ตอนที่ 51 ยาเสริมลมปราณ
ตอนที่ 51 ยาเสริมลมปราณ
“ศิษย์น้องหญิงซูทุ่มเทช่วยมันเกินไปแล้ว! ถึงขั้นรวบรวมสมุนไพรวิญญาณหายากระดับนี้มา! นี่มันไม่ต่างจากการโกง! ไอ้หนู เจ้าไม่อาจใช้สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ปรุงยาในการแข่งขันที่ยุติธรรมได้!”
ใจของเซี่ยปินเวลานี้ทั้งริษยาและเกลียดชัง เพราะสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้หาได้ยากจนไม่ทราบว่าจะยากกว่านี้ได้อย่างไร คิดหาสักหนึ่งชนิดในตลาดยังแทบเป็นไปไม่ได้ นับประสาอะไรกับรวบรวมมาจนครบถ้วนกระบวนการปรุงยา
แต่หากว่าเป็นซูลั่ว ก็เชื่อได้ว่าคงพอจะมีหนทางได้รับมาอยู่บ้าง
“โกง?!”
ซูลั่วเกือบหลุดหัวเราะเพราะคำใส่ร้ายอันไร้ยางอายเหล่านี้
“ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้มอบให้เขาด้วยเช่นกัน นอกจากนี้กฎการแข่งขันกล่าวหรือว่าห้ามใช้สมุนไพรวิญญาณคุณภาพสูงล้ำ?”
นางเองยังนึกสงสัยด้วยซ้ำว่าจี้เตี๋ยไปหาสมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่าเหล่านี้มาจากที่ใดมากมาย และขอเพียงนำพวกมันไปใช้ปรุงยา ผลลัพธ์ย่อมเป็นอะไรที่คาดเดาได้ ว่ายาขั้นกลางระดับหนึ่งทั่วไปคงไม่มีทางเทียบเปรียบ
“เหอะ ก็เพียงแค่ศิษย์น้องหญิงซูไม่ยอมรับออกมา! แต่ไม่ว่าด้วยอะไร การแข่งขันนี้คือการชี้วัดฝีมือของนักปรุงยา พวกเราสองคนจะปรุงยาชนิดเดียวกัน ดังนั้นก็ต้องตัดสินกันด้วยฝีมือ!” เซี่ยปินยังคงยืนกราน ทั้งยังไม่รู้สึกว่าการกระทำของตนเองไร้ยางอายแต่อย่างใด
เขากำลังพยายามสะกดข่มความรู้สึกอยากเอาชนะของตนเอง เพราะหากว่าต้องมาพ่ายแพ้จี้เตี๋ยที่นี่ ไม่เท่ากับต้องกลายเป็นตัวตลกหรืออย่างไร?
“เจ้ายังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่…” พฤติกรรมต่ำช้าที่ขอเปลี่ยนกฎการแข่งขันอย่างกะทันหันซึ่งหน้า มันเป็นเหตุให้ซูลั่วเผยประกายความโกรธเกรี้ยวในดวงตาออกมา ขณะนางกำลังจะสบถ กลับได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ศิษย์พี่หญิงซู ไม่เป็นไรขอรับ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าพูดก็ปล่อยให้ทำไป และเมื่อครู่กล่าวว่าต้องการแข่งขันปรุงยาชนิดเดียวกันใช่หรือไม่? ได้ ถ้าอย่างนั้นต้องการปรุงยาชนิดใด จงเอ่ยนามของยานั้นออกมา!”
ก่อนซูลั่วจะทันตอบอะไร เซี่ยปินกลับเป็นฝ่ายชิงพูดแทรกขึ้นก่อน “ยาเสริมลมปราณ! ปรุงยาชนิดเดียวกันเพื่อดูว่าใครปรุงได้เร็วและมีคุณภาพที่ดีกว่ากัน!”
ยาเสริมลมปราณถือว่าเป็นยาขั้นกลางระดับหนึ่ง ภายหลังทานเข้าไปแล้วผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณระดับกลางจะฟื้นฟูพลังวิญญาณที่ใช้งานไปได้ในระยะเวลาชั่วครู่
หากเทียบเปรียบกับยาขั้นกลางระดับหนึ่งทั้งหมดแล้ว ถือได้ว่ามันเป็นหนึ่งในตัวยาที่ปรุงยากที่สุด
“ข้าไม่มีวัตถุดิบสำหรับปรุงยาดังกล่าว ศิษย์พี่หญิงซูมีหรือไม่ขอรับ?”
จี้เตี๋ยหันไปมองซูลั่ว และพอเห็นสายตาที่มองมาเป็นการร้องขอ เด็กสาวจึงแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะหยุดถลึงตาใส่เซี่ยปินที่แสดงพฤติกรรมไร้ยางอาย นางนำสมุนไพรวิญญาณหลายสิบชนิดออกมาจากถุงมิติ สุดท้ายจึงส่งให้จี้เตี๋ยกับมือตัวเอง
“ยกให้เจ้า!”
“ขอบคุณศิษย์พี่หญิงซูขอรับ” จี้เตี๋ยเอ่ยคำขอบคุณจากใจจริง ขณะเดียวกันก็ส่งถุงมิติให้กับนางเพื่อเป็นการฝากเอาไว้ชั่วคราว สุดท้ายจึงเดินเข้าไปยังห้องหิน
“รอเดี๋ยว” ตอนนี้เองที่เซี่ยปินร้องทักขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอให้ผู้อาวุโสตรวจสอบว่ามีอะไรหมกเม็ดอีกหรือไม่ขอรับ”
“วางใจ เมื่อครู่ข้าใช้พลังจิตตรวจสอบแล้ว ไม่มีอะไรดังที่เจ้าว่า” ผู้อาวุโสเถียนเองก็นึกรังเกียจพฤติกรรมเมื่อครู่ของเซี่ยปิน เวลานี้น้ำเสียงจึงไม่แสดงออกถึงความสุภาพอีกต่อไป
พบเห็นเช่นนี้เซี่ยปินจึงไม่กล่าวอะไรอื่น สุดท้ายจึงนำเอาหม้อปรุงยาและวัตถุดิบทั้งหลายออกมา ก่อนจะส่งเสียงฮึมฮัมขึ้นจมูกและก้าวเดินเข้าไปด้านในห้องหิน
จี้เตี๋ยมองอีกฝ่าย สุดท้ายจึงหันไปพยักหน้าให้ซูลั่วด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาเองก็เข้าห้องหินอีกห้องไปพร้อมหม้อปรุงยาและสมุนไพรวิญญาณเช่นเดียวกัน
ถัดจากนั้นประตูหินจึงปิดลงเสียงดัง นับจากนี้หากมันจะเปิดอีกครั้งก็ต้องเปิดจากด้านใน
จี้เตี๋ยยืนด้านหลังประตูก่อนจะสำรวจมองรอบด้าน ห้องนี้เป็นห้องนอนของซูลั่วจริง เพราะภายในห้องยังมีกลิ่นหอมอ่อนจางเหมือนที่ติดตัวของเด็กสาว
เตียงหินถูกจัดวางเอาไว้มุมหนึ่งชิดกำแพง ข้างกันนั้นเป็นโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกระจกทองแดงบานหนึ่ง มันถือเป็นวัตถุหนึ่งเดียวภายในห้องที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยหิน
“ห้องนอนของศิษย์พี่หญิงซู…”
พื้นที่ภายในค่อนข้างกว้าง คาดว่าสามารถจุคนได้ราวยี่สิบถึงสามสิบคน แน่นอนว่าจี้เตี๋ยไม่คิดรื้อค้น เขาเพียงแค่หาที่ว่างเพื่อนั่งขัดสมาธิ สุดท้ายจึงเรียกหม้อทองแดงออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะส่งสมุนไพรวิญญาณทั้งหลายเข้าไปทำการยกระดับ
เซี่ยปินมีความระแวดระวังสูงก็จริง แต่คงไม่นึกคิดว่าจี้เตี๋ยจะสามารถยกระดับสมุนไพรวิญญาณด้วยตนเองได้!
ตอนนี้ต่อให้ความเร็วการปรุงยาของอีกฝ่ายเร็วกว่าระดับหนึ่ง แต่ตราบเท่าที่ไม่ได้เว้นช่วงห่างมากจนเกินไป อย่างไรชัยชนะก็อยู่ในกำมือของเขา!
“มีสมุนไพรวิญญาณแค่หนึ่งชุด มีโอกาสแค่หนึ่งครั้ง!”
แม้ชัยชนะแทบอยู่ในกำมือก็ไม่ใช่ว่าจะประมาทได้ จี้เตี๋ยพยายามสะกดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายก่อนจะยกมือขึ้นและปรบมือเล็กน้อย หม้อปรุงยาสีดำจึงลอยล่องที่ตรงหน้า ถัดจากนั้นนาคาอัคคีจึงทะยานออกไปจุดเพลิงส่องสว่างร้อนแรง
อุณหภูมิรอบด้านเริ่มพุ่งตัวสูง เพียงแต่จี้เตี๋ยยังคงสีหน้าสงบนิ่ง เพราะภายหลังการฝึกซ้อมหลายต่อหลายวัน เขาเริ่มมีความมั่นใจในการปรุงยาขั้นกลางระดับที่หนึ่งไม่ใช่น้อย
ขณะอุณหภูมิภายในหม้อพุ่งสูงถึงขีดสุด เขาจึงเริ่มนำสมุนไพรวิญญาณใส่ลงหม้ออย่างเชี่ยวชาญตามลำดับ ระหว่างนั้นยังคอยใช้พลังจิตตรวจสอบความเคลื่อนไหวภายในหม้อ พลางใช้พลังวิญญาณควบคุมและคัดแยกเอาส่วนที่ไม่บริสุทธิ์ออกมาจากสมุนไพรวิญญาณ
เวลาผันผ่าน อุณหภูมิรอบด้านเริ่มสูงมากขึ้น จี้เตี๋ยยังคงนั่งขัดสมาธิตั้งใจแน่วแน่ สายตาจับจ้องมองยังหม้อปรุงยาที่อยู่ตรงหน้า
แม้ว่ามีเหงื่อไหลหลั่งลงจากหน้าผากแทบเข้าตาจนทำให้รู้สึกคันยิบยับ เขาก็ยังเลือกไม่เสียสมาธิไปกับการเช็ดเหงื่อแม้แต่น้อย
หลายวันที่ผ่านมาเขาปรุงยาขั้นกลางระดับที่หนึ่งมาพอสมควร เพียงแต่ไม่เคยมีครั้งใดจะชวนให้รู้สึกว้าวุ่นใจเท่าครั้งนี้!
เนื่องจากมีสมุนไพรวิญญาณเพียงแค่หนึ่งชุด เขาต้องทำทุกกระบวนการไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด!
ภายหลังเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ สายตาของจี้เตี๋ยแทบปรากฏเส้นเลือดขึ้นมาให้เห็น เพราะเขาเอาแต่จับจ้องมองยังหม้อปรุงยาตรงหน้า ราวกับไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดใดขึ้น กระทั่งกัดฟันด้วยความตึงเครียดขณะตรวจสอบทุกความเคลื่อนไหวภายในหม้อปรุงยาด้วยพลังจิต ขณะเดียวกันก็ต้องคอยควบคุมดึงเอาความไม่บริสุทธิ์ของตัวสมุนไพรวิญญาณออกมาจนหยดสุดท้าย
สถานการณ์ภายในห้องหินปัจจุบันจึงตึงเครียดอย่างถึงที่สุด
เด็กสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง เวลานี้กำลังนั่งบนชุดเก้าอี้หินขณะในมือมีถ้วยชาทำจากหิน แม้นางจิบประหนึ่งสบายกายสบายใจ แต่บ่อยครั้งที่สายตาจะคอยหันมองยังห้องหิน
จนตอนนี้เองที่เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านข้าง
“เด็กน้อย เจ้าดื่มไปแปดถ้วยแล้ว… ยังไม่อิ่มอีกหรือ…”
“อา… วันนี้ข้ารู้สึกกระหายเจ้าค่ะ” ซูลั่วชะงักงันไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงวางถ้วยลงด้วยท่าทีตะกุกตะกัก ขณะเดียวกันก็อธิบายตอบด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา
พฤติกรรมของนางแทบแสดงออกให้เห็น ว่ากำลังกังวลใจมากเพียงใด
“กระหายขนาดนั้นเลยหรือ?” ชายชราที่คอยมองอยู่ตลอดแต่ไม่ได้กล่าวอะไร เวลานี้จึงแค่ลูบหนวดเคราพลางถาม
“ใช่เจ้าค่ะ” ซูลั่วเกิดรู้สึกผิดที่อธิบายอย่างไม่ตรงไปตรงมา “เขา… เป็นคนที่ข้าสอนเจ้าค่ะ…”
“ข้าก็ไม่ได้ถามถึงความสัมพันธ์ที่เขามีกับเจ้า…”
“อ๋า” ซูลั่วที่หันจากห้องหินมามองข้างกายเป็นการตอบสนอง ตอนนี้เองที่ได้เห็นท่าทีหยอกเย้าของผู้อาวุโสเถียน นางจึงตระหนักได้ว่าโดนหลอกให้เปิดเผยความกระวนกระวายใจ เวลานี้จึงบ่นออกมา “ผู้อาวุโสเถียน อย่าได้แกล้งข้าอีกเลยเจ้าค่ะ”
ชายชรามองเด็กสาวที่ขวยเขินพลางยิ้มตอบ “เด็กน้อยของยอดเขาโอสถเราก็มีคนที่ชอบเหมือนกันงั้นสินะ”
“มะ ไม่ใช่นะเจ้าคะ ขอผู้อาวุโสอย่าได้พูดอะไรไม่มีมูลเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ หากว่ามีใครได้ยินเข้า…” ใบหน้าของเด็กสาวพลันแดงก่ำ กระทั่งหลับตาลงไม่กล้ามองตอบ ถึงขนาดแทบคิดอยากแทรกแผ่นดินหนีเลยด้วยซ้ำ
“กลัวใครได้ยินกันเล่า?” ชายชราแกล้งถาม “ผู้ใดมีสายตาที่ไม่ได้มืดบอดก็คงพูดแบบเดียวกับข้า”
เด็กสาวฮึมฮัมในคอเป็นการตอบรับและเลือกที่จะหนีจากการถูกโดนหยอกล้อ แต่ตอนนี้เองที่ถ้วยหินบนโต๊ะเริ่มเกิดการสั่นไหว
เสียงทุ้มต่ำเริ่มดังขึ้นให้ได้ยิน ประตูหินของห้องหินภายในโถงถ้ำถูกเปิดออกบานหนึ่งแล้ว!
มีคนปรุงยาเสร็จแล้ว!
แต่พอได้เห็นว่าเป็นประตูห้องหินบานใด ซูลั่วอดไม่ได้จนต้องขมวดคิ้ว
เพราะมันเป็นประตูห้องปรุงยาของนาง!
ไม่ช้าภายหลังประตูเปิดออกเรียบร้อย เซี่ยปินจึงยืนที่ตรงหน้าประตูพร้อมกวาดสายตามอง สุดท้ายพอได้เห็นว่าประตูของห้องหินอีกห้องยังคงปิดอยู่จึงเอ่ยคำ “ศิษย์น้องหญิงซู ข้าบอกแล้วว่าไอ้เด็กนั่นไม่มีวันเอาชนะข้าได้!”