ตอนที่ 16 แต่เขาอยู่ในใจของจักรพรรดินี
ตอนที่ 16 แต่เขาอยู่ในใจของจักรพรรดินี
แต่ทันใดนั้นซูอันก็โบกมือแล้วยิ้มเอ่ย “แค่ล้อเล่นน่ะ เจ้าไปเถอะ”
หลี่จื่อซวงออกมาแล้วก็จริง แต่ภาพของการต่อสู้ดุเดือดในห้องนั้นและคำพูดสุดท้ายของซูอันยังก้องอยู่ในใจของนาง ราวกับว่าจิตใจของนางยังติดอยู่ในห้องนั้นและไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้เป็นเวลานาน
ความคิดก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกระดับ
……
“พี่ชาย เหตุใดเมื่อครู่ท่านไม่คว้าโอกาสจับนางไว้ล่ะ?”
เยี่ยหลีเอ๋อร์ซุกหน้าไว้ที่อกของซูอัน ยังเพลิดเพลินกับผลพวงของการต่อสู้แสนหวาน
นางไม่เชื่อว่าซูอันจะเป็นคนประเภทไม่กินเนื้อ
แต่เขาคือสัตว์กินเนื้อที่ดุร้าย
“หลี่จื่อซวงมีกายวิญญาณเทียนหาน ทว่าร่างกายนี้ยังไม่ถูกเปิดใช้งาน นางอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”
“กายวิญญาณเทียนหานมีฤทธิ์เย็นจัด เว้นแต่การฝึกตนของท่านจะไปถึงระดับหยางบริสุทธิ์หรือท่านมีกายหยางศักดิ์สิทธิ์ มิฉะนั้นหากทำสิ่งนั้นกับนางจริงๆ ท่านจะถูกแช่แข็งเป็นไอศกรีมแน่นอน”
ซูอันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
เนื้อมาจ่อถึงปาก แต่มันมีเข็ม! ซึ่งเข็มนั้นคือเข็มน้ำแข็ง
เขาไม่อยากกลายเป็นไอศกรีม
เขาจะต้องดึงเข็มออกก่อนเท่านั้น
“ร่างกายที่เย็นเฉียบสุดขั้วจะเกิดขึ้นในขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้นหรือ?” นัยน์ตาของเยี่ยหลีเอ๋อร์เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซูอันคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “ตามบันทึกเรื่องกายวิญญาณเทียนหานมันควรจะเป็นเช่นนั้น”
“พี่ชายท่านโง่จัง!” เยี่ยหลีเอ๋อร์อดบ่นออกมาไม่ได้ “การฝึกควบรวมอินหยางนี้ทำให้คนโง่หรือเปล่า หากท่านไม่ทำถึงขั้นสุดท้าย แล้วจะไม่ทำขั้นตอนอื่นๆ ก่อนหรือ?” นางกัดนิ้วมือพลางเอ่ยด้วยความขี้เล่น
กับนางแล้วสามารถทำได้หมด แต่เมื่อพูดถึงหลี่จื่อซวง นั่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้
“ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผล!”
ซูอันได้รับคำแนะนำจากเยี่ยหลีเอ๋อร์แล้วต้องยอมรับว่าหัวใจของเขาหวั่นไหว
……
ไม่นานก็ถึงการประชุมใหญ่ของราชสำนัก ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารหลายร้อยคนยืนอยู่เต็มท้องพระโรงหลิงเซียว
เสาหยกตั้งตระหง่านสู่ท้องฟ้า ท้องพระโรงกว้างขวางโอ่อ่า มันเคร่งขรึมและสงบ รอบข้างตกแต่งด้วยรูปปั้นเทพธิดาราวกับอยู่ในแดนสวรรค์
“จักรพรรดินีเสด็จ!”
หงเสาตะโกนเสียงดัง จากนั้นจักรพรรดินีสวมมงกุฎล้ำค่าและชุดคลุมปักลวดลายวิหคดำออกมาด้วยท่วงท่าสง่างาม นางหยุดบนบัลลังก์มังกรช่างคล้ายกับยืนอยู่ใจกลางสวรรค์และโลกมนุษย์
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงเป็นอมตะ พระชนมายุยาวนานเทียมสวรรค์”
หลังจากถวายความเคารพเสร็จแล้ว การประชุมราชสำนักจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
เกิดเหตุการณ์ไม่ต่างจากทุกครั้ง คือจะต้องเริ่มด้วยความขัดแย้งในหมู่ขุนนาง ตามมาด้วยรายงานภัยพิบัติหรือความสำเร็จของแต่ละมณฑล
ซูอันก็ยืนอยู่ที่นั่นโดยหลับตาลงและอยู่ในสมาธิของตน
เขาเป็นตัวร้ายและเป็นขุนนางกังฉิน ดังนั้นขุนนางกังฉินต้องสนใจเรื่องพวกนี้หรือ? หน้าที่ของเขาจบแค่การทำให้จักรพรรดินีพอใจเท่านั้น
จนกระทั่งครึ่งหลังเมื่อการประชุมใกล้จะสิ้นสุด
ในบรรดาขุนนางมีคนของตระกูลจี้เดินออกมา
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องอยากทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ”
เริ่มแล้ว เริ่มแล้ว พวกขุนนางคนอื่นๆ แอบนึกดีใจเพราะเรื่องสนุกกำลังจะมีให้ชมอีกแล้ว
“ทูลฝ่าบาท หลี่เต๋อเฉวียนอดีตเสนาบดีกรมพิธีการละเลยหน้าที่และใช้เวลาทั้งวันสำราญในหอเซียวเซียง ส่งผลให้งานของกรมพิธีการล่าช้า อีกทั้งไม่นานมานี้เขาอิจฉาแขกคนอื่นๆ ในหอเซียวเซียงและเพียงเพื่อจะแย่งหญิงนางโลมไม่กี่คน เขาถึงขั้นทำร้ายคนอื่นจนตาย คนเช่นนี้ไร้คุณธรรมและความสามารถ...”
คำพูดของเขาเปรียบเสมือนสะพาน จากนั้นจึงมีขุนนางคนแล้วคนเล่าเดินออกมาเพื่อวิพากษ์วิจารณ์หลี่เต๋อเฉวียน
คำพูดทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าหลี่เต๋อเฉวียนเป็นคนชั่วร้าย การปล่อยให้เขาดำรงตำแหน่งขุนนางอาจเป็นอันตรายต่อราชสำนักทั้งหมด และทำให้ราษฎรใช้ชีวิตลำบาก
บัดนี้มีขุนนางหลายคนอดเหลือบมองไปทางเสิ่นฉางเฟิงไม่ได้
แต่พวกเขาเห็นตาแก่สงบนิ่งเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน และสมาชิกตระกูลเสิ่นคนอื่นๆ ก็มีท่าทางไม่ต่างกัน
ทุกคนจึงรู้แน่ชัดว่าคราวนี้ตระกูลเสิ่นเลือกตัดหางปล่อยวัดหลี่เต๋อเฉวียนจริงๆ
ยิ่งไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลจี้จะไม่กล่าวโทษขุนนางตระกูลเสิ่นในการประชุมราชสำนักวันนี้
เมื่อสู้ไม่ได้จึงไม่น่าสนใจอีก
“จี้ชิง เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไร?” จักรพรรดินีมองไปที่จี้อู๋ฉางซึ่งยืนอยู่แถวหน้าด้วยท่าทางสบายๆ
จี้อู๋ฉางเดินออกจากกลุ่มขุนนางด้วยท่าทางสงบ
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าการที่หลี่เต๋อเฉวียนไปเที่ยวหอนางโลมแล้วทำร้ายผู้อื่นจนตายเพราะความอิจฉานั้นขัดต่อศีลธรรมและผิดกฎหมาย เขากำลังละเลยงานของราชสำนัก เขาเป็นขุนนางขั้นสูงของราชสำนัก เขาย่อมรู้กฎหมายแต่กลับฝ่าฝืนกฎหมายเสียเอง นี่ถือเป็นความผิดร้ายแรง ดังนั้นเขาสมควรถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางและเนรเทศไปยังฮวงโจวพ่ะย่ะค่ะ”
เนรเทศ!
มันฟังดูดีกว่าที่ขุนนางเหล่านั้นเคยคิดไว้ เดิมทีพวกเขาคิดว่าโทษนี้สมควรถูกตัดศีรษะ ถูกลงโทษเช่นการดึงพลังวิญญาณและเลาะกระดูก แต่การเนรเทศไปที่ฮวงโจวของจี้อู๋ฉางนั้นเบามาก
แต่อย่าคิดว่าจี้อู๋ฉางมีเจตนาดี
ใครก็ตามที่มีสายตาแหลมคมจะรู้ดีว่าไม่ต้องเอ่ยถึงดินแดนรกร้างเช่นฮวงโจว เพราะเมื่อใดก็ตามที่หลี่เต๋อเฉวียนออกจากเมืองหลวง ตระกูลจี้ไม่มีทางไว้ชีวิตเขาเด็ดขาด
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ต้าซางจะจัดองครักษ์ไว้ปกป้องขุนนางที่ถูกเนรเทศ
“ใต้เท้าท่านอื่นมีความเห็นแตกต่างจากนี้หรือไม่” จักรพรรดินีมองขุนนางคนอื่นๆ อีกครั้ง
บรรดาขุนนางต่างก้มหน้าลง เพราะไม่มีใครอยากทำให้ตระกูลจี้ขุ่นเคืองด้วยเรื่องของหลี่เต๋อเฉวียน และคนส่วนใหญ่จากตระกูลขุนนางขั้นสูงได้ก้าวมาถึงจุดนี้เพราะตระกูลจี้สนับสนุน พวกเขาจึงไม่ต้องการทำให้ตระกูลจี้อับอาย
เมื่อขุนนางทุกคนเงียบ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นต่างพ่ะย่ะค่ะ!”
บรรดาขุนนางอดหันไปมองตามทิศทางของเสียงไม่ได้
เวลานี้ใครกล้ารุกรานตระกูลจี้ ไปเอาความกล้ามาจากที่ใด!
โอ้ เป็นเขาเอง!
ไม่น่าแปลกใจแล้ว
เมื่อเห็นใบหน้าของซูอันจึงทำให้หลายคนแสดงสีหน้าเข้าใจออกมา
ความจริงแล้วมีไม่กี่คนที่ไม่กลัวตระกูลจี้ เพราะแม้ว่าตระกูลจี้จะเป็นตระกูลระดับสูงในเมืองหลวง แต่ก็มีไม่กี่ตระกูลที่แข็งแกร่งกว่า
ทว่าซูอันแตกต่างออกไป แม้จะไม่มีตระกูลขุนนางอยู่เบื้องหลัง แต่เขาอยู่ในใจของจักรพรรดินี
สถานะของเขาในหัวใจของจักรพรรดินีนั้นแตกต่างจากขุนนางคนอื่นๆ
ตราบใดที่เขาไม่สูญเสียความโปรดปรานของจักรพรรดินีไป ไม่ว่าตระกูลจี้จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่กล้าแตะต้องเขา
“โอ้ ใต้เท้าซูมีความคิดเห็นอย่างไร?”
ซูอันเดินออกมาในเวลาที่เหมาะสม
“ทูลฝ่าบาท อาชญากรรมส่วนใหญ่ที่ใต้เท้าจี้กล่าวมานั้นเป็นเรื่องเกินจริงทั้งหมด และในระหว่างที่หลี่เต๋อเฉวียนดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการ เขาทำงานอย่างมีสติและไม่เคยละเลยหน้าที่ ยิ่งไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะอิจฉาผู้ชายคนอื่น
เห็นได้ชัดว่าจี้ซื่อหลินเป็นผู้ก่อปัญหาตั้งแต่แรกและเขาเสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการป่วยหนัก มันไม่เกี่ยวกับหลี่เต๋อเฉวียนเลย ยิ่งกว่านั้นคือจี้ซื่อหลินยังพึ่งพาตระกูลจี้ทำให้หยิ่งผยองและรังแกผู้อื่นไปทั่ว หลังจากเขากระทำสิ่งเลวร้ายทั้งหมด หากตระกูลจี้ไม่ใช้อำนาจเพื่อช่วยจี้ซื่อหลิน เกรงว่าเขาจะถูกตัดหัวเสียบประจานไปนานแล้ว การที่เขาเสียชีวิตลงโดยกะทันหัน คงเพราะโลกโกรธแค้นและสวรรค์ขุ่นเคืองเกินทนพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของพวกขุนนางเป็นประกาย มีแตงลูกใหญ่ (เผือกเรื่องชาวบ้าน) ให้กินแล้ว!
ไม่เพียงช่วยให้หลี่เต๋อเฉวียนหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา แต่ยังยิงถล่มตระกูลจี้อีกด้วย
นี่คือเรื่องน่าสนุกและน่าดูมากจริงๆ
ท่านโหวซูช่างแข็งแกร่งและดีกว่าตระกูลเสิ่นจอมขี้ขลาดมากนัก
ใบหน้าของจี้อู๋ฉางยิ่งอยู่ยิ่งน่าเกลียด เหตุใดซูอันจึงกระโดดเข้ามาร่วมวง?
เพราะในยามปกติแล้วตระกูลจี้ไม่เคยรุกรานบุคคลผู้นี้!
“ที่ปรึกษาซู หากไม่มีหลักฐานโปรดอย่าพูดเหลวไหล”
“พูดเหลวไหลอย่างไร” ซูอันแค่นเสียงเย้ยหยัน “ตระกูลจี้ได้ก่อกรรมทำชั่วจนแม้แต่สวรรค์และมนุษย์ต่างพากันเคียดแค้น ท่านยังกลัวสิ่งที่คนอื่นจะพูดอีกหรือ?”
โดยไม่รอให้จี้อู๋ฉางได้พูด ซูอันก็พูดอีกครั้งว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากถวายฎีกาเกี่ยวกับตระกูลจี้เล่มนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“จากการสืบสวนของกระหม่อมพบว่าตระกูลจี้ละเมิดกฎของต้าซางและแอบสมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมารซึ่งตั้งใจจะโค่นล้มราชวงศ์ต้าซางของเราเสมอ ช่างเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ!”
สิ้นเสียง ทั่วทั้งราชสำนักก็ระเบิดออกทันที
นี่ไม่ใช่แค่การหาเรื่องตระกูลจี้ แต่เป็นการผลักดันตระกูลจี้ไปสู่ความตาย!
เป็นความจริงที่ว่าการสมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมารถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย หากไม่มีใครคาบข่าวไปรายงานต่อราชสำนักและถ้าจักรพรรดินีไม่สนใจเรื่องนี้ก็ถือว่าปล่อยผ่านได้
แต่เมื่อหยิบยกขึ้นมาพูดพร้อมประเด็นว่าตั้งใจจะโค่นล้มต้าซาง นั่นคือการเหยียบย่ำตระกูลจี้ให้จมดิน!
ดวงตาของจี้อู๋ฉางเบิกกว้าง ความสงบและเย่อหยิ่งของเขาหายไปจนสิ้น “เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย!”