บทที่ 52 นับถอยหลัง (2)
[แฟนเพจBamแปลNiyay:ลงแบบราคาถูกโคตรในmy-novel(ลงช้ากว่าThai-novel100ตอน)กับthai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นนอกจากสองเว็บนี้คือไม่ใช่ผมนะ ถ้าเจอคนอ่านก็อปดันเยอะกว่าก็ท้อเป็นนะครับ]
[ถ้าอ่านฟรีแบบเถื่อนไม่ว่าจะได้มายังไงนั้น ผมไม่ว่าเลยครับ และต่อให้ไม่มีคนอ่าน ผมก็ยังจะแปลต่อจนจบด้วย แต่ถ้าจะจ่ายเงินให้เว็บหรือคนที่copyไปขายอีกที คุณโคตรแย่เลยครับ]
[หลังแปลจบจะมีการแก้คำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น ดังนั้นถ้าคุณอ่านแบบเถื่อน ก็เชิญเลยครับ เพราะมันไม่มีอัพเดทให้หรอก]
บทที่ 52 นับถอยหลัง (2)
*****
ขอเปลี่ยนจากบริษัทภาพยนตร์ออลริม→เป็น บริษัทฮาร์โมนีฟิล์ม นะครับ
*****
ผู้สื่อข่าว 200 คนหรือมากกว่านั้นที่งานแถลงข่าวการประกาศการผลิต ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล' ต่างขยับนิ้วของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง เพราะคำประกาษกร้าวที่แสนเชื่อมั่นของนักเขียนพัคอึนมี
“นักแสดงคนนั้นจะกลายเป็นผู้ที่ปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพราะเขาจะส่งมอบการแสดงที่ไม่มีนักแสดงคนไหนทำได้”
- แต่ก แต่ก แต่ก แต่ก!
- แชะ แชะ แชะ!
นักข่าวครึ่งหนึ่งถ่ายรูปและอีกครึ่งหนึ่งพิมพ์ลงบนโน๊ตบุ๊ค
บรรยากาศเริ่มร้อนระอุ ดวงตาของผู้สื่อข่าวเปล่งประกายราวกับไฮยีน่า ในขณะนั้นเอง PD ซงมันวูที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวแรกและกำลังลูบเคราแพะของเขา ก็ได้สะกิดไหล่ของนักเขียนพัคอึนมีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
“เราไม่ได้ตกลงว่าจะพูดออกไปแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ?”
นักเขียนพัคอึนมีที่มัดผมที่ดัดยาวของเธอ ได้ตอบอย่างเงียบ ๆ ขณะที่มองไปที่นักข่าว
"ไม่รู้สิ ฉันแค่พูดไหลไปตามกระแสและมันก็กลายเป็นแบบนี้จนได้”
“ไม่เอาน่า คุณตั้งใจทำแบบนั้นแต่แรกใช่ไหม? เพื่อล่อนักข่าวสินะ? โยนกระดูกล่อให้พวกเขาและหวังว่าพวกเขาจะงับเหยื่อ”
“อืม ที่จริงฉันก็คาดเดาไว้แล้วว่ามันจะมีคำถามอะไรแบบนี้เกิดขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะถามจริง ๆ”
“ฮ่าฮ่า ช่างเถอะ ยังไงมันก็ดูได้ผลดีใช่ไหมล่ะ? ดูดวงตาของไฮยีน่าพวกนี้สิ พวกเขาดูเหมือนพร้อมที่จะกระโจนใส่ทุกข่าวทันทีเลย ต่อให้จะจริงหรือเท็จก็ไม่สนใจแล้วมั้ง”
พัคอึนมียักไหล่
“คุณคิดว่าพวกเขาสนใจความจริงเหรอ? ดูก็รู้ว่าพวกเขาจะเอาสิ่งที่ฉันพูดไปเสริมเติมแต่งเอง จนมันแทบไม่ใช่คำพูดของฉัน เพราะงั้นมันไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะเล่ารือเรื่อง ‘รองหัวหน้าพัค’ มากแค่ไหน ถูกต้องไหมล่ะคะ?”
PD ซงมันวูยิ้มกว้าง ราวกับจะตอบว่าเห็นด้วย
"ใช่เลยครับ ไม่ว่าพวกเขาจะเขียนข่าวใหญ่โตแค่ไหน มันก็คงไม่อาจเทียบกับ ‘รองหัวหน้าพัค’ ได้หรอก ตัวเขาน่ะเกิดความคาดหมายไปไกลแล้ว คุณว่าผมควรจะล่อซื้อนักข่าวพวกนี้ให้มากกว่าเดิมอีกดีไหม?"
“ถ้าจะทำงั้น เราก็ควรจะทำให้มันรัดกุมไปเลย คุณเป็นยอดฝีมือในการยุแยงตะแคงรั่วอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ คุณPDซง?”
“เรียกว่าถนัดเลยล่ะครับ”
ในไม่ช้า PD ซงมันวูก็ได้พูดคุยกับนักแสดงรยูจองมิน ฮงฮเยยอนและคนอื่นอย่างเงียบ ๆ นักแสดงที่คุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว ย่อมเข้าใจสถานการณ์ในทันที โดยเฉพาะกับฮงฮเยยอน ผู้ที่วันนี้แต่งตัวอย่างมีสไตล์ ในเสื้อเชิ้ตตัวยาว ดวงตาของเธอเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่PDบอกมา
จากนั้น PD ซงมันวูก็พูดกับผู้สื่อข่าว 200 คน
“ฮ่าฮ่าฮ่า แต่รบกวนทุกคนช่วยเขียนเบา ๆ เรื่องนักแสดงที่จะขโมยซีนทีนะครับ ตกลงไหม? ขอแบบเบา ๆ พอ เพราะมันอาจจะกดดันนักแสดงมากเกินไปก่อนที่จะปล่อยฉาย”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเขาผ่านการปรุงแต่งมา และมันก็ได้ผลอย่างดิบดี
“คุณPD คุณก็คิดว่านักแสดงคนนั้นจะขโมยซีนครั้งใหญ่ในละครด้วยงั้นเหรอครับ!”
"คุณPD คิดเห็นว่ายังไงกับเรื่องนี้ครับ?!"
ผู้สื่อข่าวถาม PD ซงมันวูด้วยคำถามหลายสิบข้อ หลังจากเงียบไปสักพัก PD ซงมันวูก็ให้คำตอบแบบกลาง ๆ
“ผมก็ไม่ได้รู้อะไรนัก แต่การแสดงของเขาเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นครั้งแรกเลยที่ผมสาบานว่าจะดูทุกการแสดงของนักแสดงคนนี้ตลอดช่วงอาชีพกำกับของผม ทุกคนก็คิดแบบนั้นใช่ไหมครับ?”
PD ซงมันวูหันศีรษะไปทางซ้ายและขอคำตอบจากเหล่านักแสดง นักแสดงอย่างรยูจองมินและฮงฮเยยอนต่างยิ้มหรือพยักหน้าตอบมา นักข่าวหลายร้อยคนอ้าปากค้างทันที
“ว้าว ขนาดPDซงยังพูดแบบนั้นเลยงั้นเหรอ?”
แรงกระเพื่อมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจกำลังผุดขึ้นมา
ผู้สื่อข่าวที่กำลังเหลือบมองไปรอบ ๆ ต่างก็มองปฏิกิริยาของกันและกัน พวกเขารู้สึกได้ทันที จากนั้นเอง พวกเขาจึงเริ่มถามคำถามที่คล้ายกันกับนักแสดงคนอื่น ๆ
“คุณจองมิน ระหว่างการถ่ายทำเป็นยังไงบ้างครับ?! คุณได้ร่วมฉากกับนักแสดงขโมยซีนที่ว่าไหมครับ??”
"ครับ ผมได้ร่วมหลายฉากกับนักแสดงคนนั้น อืม ส่วนเรื่องที่คุณถาม ตอนที่ผมได้เห็นการแสดงของนักแสดงคนนั้น ผมรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจให้พยายามมากยิ่งขึ้น เขาเหมือนเป็นตัวกระตุ้นให้ผมเลยล่ะครับ”
“ตัวกระตุ้น? กับรยูจองมินเนี่ยนะ??”
นักแสดงหลักทั้งหมดของ ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล‘ ต่างยกย่อง ’รองหัวหน้าพัค‘ อย่างมาก
ในเวลาหลายนาทีนี้ นักข่าวนับร้อยคนต่างเคี้ยวและฉีกเหยื่อที่ถูกโยนเข้าใส่ ด้วยเหตุนี้ การแถลงข่าวจึงเกินเวลาที่กำหนดไป มีการพูดคุยกันหลายเรื่องแล้ว ก่อนที่คำถามเกี่ยวกับรองหัวหน้าพัคจะถูกหยิบยกขึ้นมา
ดังนั้น ผู้ดูแลการแถลงข่าวจึงเริ่มกล่าวปิดท้าย
“เอาล่ะ เราเหลือเวลาอีก 30 นาทีแล้ว งั้นมาตอบคำถามสุดท้ายและจบการแถลงข่าวแล้วกันครับ”
"ทางนี้ครับ!"
“ผมขอถามคำถามครับ!”
“ได้ครับ นักข่าวที่ใส่เสื้อสีเทา!”
นักข่าวที่ได้รับเลือกลดมือลงและสบตาเข้ากับสายตาของฮงเฮยอนที่ดูยิ้มแย้ม
“คุณฮเยยอนเพิ่งปรากฏตัวใน ’เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง’ และพลิกโลกภาพยนตร์สั้นกลับตาลปัตรไปหมด คุณได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมในพิธี แต่รางวัลแดซังกลับถูกมอบให้กับนักแสดงที่ไม่มีใครรู้จัก คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ?”
มันเป็นคำถามที่หยาบมาก และไม่เกี่ยวข้องกับ ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ เลย ขณะที่ผู้ดูแลกำลังยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณต่อ ฮงฮเยยอนก็ไม่ตอบอะไร แต่...
“คุณนักข่าว คุณคงยังไม่เคยดู ‘สำนักงานนักสืบ‘ สินะคะ? ลองไปหาดูนะคะ”
ฮงฮเยยอนตอบอย่างใจเย็นด้วยรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลาย
“แล้วคุณจะเข้าใจเองว่าทำไมฉันถึงได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยม ฉันยอมรับเลยว่ารางวัลแดซังควรเป็นของเขาคนนั้น คุณคงถามคำถามแบบนี้ออกมาเพราะคุณไม่รู้สินะคะ”
นักข่าวที่ถามคำถามรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“อ่า อ่าครับ ครับ เป็นแบบนั้นเลยครับ”
ทุกคนในทีมต่างก็ถอนหายใจพลางเอามือกุมใบหน้า
“เฮ้อ เอาอีกแล้ว”
การหยอกล้อของเธอแบบนี้ มันไม่ใช่ครั้งแรก
หลายนาทีต่อมา ในห้องประชุมของบริษัทฮาร์โมนีฟิล์ม
ใบหน้าของชเวชองกุนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คังวูจินเต็มไปด้วยความตกตะลึง
‘...บะ-บทบาทนำ? ไม่ใช่แค่บทบาทสนับสนุน แต่เป็นบทบาทนำเลยงั้นเหรอ?!'
เขาเพิ่งได้ยินจากผู้กำกับควอนกีแท็กเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ว่าเขาวางแผนที่จะเลือกคังวูจินเป็นตัวร้ายนำ แถมผู้กำกับควอนกีแท็กกำลังอธิบายตารางงานในอนาคตของตารางงานของเขาอีก
"เรื่องเงินทุน เรามีหลักประกันแล้วครับ..."
แต่ไม่มีคำพูดใดของเขาไปถึงหูชเวชองกุน ผู้ที่ตอนนี้กำลังตกตะลึงอยู่เลย เกิดอะไรขึ้นบนโลกนี้กัน?
‘อืม...คือฉันก็คิดไว้อยู่แล้วนะ ในเมื่อผู้กำกับควอนกีแท็กมาที่กองถ่ายด้วยตัวเอง ฉันก็คิดอยู่ว่าเขาคงอย่างน้อยไม่บทบาทสนับสนุน ก็บทบาทรองมา’
ทว่าบทบาทสนับสนุนเล็กน้อยมันคงไม่ได้ทำให้ชเวชองกุนอ้าปากค้างเช่นนี้ ซึ่งที่จริงแค่ได้เข้าร่วมทีมกับผู้กำกับควอนกีแท็กผู้เป็นดั่งปรมาจารย์วงการภาพยนตร์ มันก็ถือว่าดีมากพอแล้ว แต่ผู้กำกับควอนคีแทคได้ให้บทตัวร้ายนำกับคังวูจินง่าย ๆ เหมือนให้ลูกกวาดเนี่ยนะ
‘เราข้ามขั้นไปขนาดนั้นได้ยังไงกันเนี่ย?!'
มันเป็นภาพที่แม้แต่ชเวชองกุน ผู้ที่ใช้เวลากว่าทศวรรษในวงการบันเทิง มีเครือข่ายและทักษะที่โดดเด่นก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน หน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์เมื่อสองเดือนที่แล้ว กลับกำลังได้รับบทนำจากผู้กำกับควอนกีแท็กงั้นเหรอ? นี่ไม่ใช่แค่การแหกกฎ แต่เป็นการทลายมันลงอย่างสิ้นเชิงเลย ถ้าเรื่องราวนี้แพร่กระจายไปในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ มันคงจะทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมาก
ในเวลาเดียวกัน คังวูจินจะเป็นจุดสนใจ
ซึ่งหากไปถึงจุดนั้น...
-ฟึบ
ชเวชองกุนตากว้างค่อย ๆ หันศีรษะและจ้องเขม็งไปทางคังวูจินที่อยู่ข้างเขา เขาพยักหน้าอย่างใจเย็นขณะฟังคำอธิบายของผู้กำกับควอนกีแท็ก
'… ทำไมเขาถึงใจเย็นขนาดนี้ได้กัน?'
ต้นกำเนิดของความใจเย็นและกล้าหาญของเขานี้มาจากไหน? มันมาจากความภาคภูมิใจในตนเองที่สูงของเขางั้นเหรอ?
ทางวูจินดูไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไรเลย ราวกับว่าเขาได้คาดการณ์สถานการณ์เรื่องที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว ในระหว่างนั้นเอง คังวูจินก็หันศีรษะไปทางขวา เขาสบตากับชเวชองกุน
เครื่องหมายอัศเจรีย์ปรากฏขึ้นในดวงตาของชเวชองกุนทันที
'อา...ฉันเข้าใจแล้ว ต่อจากนี้คงมีเหตุการณ์อะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีกมากมาย ถ้าฉันจะต้องอยู่กับนาย ฉันก็ต้องทำตัวให้ชินกับมันเข้าไว้สินะ? ฮ่าฮ่า เข้าใจแล้ว ฉันไม่เหมือนนายสักหน่อย ฉันไม่ได้มีหัวใจแข็งเป็นเหล็กกล้านะ’
คังวูจิน ผู้ซึ่งกำลังมองไปที่ชเวชองกุนอย่างใจเย็นก็รู้สึกสับสนมาก
‘ไม่สิ เดี๋ยวก่อน อย่างน้อยเราควรถามผู้กำับหน่อยไหมว่าแบบนี้จะดีเหรอ? เขาถามฉันว่าตัวละครไหนน่าสนใจ? แล้วจู่ ๆ เขาก็เสนอตัวละครนั้นให้ฉันเลยเนี่ยนะ’
ณ จุดนี้เอง ชเวชองกุนได้ยกมือขึ้น ขณะที่ผู้กำกับควอนกีแท็กก็กำลังอธิบายอยู่
"คุณผู้กำกับครับ! คือว่า ผมรู้สึกขอบคุณมากสำหรับข้อเสนอของคุณ ผมจะจดจำช่วงเวลานี้ไปตลอดชีวิตเลย ฮ่าฮ่า”
“ผมเองก็คิดว่าผมจะจำช่วงเวลานี้ไว้เช่นกันครับ ก็อย่างที่คุณรู้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมทำอะไรแบบนี้”
"ครับ ผมเองก็เช่นกัน ผมรู้สึกขอบคุณมาก แต่ผมว่า มันยังเร็วเกินไปนะครับที่จะเซ็นสัญญาวันนี้เลย"
อะไรเนี่ย? คังวูจินที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้าง ได้แต่มองตาเบิกกว้างไปทางต้นสังกัดของเขา ชเวชองกุนเองก็สังเกตเห็นสายตาคังวูจิน เขาจึงขยิบตาขวาให้อย่างสุขุม เขากำลังส่งสัญญาณบอกว่าเข้าใจแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาเองเถอะ
“วันนี้ผมคิดว่าเราทำข้อตกลงด้วยวาจาไว้ก่อนครับ แล้วจากนั้นคุณผู้กำกับ วูจินและตัวผม ไว้ค่อยมาเซ็นสัญญากันในภายหลังครับ”
"หึ้ม-"
“แน่นอนว่ามันคงดีไม่น้อย หากได้คนจากบริษัทภาพยนตร์ของคุณมาเป็นพยานในข้อตกลงด้วยวาจาด้วย ซึ่งด้วยวิธีนี้ ทั้งคุณและคุณวูจินก็จะได้ยืนยันว่าตกลงร่วมงานกัน แล้วจากนั้นผมจะค่อยไปพูดคุยรายละเอียดกับบริษัทหนังเองครับ”
มันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายมาก สัญญาการคัดเลือกนักแสดงสำหรับภาพยนตร์นั้น มีเงื่อนไขและการเจรจาต่อรองมากมาย ทั้งในเรื่องของค่าตัวนักแสดง ความจำเป็นที่จะต้องปรับตารางงานของนักแสดงและทีมถ่ายทำ ดังนั้นจึงมักมีการทำข้อตกลงด้วยวาจาระหว่างผู้กำกับและนักแสดงก่อน
ข้อตกลงทางวาจามันก็เหมือนเป็นการยืนยันว่าจะร่วมแสดง
ยิ่งสำหรับผู้กำกับชั้นครูอย่างควอนกีแท็ก ข้อตกลงทางวาจายิ่งหมายถึงว่ามันไม่มีทางบิดพลิ้ว ซึ่งทางคังวูจินไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย ดังนั้นเขาจึงส่งสายตาที่รุนแรงมากขึ้นมองไปยังชเวชองกุน เขาได้แต่ถามภายในใจว่า ‘ทำไม?'
ชเวชองกุนก็เข้าใจในสายตาที่คังวูจินส่งมาให้
‘อืม วูจิน ฉันเข้าใจที่นายต้องการแล้ว นายต้องการที่จะขอค่าตัวเพิ่มใช่ไหมล่ะ? ในเมื่อมันเป็นบทนำจากผู้กำกับควอนกีแท็ก นายเลยกำลังจะบอกว่าต้องคิดให้ถี่ถ้วนถูกต้องไหม?’
แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจคลาดเคลื่อนกัน แต่ดูเหมือนชเวชองกุนจะได้รับคำตอบจากสายตาของคังวูจินแล้ว
"แบบนั้นเองสินะ วูจิน กระทั่งในเรื่องสำนักงานนักสืบ นายยังได้รับค่าตัวมากมา ยแถมเมื่อนายเซ็นสัญญากับฉัน มันก็มีทั้งเงื่อนไขและเงินเพิ่มเติมในสัญญาอีก สายตาที่นายส่งมานี้ นายกำลังแนะนำให้ฉันชะลอสัญญาจนกว่าเรื่อง ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ จะออกฉายตอนแรกสินะ?’
โลกบันเทิงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน แม้ว่าจะไม่มีใครรู้จักคุณเมื่อวานนี้ แต่ถ้าคุณกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา ค่าตัวก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก ชเวชองกุนคิดว่าคังวูจินต้องการเช่นนั้น
‘นายได้กลายมาเป็นเพรชเม็ดงามในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ด้วย ‘ เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง’ แต่ตอนนี้คนทั่วไปยังไม่ได้รู้จักนายขนาดนั้น หากเราทำสัญญาไปเลย เราอาจต้องมารู้สึกเสียดายทีหลัง’
กล่าวโดยสรุปคือ พวกเขาจะรอ ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ ออกฉายเพื่อเพิ่มค่าตัว ชเวชองกุนส่งยิ้มอย่างมั่นใจให้กับคังวูจินที่มองมาที่เขาอย่างเฉยเมย ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องกังวล
‘ฉันจะจัดการให้นายเอง’
จากนั้น ผู้กำกับควอนกีแท็กค่อย ๆ พยักหน้าพร้อมกับมองไปที่ชเวชองกุน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“อืม ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจดีถึงสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อ สงสัยผมคงรีบร้อนเกินไปจนลืมนึกถึงเรื่อบางอย่างไป ฉันคงใจร้อนมาก เพราะอยากได้ตัวคุณวูจิน”
“ผมเข้าใจดีเลยครับ คุณผู้กำกับ”
“งั้นเรามาทำสัญญาด้วยวาจากันก่อน ด้วยการเข้าร่วมกับทีมผู้ผลิตของบริษัทภาพยนตร์แล้วกัน”
"ได้ครับ"
ผู้อำนวยการควอนกีแท็กหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรหาทีมผู้ผลิตที่เตรียมพร้อมอยู่ ส่วนทางชเวชองกุนก็ถามผู้กำกับควอนกีแท็กต่ออีกว่า
“คือว่าคุณผู้กำกับ ขอโทษนะครับ แต่คุณวางแผนที่จะเปิดเผยต่อสื่อเกี่ยวกับงานต่อไปเมื่อไหร่ครับ? คุณบอกว่ามันยังเป็นความลับอยู่ในตอนนี้ใช่ไหมครับ?”
"ใช่ครับ ผมจะเอาไปออกข่าวก็ต่อเมื่อนักแสดงนำได้ถูกคัดเลือกหมดแล้ว อาจภายในเดือนนี้ครับ”
"เดือนนี้ ถ้างั้นหากเรื่องได้รับการยืนยันแล้ว ช่วยพยายามประชาสัมพันธ์เพิ่มได้ไหมครับ? ว่าวูจินได้เข้าร่วมทีมกับงานของคุณผู้กำกับ"
รอยยิ้มของผู้กำกับควอนกีแท็กยิ้มกว้างขึ้น เขารู้แล้วว่าทางชเวชองกุนต้องการอะไร
“ได้อยู่แล้วครับ ทำไมจะไม่ได้กันล่ะ?”
"ขอบคุณครับ"
ชเวชองกุนที่ก้มศีรษะเดินเข้ามาหาคังวูจิน ภายนอกวูจินยังคงไม่แสดงออกอะไร แต่ข้างในเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น จากนั้นชเวชองกุนก็กระซิบกับเขา
“อย่างน้อยสองเท่า หรืออาจจะมากกว่า ฉันทำให้ค่าตัวของนายมีค่ามากขึ้นแล้วนะ งั้นเรามาชะลอสัญญากันก่อนเถอะ ดูจากท่าทางของผู้กำกับแล้ว บางทีเราอาจจะทำได้แน่ ดูสิ เขาทำเหมือนนายเป็นหลานรักเขาเลยนะ เห็นไหม?”
ไหงอยู่ดี ๆ มาพูดเรื่องค่าตัวกันเนี่ย? วูจินคิดไม่ออกเลย ไม่ว่าเขาจะคิดมากแค่ไหนก็ไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงกันแน่ แต่ในเมื่อค่าตัวจู่ ๆ ก็จะได้เพิ่ม เขาย่อมไม่คิดปฏิเสธอยู่แล้ว
"...ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ"
"แล้วก็ ลองนึกดูสิว่าถ้าเราทำประชาสัมพันธ์สักหน่อยมันจะบ้าคลั่งได้มากขนาดไหน ตอนนี้นายมาแรงมากอยู่แล้วหลังจากได้รับรางวัลการแสดงที่ ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง’ ใช่ไหมล่ะ? น้ำถูกกวนไปแล้ว นายเปรียบเสมือนเพรชอันมีค่าในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ หาก ‘ผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาเสเพล' กลายเป็นที่นิยมเหมือกัน แล้วพอมีข่าวว่านายได้เข้าร่วมงานกำกับของผู้กำกับควอนกีแท็กในฐานะนักแสดงนำ คิดดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?"
ชเวชองกุนยิ้มออกมา
“ไม่สิ นายไม่ใช่แค่เพรชในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ แต่นายคือระเบิดนิวเคลียร์ในวงการบันเทิงเลยต่างหาก”
วันรุ่งขึ้น 9 โมงเช้าที่โรงแรมหรูในกรุงโซล
มันเป็นห้องสวีทที่ดูกว้างขวาง ชายผมหงอกสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ ยืนอยู่ริมหน้าต่างที่มองเห็นกรุงโซล เขากำลังจิบกาแฟขณะมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ
เขาคือผู้กำกับชาวญี่ปุ่น เคียวทาโร่ ทาโนกุจิ
"...หืม"
แม้ว่า ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง’ จะสิ้นสุดลงเมื่อสองวันก่อนในวันที่ 7 แต่ผู้กำกับเคียวทาโร่ก็ยังคงอยู่ในเกาหลี มันเป็นสิ่งที่เขากระทำโดยสมัครใจ ซึ่งทีมของเขาที่มากับเขาก็อยู่ในเกาหลีเช่นกัน
-ฟึบ...
ผู้กำกับเคียวทาโร่ที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ได้นั่งลงบนโซฟาหรูหรา บทที่เขาเพิ่งอ่านกระจายอยู่บนโต๊ะตรงหน้า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้กำกับเคียวทาโร่ได้อ่านบทหลายบทสำหรับงานชิ้นต่อไปของเขาแล้ว
แต่ว่า
"ไม่ได้เลย"
เขาพึมพำเบา ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่นและปิดบทที่อ่านอยู่ เขาไม่มีสมาธิเลยสักนิดเดียว อันที่จริง จิตใจของเขายังคงเต็มไปด้วยนักแสดงที่เขาเพิ่งรู้จักหนึ่งที่มาจากเกาหลี
คนผู้นั้นคือคังวูจิน
เขาได้เห็นเพียงแวบเดียวของการแสดงของอีกฝ่าย แต่มันก็ดีมากและมันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นจนมันแทบระเบิดออกมา
“...ภาษาญี่ปุ่นนั้นดูชำนาญมาก ดูเหมือนว่าเขาอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเลย แต่น้ำเสียงของการแสดงไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นเลยสักนิด หรือเขาอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นตอนที่เขายังเด็กแล้วย้ายไปเกาหลีกัน?”
ทว่าคังวูจิน นักแสดงคนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับการยอมรับมากนัก เพราะมีคนจำนวนน้อยมากที่รู้จักเขาใน ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง’ และแม้แต่ผู้สื่อข่าวเกาหลีก็ปฏิบัติต่อคังวูจินอย่างไม่คุ้นเคย
“การแสดงของเขาดีกว่านักแสดงที่มีประสบการณ์หลายสิบปี แต่ชื่อเสียงของเขาคงอยู่ระดับล่าง ไม่มีข่าวลือว่าเขาทำงานอะไรเป็นพิเศษ เขาดูไม่ได้เป็นเด็กเส้นด้วยสิ อุปสรรคสำหรับการแสดงในเกาหลีสูงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ผู้กำกับเคียวทาโร่ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว แค่มองดูทักษะการแสดงของเขา ก็รู้ได้เลยว่าเขาต้องเด่นดังแน่ โชคดีที่ทักษะของเขาได้รับการพิสูจน์ที่ ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง’ แล้ว แต่มันก็ยังเป็นเทศกาลหนังสั้นที่ไม่ใช่กระแสหลัก
“ช่างน่าเสียดายอะไรขนาดนี้ การปล่อยให้นักแสดงระดับนี้ไปเฉย ๆ มันย่อมเป็นการเสียเปล่าไม่ใช่หรือไง?”
เสียเปล่าเกินไปแล้ว มันเป็นการเสียเปล่ามากที่จะทิ้งนักแสดงอย่างคังวูจินไป
“มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่นักแสดงมีความสามารถเช่นนี้ต้องมาดิ้นรนในหนังสั้น ในสายตาของผม เขาเป็นนักแสดงที่ควรมีส่วนร่วมในการพัฒนาโลกการแสดงใบนี้ ต่อให้จะเป็นเกาหลีหรือญี่ปุ่นก็ตาม”
เมื่อมาถึงจุดนี้เอง ผู้กำกับเคียวทาโร่ก็ได้ตัดสินใจแล้ว เขาตัดสินใจที่จะแนะนำนักแสดงโนเนมคนนี้ ให้ไปมีชื่อเสียงระดับโลกทั้งในเกาหลีและญี่ปุ่น ดูเหมือนผู้กำกับเคียวทาโร่จะมีความทะเยอทะยานของตัวเองมากในฐานะผู้กำกับ เขาต้องการทำงานร่วมกับนักแสดงคนนี้ ผู้ซึ่งยังคงเป็นอัญมณีที่ยังไม่ได้เจียระไน
‘ถ้าได้เขาไป คงทำให้นักแสดงในญี่ปุ่นตื่นกันสักที เกาหลีมีนักแสดงที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แต่กลับอยู่แค่หนังสั้นเนี่ยนะ’
หลังจากตัดสินใจด้วยตัวเองและตัดสินใจแล้ว เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
“มาคุยกันในห้องของผมตอนนี้เลย ผมคิดว่าผมคงต้องอยู่ที่เกาหลีอีกสักสองสามวัน”
เขาโทรหาทีมของเขาที่อยู่อีกห้องหนึ่ง
*****