33
ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ทำได้เพียงโอบกอดร่างของเกวนด้วยความสิ้นหวัง หวังว่าเธอจะหายใจได้ และเรียกชื่อเธอซ้ำๆ
"เกวน!"
"เกวน!"
"หายใจ หายใจ!"
"ตื่น ตื่น!"
"อย่าทิ้งฉันไป เกวน อย่าทำแบบนี้ ขอร้องเถอะ..."
ภาพตัดจบลงตรงนี้
ทุกคนที่ดูสิ่งนี้จบ ต่างก็รู้สึกหนักใจอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนธรรมดาก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสายลับชั้นยอด เศรษฐีระดับแนวหน้า หรือซูเปอร์ฮีโร่ แต่ในแก่นแท้แล้ว ภายใต้สถานะเหล่านี้ พวกเขาก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
แน่นอนว่าพวกเขาก็มีจิตใจของคนธรรมดา พวกเขายังรู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเกวน สเตซี่ยิ่งเป็นเช่นนั้น สำหรับเธอ ครั้งแรกที่ได้เห็นเพื่อนร่วมโลกคู่ขนานของตัวเอง มันเป็นความรู้สึกแบบนี้เหรอ
นี่คือชะตากรรมของตัวเธอเองที่หลินเฟิงเล่าไว้ในไดอารี่เหรอ
เธอจะต้องตายที่หอระฆังเหรอ
เธอจะต้องถูกปีเตอร์ ปาร์คเกอร์คนนั้นลากไปด้วยเหรอ
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกว่าต้องพึ่งพาตัวเอง เธอไม่ใช่เกวนในโลกคู่ขนานที่อ่อนแอคนนั้น แม้ว่าจะต้องตาย เธอก็จะไม่ยอมตายแบบนี้เด็ดขาด
เธออ่านต่ออีกสักพัก เหมือนว่าไดอารี่ของหลินเฟิงในครั้งนี้จะจบลงแล้ว เธอจึงเก็บไดอารี่ จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่ปกติมาเปลี่ยน แล้วจึงลงลิฟต์จากตึกสูงนั้นไปอย่างใจเย็น
ส่วนเจ้าหน้าที่ของหน่วย S.H.I.E.L.D. ก็ทยอยกันแยกย้ายกันไป ข้อมูลที่บันทึกไว้ในไดอารี่ครั้งนี้มีมากมายเพียงพอให้พวกเขาใช้เวลาประมวลผลได้อีกนาน
ส่วนสำหรับหลินเฟิง นี่เป็นเพียงการบันทึกไดอารี่ประจำวันตามปกติของเขา
ในขณะที่ตลาดยังคงตกใจกับการประกาศปิดแผนกอาวุธยุทโธปกรณ์ของโทนี่ สตาร์ค หุ้นของบริษัท สตาร์กอินดัสตรีส์ ก็ร่วงลงอย่างหนัก จนราคาลดลงไปถึงหนึ่งในสิบของราคาเดิม หลินเฟิงจึงใช้โอกาสนี้เข้าซื้อหุ้นจำนวนมาก
ไม่กี่วันต่อมา โทนี่ สตาร์คก็ประกาศต่อสาธารณชนว่าเขาได้พัฒนาเทคโนโลยีฟิวชันเย็นซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่เชื่อถือได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เมื่อข่าวนี้แพร่สะพาดออกไป หุ้นของบริษัท สตาร์กอินดัสตรีส์ ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กล่าวได้ว่าในทันทีนั้น โทนี่ สตาร์คก็กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งโลก
เพราะก่อนหน้านี้ แม้ว่าบริษัท สตาร์กอินดัสตรีส์ จะมีขนาดใหญ่ แต่ก็เป็นเพียงบริษัทผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เท่านั้น และบริษัทผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นมีอยู่มากมายทั่วโลก
แต่เทคโนโลยีฟิวชันนิวเคลียร์ จนถึงปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดประกาศว่าตนเองได้พิชิตมันได้ ซึ่งก็พอจะคาดเดาได้ว่าความยากลำบากนั้นมีมากเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อเสนอพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ของเขาก็ได้รับการต้อนรับจากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลก
ในเวลาอันสั้น หุ้นที่ร่วงลงไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นตัวขึ้นมาในทันที และยังพุ่งสูงขึ้นอีกเท่าตัวจากเดิม
สำหรับหลินเฟิงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก เงินสองล้านดอลลาร์ที่เขาลงทุนไปนั้นกลายเป็นสี่ร้อยล้านดอลลาร์ในทันที ซึ่งสูงกว่าที่ครอบครัวของเขาสะสมมาหลายสิบปีสองชั่วอายุคนในทันที กลายเป็นอิสรภาพทางการเงิน
และนี่ก็ยังไม่ใช่ขีดจำกัด เมื่อเวลาผ่านไป บริษัท สตาร์กอินดัสตรีส์ ก็จะยิ่งเติบโตมากขึ้น และหุ้นของหลินเฟิงก็จะยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้นตามไปด้วย
หลินเฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ โลกนี้ช่างทำเงินได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน
ถ้าเขาทำธุรกิจจริงจัง เขาจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะเพิ่มเงินสองล้านดอลลาร์ให้กลายเป็นสี่ร้อยล้านดอลลาร์ แถมยังเป็นเงินสดล้วนอีกด้วย
เศรษฐีหลายๆ คนที่มีทรัพย์สินสิบหรือยี่สิบล้านดอลลาร์ ยังไม่สามารถนำเงินออกมาได้มากขนาดนี้
มันเป็นกำไรมหาศาล!
เทศกาลไหว้พระจันทร์ พระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่บนท้องฟ้าสูง โปรยแสงจันทร์อันเย็นยะเยือกสู่พื้นโลก
หลินเฟิงเพิ่งออกมาจากบ้านของพ่อแม่ของเจ้าของร่างเดิมหลังจากที่เพิ่งเข้าร่วมงานรวมญาติในเทศกาลไหว้พระจันทร์ หลังจากผ่านไปหลายเดือน เขาก็เริ่มชินกับการใช้ชีวิตในโลกนี้แล้ว
เดิมทีพ่อแม่ของเจ้าของร่างเดิมยังกังวลที่เห็นหลินเฟิงไม่ทำอะไรเลย และอยากให้เขากลับมาทำงานที่บ้าน เพราะอย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นเศรษฐีรุ่นที่สามที่มีทรัพย์สินหลายพันล้านดอลลาร์
แต่เมื่อหลินเฟิงแสดงให้พวกเขาเห็นเงินที่เขาได้จากการเล่นหุ้น พวกเขาก็รู้ว่าลูกชายของตนเก่งกาจแล้ว
หลินเฟิงบอกเพียงว่าช่วงนี้เขาเรียนรู้การเล่นหุ้นในตลาดหุ้น และค่อยๆ สะสมทุน จากนั้นก็ใช้จังหวะที่หุ้นของบริษัท สตาร์กอินดัสตรีส์ ตกต่ำอย่างหนักเข้าซื้อหุ้น
ทรัพย์สินในเวลานี้ของเขามากกว่าที่ครอบครัวสะสมมาหลายสิบปีแล้ว!
ครอบครัวของเขาก็ดีใจกับหลินเฟิง และไม่ได้พูดถึงเรื่องให้เขากลับมาทำงานที่บ้านอีกแล้ว เพราะลูกชายของพวกเขาประสบความสำเร็จมากในโลกภายนอก
พวกเขาคิดเพียงว่าหากวันหนึ่งหลินเฟิงล้มเหลว ครอบครัวก็ยังมีมรดกให้เขาสืบทอด
ส่วนหลินเฟิงก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง เพราะแท้จริงแล้วลูกชายของพวกเขาได้จากไปแล้ว และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขานี้เป็นเพียงวิญญาณจากจักรวาลอื่น
ในเวลานี้ หลินเฟิงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงครอบครัวของตัวเอง ไม่รู้ว่าพวกเขาในจักรวาลอื่นเป็นอย่างไรบ้าง
"บางทีฉันอาจจะมีโอกาสได้กลับไปไหมนะ เช่น เมื่อฉันไปถึงระดับจักรวาล หรือสุ่มได้ไอเท็มสุดเจ๋งอะไรสักอย่าง!" หลินเฟิงพูดกับตัวเองในใจ
จริงๆ แล้ว การวิเคราะห์ทางจิตวิทยาของโทนี่ สตาร์คและนิค ฟิวรี่ที่มีต่อหลินเฟิงนั้นไม่ผิดเลย เพราะหลินเฟิงไม่มีความรู้สึกผูกพันกับอเมริกาใบนี้ หรือแม้แต่กับโลกใบนี้ หรือจักรวาลใบนี้เลย
เพราะช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการสร้างค่านิยมในชีวิตของเขาเกิดขึ้นในจักรวาลอื่น พ่อแม่ ญาติ และเพื่อนที่แท้จริงของเขาก็อยู่ในจักรวาลอื่น ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจึงไม่สามารถมีความรู้สึกผูกพันกับจักรวาลนี้ได้มากนัก
ในใจของเขายังคงมีความคาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้กลับไปยังจักรวาลของตัวเอง
ตราบใดที่ยังมีความมุ่งมั่น เขียนไดอารี่ทุกวัน ทุกอย่างก็เป็นไปได้
หลังจากที่เศร้าสลดใจแล้ว หลินเฟิงก็เดินเท้าเปล่าไปตามถนนในเมือง นิวยอร์ก ยามค่ำคืน
ต้องบอกว่าถนนใน นิวยอร์ก ยามค่ำคืนนั้นไม่ใช่สถานที่ดีๆ เลย หลังจากออกจากชุมชนหรูของครอบครัวแล้ว เขาก็มาถึงชุมชนแออัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีคนจรจัดมากมาย หลินเฟิงได้เห็นการเกิดขึ้นของคดีปล้นต่อหน้าต่อตาเขา
แม้แต่คนผิวสีบางคนก็เห็นหลินเฟิงที่เป็นชาวเอเชียแล้วคิดว่าน่าจะเป็นเหยื่อที่ง่าย จึงตรงเข้ามาปล้น แต่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสูหลินเฟิงเลย หลินเฟิงบิดมือของพวกเขาตามปกติ มือขวาของอาชญากรผิวสีเหล่านี้ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง กระดูกแตกละเอียด จนไม่มีทางที่จะฟื้นฟูได้อีกแล้ว จากนั้นก็เหยียบขาข้างหนึ่งของพวกเขา ทำลายความเป็นไปได้ที่จะออกไปก่ออาชญากรรมอีกในอนาคต
หลินเฟิงไม่เคยปราณีอาชญากรเหล่านี้เลย
แต่ก่อนที่เขาจะคิดอะไรต่อ ก็มีคดีปล้นตู้ ATM ของธนาคารเกิดขึ้นที่ห่างออกไป กลุ่มคนผิวสีใช้ระเบิด C4 ระเบิดตู้ ATM และกำลังจะหยิบเงินหนี แต่ก็มีร่างที่สวมชุดเกราะโบราณตกลงมาจากฟ้า แล้วจัดการพวกเขาภายในไม่กี่วินาที จากนั้นก็มัดพวกเขาเข้าด้วยกันและรอให้ตำรวจมาถึง
ดวงตาของหลินเฟิงหรี่ลงเล็กน้อย วันเดอร์วูแมน