซูหยาง พวกเขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้น
หลี่เต้าเการู้สึกสับสนมากในเวลานี้
การปล่อยออร่าของตนเองออกมาเพื่อตรวจสอบพื้นที่โดยรอบนั้น แม้ออร่าที่แผ่ออกไปจะน้อยนิด แต่ก็เป็นการเปิดเผยที่อยู่ของตัวเองด้วยเช่นกัน
ไม่มีผู้ฝึกฝนคนใดที่จะทำเช่นนี้เพราะมันมีความเสี่ยงที่จะดึงดูดศัตรูเข้ามา
หลังจากได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย และซูหยางก็พอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ในแดนลับโกลาหล
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพราะสถานการณ์ของพวกเขาแตกต่างกัน ดังนั้นวิธีรับมือจึงแตกต่างกันเช่นกัน
ซูหยางไม่กลัวที่จะเปิดเผยตำแหน่งของตน ดังนั้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัว
เพราะนี่เป็นเพียงร่างโคลนจึงไม่ต้องกลัวความตาย
ทำไมเขาต้องระมัดระวัง?
เขาจะมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ของเขา แต่เมื่อถูกเตือนด้วยความปรารถนาดี เขาก็ไม่สามารถหย่อหยิ่งเกินไปได้
“ขอบคุณที่เตือนสหาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เรามาที่นี่เพื่อค้นหาพลังโกลาหล หากเราไม่แผ่ออร่าออกไปเพื่อค้นหา เราจะหามันพบได้อย่างไร”
ซูหยางถามด้วยความสับสน คำถามนี้เขาต้องการคำตอบ
หลังจากที่หลี่เต้าเกาได้ยินสิ่งนี้ เขาก็พอตัดสินใจได้ว่าซูหยางไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับแดนลับโกลาหลมากนัก
“สหาย เจ้าเป็นผู้ฝึกฝนอิสระงั้นรึ? เจ้าไม่ได้รวบรวมข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยหรือ?”
"ถูกต้อง"
“ไม่น่าแปลกใจเลย แต่สหาย แม้ว่าเราผู้ฝึกฝนจะมุ่งแสวงหาเต๋าเท่านั้น เราก็ไม่สามารถปิดกั้นตัวเองมากเกินไปได้ ควรติดต่อกับคนอื่นๆ ให้มากเข้าไว้”
“ท้ายที่สุดแล้ว บนเส้นทางนี้มีหลายสิ่งที่จะได้พบเจอ หากไม่รู้เจ้าอาจจะพลาดโอกาสสำคัญบางอย่างไป”
"ข้าเข้าใจ" สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นสมเหตุสมผล และซูหยางก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร โดยธรรมชาติแล้วเขารู้ถึงความสำคัญของข่าวสาร แต่ด้วยการที่เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงมักจะรวบรวมข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้นเพราะเขาคงไม่ได้อยู่ในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป
คำกล่าวของหลี่เต้าเกานั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ
มันทำให้ซูหยางตระหนักได้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
จากนั้นเขาก็อธิบายให้ซูหยางฟังว่า
"ในแดนลับโกลาหล นอกเหนือจากถนนโบราณแห่งความโกลาหลแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถได้รับพลังโกลาหลได้นั้นคือ การฆ่าอสูรโกลาหล"
“เราแค่ต้องท่องไปในแดนลับโกลาหล หากมีอสูรโกลาหลอยู่ใกล้ๆ เจ้าจะรับรู้ถึงพวกมันได้เองโดยธรรมชาติ”
“อสูรโกลาหลนั้นเปรียบเสมือนหิ่งห้อยในท้องฟ้ายามค่ำคืน ในแดนลับโกลาหลนั้น เราสามารถรับรู้ตำแหน่งของพวกมันได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องแผ่ออร่าออกไปเพื่อค้นหา”
“ถ้าเจ้าแผ่ออกออร่าออกไปอย่างไม่ระมัดระวัง และมีบางคนรับรู้ได้ พวกเขาเหล่านั้นก็จะทราบถึงตำแหน่งของเจ้า ในโลกที่เต็มไปด้วยขัดแย้งนี้ ผลลัพธ์จะเป็นยังไง เจ้าน่าจะรู้ดี ข้าคงไม่ต้องจำเป็นต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้”
หลี่เต้าเกาเห็นว่าซูหยางเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงพูดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้น ทัศนคติของซูหยางก็ดีมากเช่นกัน การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่
ซูหยางเข้าใจอย่างสมบูรณ์หลังจากได้ยินสิ่งนี้ จากนั้น เขาก็ถามเกี่ยวกับที่ตั้งของถนนโบราณแห่งความโกลาหล
เนื่องจากการไปที่ถนนโบราณแห่งความโกลาหลจะได้รับพลังโกลาหลอย่างแน่นอน เขาก็จะลองไปดูก่อน
จากนั้นค่อยไปหาอสูรโกลาหลเพื่อเก็บเกี่ยวพลังโกลาหลเพิ่มเติม อีกอย่าง หลังไปถึงถนนโบราณแห่งความโกลาหล เขาอาจจะได้รับมูลอะไรเพิ่มมากขึ้นก็ได้
เมื่อได้ยิน หลี่เต้าเกาตอบคำถามของซูหยางโดยไม่ลังเล
ซูหยางกำหมัด และคำนับเล็กน้อยเพื่อแทนคำขอบคุณ "ข้าชื่อซูหยาง ขอบคุณสหายที่ช่วยไขข้อสงสัยของข้า"
หลี่เต้าเกาตอบกลับมาว่า "ไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงขนาดนั้น เรามาจากเผ่ามนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน"
หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนกันสั้นๆ และทิ้งข้อมูลการติดต่อของกันและกัน พวกเขาก็บอกลากันและไปทำธุระของตัวเอง
หลี่เต้าเกา และอีกสามคนกำลังมองหาอสูรโกลาหล ในขณะที่ซูหยางวางแผนที่จะไปที่ถนนโบราณแห่งความโกลาหล
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน และทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกันและกัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเลือกเดินทางไปด้วยกัน
กลุ่มผู้ฝึกฝนมักจะประกอบด้วยผู้ฝึกฝนหลายคนที่คุ้นเคยกัน ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่พบเจอกันไม่กี่ครั้ง
โดยธรรมชาติแล้ว ซูหยางไม่กลัวว่าหลี่เต้าเกาจะวางแผนการอะไรลับหลังเขา แต่สำหรับหลี่เต้านั้นเขาย่อมระมัดระวังในเรื่องนี้
ดังนั้น จึงควรแยกย้ายกันไปก่อน หากได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ครั้งหน้าอาจได้เดินทางด้วยกัน
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายออกห่างกันสักพัก สหายของหลี่เต้าเกาก็รู้สึกตัวขึ้นมา
“เขาเพิ่งบอกว่าชื่อซูหยางสินะ หรือเขาจะเป็นซูหยางที่อยู่ในอันดับหนึ่งคนนั้น?”
"นี่……!"
“เมื่อกี้ ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น หรือจะเป็นเขาจริงๆ?”
“เขาควรจะอยู่ในถ้ำมารไม่ใช่หรือ? ทำไมเขาถึงมาที่นี่?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ต้องมีความลับของตัวเอง และความคิดของเขาไม่ใช่สิ่งที่เราจะคาดเดาได้”
“ใช่ แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับการหนุนหลังจากขุมกำลังใด เขาไม่รู้ข้อมูลพื้นฐานด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็มาถึงจุดๆ นี้ได้ เขาเป็นคนที่โชคดีจริงๆ”
“โชคก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน”
“แม้จะพบเจอวาสนาด้วยโชคชะตาเกื้อหนุน แต่หากคว้ามาไว้ในมือไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“ยิ่งกว่านั้น วาสนาก็อาจกลายเป็นหายนะได้หากไม่แข็งแกร่งพอ”
“นั่นก็จริง เราควรมุ่งความสนใจมาที่ตัวเอง อย่าคิดถึงบางสิ่งที่เราไม่ควรเข้าไปยุ่ง”
พวกเขาทั้งสามต่างเห็นพ้องต้องกัน
ไม่ใช่ว่าพวกเขามีความตระหนักรู้สูง แต่ประสบการณ์ได้สอนหลายๆ สิ่ง
มีหลายทางเลือกที่ต้องตัดสินใจในโลกแห่งการบ่มเพาะ แต่หากผิดเพียงครั้งก็จะไม่มีโอกาสได้เลือกอีก
ดังนั้นทางเลือกของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน
ในใจของทุกคนล้วนมีความโลภ แต่ก็ขึ้นกับว่ามากพอที่จะให้เสี่ยงชีวิตเพื่อมันหรือไม่
…
ซูหยางกำลังบินอยู่กลางอากาศ ระหว่างทางไปยังถนนโบราณแห่งความโกลาหล
ตอนนี้เขาได้ควบคุมออร่าของตนแล้ว และไม่ทำผิดพลาดอีก
การปล่อยออร่าของตัวเองในแดนลับโกลาหลนั้นจะไม่ช่วยอะไรเขา แต่จะนำมาซึ่งหายนะเท่านั้น
แม้ว่าเขาจะควบแน่นร่างโคลนใหม่ได้ตลอดเวลา แต่หากสามารถใช้ร่างโคลนเดิมได้เป็นเวลานานนั้นก็ถือเป็นเรื่องดี
ในขณะที่ซ่อนออร่าของตน ซูหยางก็ให้ความสนใจกับสภาพแวดล้อมโดยรอบเช่นกัน
ระวังอสูรโกลาหลที่อาจโผล่มา
ตามข้อมูลที่หลี่เต้าเกามอบให้ อสูรโกลาหลคือ ศูนย์รวมของพลังโกลาหล
เมื่อฆ่าอสูรโกลาหลลงได้ เขาก็จะได้รับพลังโกลาหล
สำหรับพลังโกลาหลที่จะได้นั้น ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของอสูรโกลาหลตัวนั้นๆ
ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไร พลังโกลาหลที่เขาจะได้รับก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น