ตอนที่ 15 เขาถือสิทธิอันใดมาดูหมิ่นนาง
ตอนที่ 15 เขาถือสิทธิอันใดมาดูหมิ่นนาง
“อืม” เสียงที่แผ่วเบากว่าปีกผีเสื้อเอ่ยขึ้น
ถ้าซูอันไม่มีสายตาแหลมคมและหูที่ดี เกรงว่าเขาจะไม่ได้ยิน
ตอนนี้หลี่จื่อซวงไม่อยากพูดและไม่รู้จะพูดอะไรด้วย
เพราะมารดาของนางเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก จึงไม่เคยมีใครสอนเรื่องประเภทนี้แก่นาง
หัวใจของนางเต้นแรงมาก รู้สึกเหมือนกำลังไปที่ลานประหารอย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้นมีสัมผัสที่ไม่อ่อนโยนใต้คางของนาง
ซูอันเชยคางของหลี่จื่อซวงขึ้นและมองขึ้นลงด้วยความละเอียด จากนั้นเขาขมวดคิ้วและแสดงสีหน้ารังเกียจออกมา
“เจ้าทำหน้าตาแบบนี้ให้ใครดู ทั้งสกปรกมอมแมม มันไม่น่าดูเลย”
ขณะที่เขาพูดก็ดึงมือกลับและสะบัดคล้ายกำลังไล่สิ่งสกปรกออก
ภาพนี้ทำลายเกราะป้องกันตัวที่หลี่จื่อซวงสร้างขึ้นมาทันที
นางเงยหน้าขึ้นและจ้องหน้าซูอันตาเขม็ง
ในที่สุดนางก็พร้อมแล้ว แต่นางยังถูกปฏิเสธ
แม้จะมีการเตือนตัวเองซ้ำๆ แต่นางไม่สามารถต้านทานคำดูแคลนได้ ถ้านางไม่ต้องการความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย นางคงจะเดินจากไปแล้วจริงๆ
แต่ถึงแม้นางจะไม่เดินออกไป ในใจยังรู้สึกอับอายยิ่งนัก
เขาถือสิทธิอันใดมาดูหมิ่นนาง
แค่มีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ แค่หล่อเหลาไปหน่อยและมีความสามารถดีกว่าไม่ใช่หรือ?
นอกจากนี้เขายังมี...
เฮอะ ก็ดูเหมือนจะค่อนข้างดีไปหมดนั่นแหละ
เมื่อมองนัยน์ตาจริงจังของซูอัน นางจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าตอนนี้นางดูน่าเกลียดจริงหรือ?
นางรีบยกมือขวาขึ้นปิดบังการมองเห็นของซูอันแล้วหันไปมองกระจกในห้อง
สตรีในกระจกดูเหนื่อยล้า ดวงตาแดงก่ำและผมเผ้ายุ่งเหยิง ยิ่งนางมองมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกแตกต่างมากขึ้นเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริง
แม้ว่าตอนนี้หลี่จื่อซวงจะดูซีดเซียว ทว่าเสน่ห์ของนางไม่ได้ลดลงเลย ตรงกันข้ามคือมีความงามในความไม่สมบูรณ์แบบราวกับชิ้นส่วนเครื่องลายครามที่แตกหัก
คำกล่าวที่ว่า ‘ดูละเอียดอ่อนกว่าไซซีถึงสามแต้ม’ นั่นไม่เกินจริง
แต่ซูอันยังมองนางด้วยความรังเกียจ “คุณหนูหลี่ เจ้าควรกลับไปอาบน้ำดีกว่า มิฉะนั้นข้าจะคิดว่าเจ้าไม่จริงใจ”
“หากเจ้าไม่จริงใจ เช่นนั้นพ่อของเจ้า...”
ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ ใบหน้าของหลี่จื่อซวงซีดลง
“หลีเอ๋อร์เข้ามาหน่อย”
หลังจากเรียกสาวน้อยเข้ามาแล้ว ซูอันก็ไม่สนใจว่าหลี่จื่อซวงยังนั่งอยู่ข้างเตียง
เขาคว้าไหล่ของเยี่ยหลีเอ๋อร์แล้วกดนางลงกับเตียง
“นี่ มีคนนอกอยู่ด้วยนะ~”
เยี่ยหลีเอ๋อร์ออกท่าทางเขินอาย
แต่แววตาของนางดูตื่นเต้น ปากพูดเหมือนจะปฏิเสธแต่ก็ยินดีตั้งรับ
ราวกับนี่คือการต่อสู้
“ช่างนางสิ ถ้านางอยากดูก็ดูไป”
……
ณ ชายแดนตงโจว
จู่ๆ เยี่ยเสวียนก็โผล่ขึ้นจากแม่น้ำโดยมีพืชน้ำสีเขียวชิ้นหนึ่งอยู่บนศีรษะ
หากมองจากระยะไกลช่างเหมือนกับเต่าที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
“มังกรอสูรสารเลว ถ้าไม่ใช่เพื่อไข่มุกนั้น ข้าไม่มีทางมีสภาพเช่นนี้เด็ดขาด”
เขายกมือกุมอก ตอนนี้กระดูกที่หน้าอกมีรอยบุบลงไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ฟู่~ข้าเกือบถูกมังกรอสูรนั่นจัดการแล้ว ทำให้ต้องสิ้นเปลืองยันต์เคลื่อนย้ายขนาดเล็กแผ่นสุดท้ายไป”
หลังจากที่เขาลงจากภูเขา เขาก็พบกับช่วงเวลาที่เลวร้าย ราวกับว่าความโชคดีในอดีตได้หมดลงแล้ว
“ทั้งหมดเป็นความผิดของซูอัน!” เขาก่นด่าออกมาอีกครั้งและความไม่พอใจที่มีต่อซูอันยิ่งทวีคูณ
ตั้งแต่เขาได้พบกับคนผู้นั้น โชคลาภของเขาก็เริ่มหมุนกลับ
“ข้ารู้สึกชัดเจนถึงความเป็นเจ้าของไข่มุกนั้น มันคือสิ่งสำคัญสำหรับข้า”
เขาดึงพืชน้ำบนศีรษะออกพลางกลอกตาใช้ความคิด “บางทีข้าอาจกระจายข่าวออกไปและให้ผู้ฝึกตนอื่นๆ ไปต่อสู้กับมังกรอสูรแทน จากนั้นข้าค่อยกอบโกยผลประโยชน์”
หลังจากถูกซูอันหลอกหลายครั้ง บุรุษผู้นี้จึงได้เรียนรู้การใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นแล้ว
“แต่ข้าไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลของไข่มุกได้ บางทีอาจจะใช้วิธี…” เขาลองไตร่ตรอง ในระหว่างนั้นมีแมลงปอสีเขียวตัวหนึ่งมาเกาะบนศีรษะของเขา ทำให้ศีรษะของเขามีสีเขียวเพิ่มมาอีก
“เอาตามนี้แหละ!”
……
กลับมาที่จวนอู่ซ่วนโหว
ในเวลานี้หลี่จื่อซวงตกอยู่ในภาวะกระสับกระส่ายโดยคิดไม่ตกว่าจะอยู่หรือไปดี
ซูอันยังไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดแก่นาง
หากนางออกไปก็กลัวว่าซูอันจะไม่ยอมช่วยอีก
ถ้ารอให้ซูอันพอใจ ตอนนั้นบิดาของนางคงจะจากไปแล้ว
นางจึงได้แต่นั่งในที่ของตนและพยายามไร้ตัวตนให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนคนทั้งสอง
นางรู้สึกเคอะเขินและอึดอัดใจ แต่ดูเหมือนว่าจะมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไปในส่วนลึกของหัวใจด้วย
ตะวันตกดิน จันทราลอยเด่น
ฟ้ามืดแล้วจริงๆ
ดวงตาของหลี่จื่อซวงยิ่งแดงก่ำมากขึ้น
ช่วยรับปากมาหน่อยว่าจะช่วยเหลือข้า หยุดทรมานคนแบบนี้ได้แล้ว
เวลานี้พลังวิญญาณในร่างกายของเยี่ยหลีเอ๋อร์มาถึงจุดสูงสุด
ลมหายใจของนางเริ่มไม่เป็นจังหวะ
“ข้าใกล้ทะลวงแล้ว!”
อยู่ๆ เยี่ยหลีเอ๋อร์ก็ตะโกนร้องด้วยน้ำเสียงหวานล้ำและรัศมีพลังของนางแผ่กระจายออกมา มันถึงจุดสูงสุดด้วยความรู้สึกของพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้น
เกิดสภาวะล่องลอยตามมา
ขอบเขตก่อกำเนิดบรรลุขั้นสูงสุด!
เยี่ยหลีเอ๋อร์ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการทะลวงตั้งแต่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นแรกมาจนถึงขั้นสูงสุดและมีรากฐานมั่นคง
เหลือเพียงก้าวเดียวก็จะกระโดดขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่
ความรวดเร็วนี้อยู่ห่างไกลจากความสามารถของอัจฉริยะทั่วไปชนิดไม่เห็นฝุ่น
“หืม พี่สาวยังอยู่อีกหรือ?”
เมื่อเห็นหลี่จื่อซวงยังนั่งอยู่ข้างเตียง เยี่ยหลีเอ๋อร์ซึ่งใช้นิ้วถูบั้นท้ายของตนเบาๆ จึงอดประหลาดใจไม่ได้
“อืม~” ใบหน้าของหลี่จื่อซวงแดงเรื่อด้วยความเขินอาย และในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกพูดไม่ออก
ข้าก็ตัวไม่เล็ก แต่เจ้ายังมองไม่เห็น เกรงว่าในสายตาของเจ้าคงมีเพียงพี่ซูอันกระมัง?
ตัณหาจัดเกินไปแล้ว!
ถึงขั้นไม่สนใจสายตาของข้า
ซูอันก็นึกไม่ถึงว่าหลี่จื่อซวงจะนั่งชมการถ่ายทอดสดจนจบ เพราะเดิมทีเขาคิดว่านางจะจากไปด้วยความอับอายกลางคัน
แต่ดูเหมือนว่าคุณหนูหลี่ยังมีคุณสมบัติที่จะพัฒนาได้!
“เจ้าควรกลับไปก่อน แล้วข้าจะจัดการเรื่องหลี่เต๋อเฉวียนให้”
“ส่วนค่าตอบแทนจากเจ้านั้น ข้าจะเรียกเก็บเมื่อมีเวลา”
ทันทีที่คำพูดนี้จบลง หลี่จื่อซวงจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เดิมทีนางกลัวว่าซูอันจะไม่ยอมรับ
กระนั้นนางยังรู้สึกหดหู่โดยอธิบายไม่ถูกเช่นกัน จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเสน่ห์ของนางไม่มากเท่าของเยี่ยหลีเอ๋อร์และนางไม่น่ามองแม้สักนิด
คงเพราะว่านางอยู่ในสภาพโทรมๆ ไม่ใช่เพราะนางด้อยกว่าเยี่ยหลีเอ๋อร์จริงๆ
เมื่อก้มมองภูเขาหิมะสองลูกของตนซึ่งเห็นได้ชัดว่าใหญ่กว่าของเยี่ยหลีเอ๋อร์ จึงทำให้หลี่จื่อซวงรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
นางหวังว่าในครั้งต่อไปจะทำให้เขาหลงใหลจนตาย
เมื่อมีความคิดนี้ ทันใดนั้นใบหน้าของหลี่จื่อซวงยิ่งแดงขึ้น
เหลวไหลสิ้นดี! หลี่จื่อซวงเจ้าคิดบ้าๆ เกินไปแล้ว
นางและซูอันมีความสัมพันธ์เชิงธุรกิจต่อกันเท่านั้น จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้หญิงของเขาได้อย่างไร
นางลุกขึ้นยืนด้วยความเร่งรีบจึงได้ตระหนักว่ามีความชื้นมากขึ้นทั่วร่างกาย เพราะนางเผลอร่ายพลังเวทแห่งน้ำโดยไม่รู้ตัว
ยิ่งทำให้นางอยากหนีจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศสีชมพูแห่งนี้เหลือเกิน
“ขอบคุณท่านโหวซู ข้าขอตัวก่อน” นางทำความเคารพห้วนๆ แล้วหันหลังจะจากไป
“ช้าก่อน” ซูอันหยุดนางไว้
“หากเจ้าไม่รู้จะพูดขอบคุณอย่างไร ควรต้องแสดงสีหน้าหน่อยไม่ใช่หรือ?”
“ฮะ?”
ปากเล็กๆ ของหลี่จื่อซวงอ้าออกเล็กน้อย
นี่คือหลักเกณฑ์แบบใด