บทที่ 26 ล้อมสังหารหลงเฉิน
บทที่ 26 ล้อมสังหารหลงเฉิน
“ใคร!” เมื่อได้ยินเสียงนั้น หลงเฉินและฉินเหล่าก็เริ่มตื่นตระหนก พวกเขาหันไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็วและเห็นร่างมนุษย์สองสามร่างเดินออกมาอย่างช้าๆ
ซึ่งผู้ที่นำหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากมู่หรงหลิน
มู่หรงหลินติดตามพวกเขามาตั้งแต่ผู้อาวุโสใหญ่ไล่ล่าฉินเหล่าและหลงเฉินด้วยความเร็วของสอง ‘พฤษาเหล็กผลิดอก’ แต่เขาก็แทบตามทั้งสองเกือบไม่ทัน
และเมื่อเห็นว่าพวกเขาหยุดพักในสถานที่เงียบสงบไร้ผู้คน มู่หรงหลินจึงเผยตัวเองออกมา
“เจ้าเป็นใคร?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยความสับสน ขณะส่งสัญญาณให้ฉินเหล่าเตรียมตัว
มู่หรงหลินคร้านเกินจะเปิดปากสนทนา เขายกมือขึ้นทันทีและออกคำสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง “ฆ่าพวกมัน”
ร่างของสอง ‘พฤษาเหล็กผลิดอก’ สั่นไหวขณะพวกเขาปลดปล่อยอวตารสำแดงและพุ่งเข้าไปโจมตีฉินเหล่าอย่างดุเดือด
ฉินเหล่าเตรียมรับมือในทันที เขารู้ว่าตอนนี้ตัวเขาไม่สามารถออมแรงได้อีกแล้ว หลังจากต่อสู้กับผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายร้อยบุปผา ฉินเหล่าก็ตระหนักได้ว่าการรับมือกับผู้ที่อยู่ขอบเขตเดียวกันมันยากลำบากเพียงใด และตอนนี้เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับชายสองคนขอบเขตสำแดงที่ประสานกันเป็นอย่างดี ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยมันก็อาจหมายถึงความตายของเขาเลย!
ฉินเหล่ารีบปลดปล่อยอวตารสำแดง ‘วัชระหกศาสตรา’ ทันที โดยใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดเพื่อรับมือกับทั้งคู่ จนมีเลือดไหลออกจากปาก
อีกด้าน ขณะที่หลงเฉินกำลังจะเคลื่อนไหว เขาก็ถูกแสงดาบแปดเล่มเข้ามาขัดขวาง
แสงดาบทั้งแปดนี้มันได้มอบความรู้สึกที่แตกต่างกัน บ้างก็เป็นความฝันและภาพลวงตา บ้างก็เป็นความอ้างว้างและไร้หนทาง บ้างก็เป็นความเกลียดชัง บ้างก็เป็นความชื้นและกลิ่นฝน บ้างก็เป็นการสร้างโลก ทั้งหมดมันได้ล้อมหลงเฉินจนเขาติดอยู่ตรงกลาง
ซึ่งมันคือ ‘ยอดแปดราชันดาบ’ ของมู่หรงหลิน
ดาบทั้งแปดมีได้แก่
‘ดาบสยอง’ ซีเหลียนเทียน
‘ดาบเดียวดาย’ ไช่เสี่ยวโถว
‘ดาบพานพบ’ เมิ่งคงคง
‘ฝนยี่สิบแปด’ จ้าวหลานหรง
‘นภากว้าง’ เซียวซา
‘แดนวิทูร’ เซียวไป๋
‘ดาบห้าพยัคฆ์ฟันวิญญาณ’ เผิงเจียน
‘เคล็ดแปดดาบเร้นลับ’ เหมียวปาฟาง
ทั้งแปดคนล้วนเป็นนักดาบทรงพลังที่มีวิชาดาบไร้เทียมทาน พวกเขาสามารถสังหารผู้คนได้นับไม่ถ้วน และที่สำคัญสุด คือพวกเขาเชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี
ทั้งแปดรู้จักกันมานาน การประสานงานของพวกเขาจึงสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ และในพริบตาพวกเขาก็ได้สร้างค่ายกลดาบล้อมตัวหลงเฉิน โดยมีการโจมตีสี่ครั้งข้างหน้าและสี่ครั้งข้างหลัง
หลงเฉินไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปลดปล่อยสายเลือดมังกรเถ้าย้อนกลับอีกครั้ง
คนทั้งแปดตรงหน้า แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งยิ่งกว่าจูจู๋ชูถึงสิบเท่า ตอนนี้เขาได้เสียพลังไปมากจากการต่อสู้สองครั้งที่ผ่านมาและเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีโอกาสชนะแน่นอน
ใบหน้าของหลงเฉินค่อยๆดำมืด
หรือข้าต้องใช้สิ่งนั้น..
ในฐานะตัวเอก หลงเฉินย่อมมีไพ่ตายของตนเอง เขาหยิบโอสถวิญญาณสีแดงออกมาจากถุงเฉียนคุนและลังเลอยู่สักพักก่อนจะกลืนมันเข้าไป
หลงเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับ ‘ยอดแปดราชันดาบ’ หลายครั้ง และเมื่อพวกเขาเห็นว่าหลงเฉินกลืนโอสถวิญญาณเข้าไป ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนสีขณะรีบเร่งโจมตี
มู่หรงหลินที่ยืนดูอยู่ด้านข้าง ส่ายหัวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนและเอ่ยพึมพำ “ดูเหมือนครั้งต่อไปข้าคงต้องอธิบายให้พวกเขาฟังก่อนว่าไม่ให้ตัวเอกได้ใช้ไพ่ตาย”
ขณะเดียวกัน สอง ‘พฤษาเหล็กผลิดอก’ ยังคงกระหน่ำโจมตีฉินเหล่าอย่างโหดเหี้ยม
ฉินเหล่าใช้พลังวิญญาณไปมากในการต่อสู้ครั้งก่อนและตอนนี้เขายังต้องมาเจอกับศัตรูที่ทรงพลังยิ่งกว่า เขาถูกทุบตีจนอาเจียนออกมาเป็นเลือดภายในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ใบหน้าของเขาซีดเผือดและเส้นผมสีขาวโพลนเต็มไปด้วยฝุ่นผง
อวตารสำแดงของเขาเองก็เกือบจะจางหายไป โดยแขนสามในหกของวัชระหกศาสตราได้ถูกฉีกออก
แววตาอันเฉียบคมได้แวบผ่านใบหน้าของฉินเหล่าด้วยโทสะ
เขาหันไปมองมู่หรงหลินและรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มที่ยืนดูอยู่ต้องเป็นเจ้านายของคนกลุ่มนี้ ฉินเหล่าจึงตัดสินใจจะจับมู่หรงหลินเป็นตัวประกัน
เขากัดฟันแน่นและร่างกายสั่นสะท้าน อวตารสำแดงด้านหลังเขาก็เริ่มสั่นสะท้านด้วยเช่นกัน จากนั้นอาวุธวิญญาณในมือของวัชระหกศาสตราก็ระเบิด
ทำลายอาวุธวิญญาณของตัวเอง!
ฉินเหล่าใช้แรงระเบิดที่เกิดจากการทำลายอาวุธวิญญาณเป็นโล่กำบัง เพื่อที่ตัวเขาจะได้เข้าถึงตัวมู่หรงหลิน
สอง ‘พฤษาเหล็กผลิดอก’ ไม่คาดคิดว่าฉินเหล่าจะทำลายอาวุธวิญญาณที่เป็นเหมือนดั่งสหายตอนอยู่ขอบเขตสวรรค์
แรงระเบิดของอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำนั้นน่าสะพรึงอย่างแท้จริง มันได้สร้างคลื่นกระแทกอันทรงพลัง ทำให้สอง ‘พฤษาเหล็กผลิดอก’ หยุดชะงักและตั้งท่าป้องกัน ฉินเหล่าฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าหามู่หรงหลินทันที
ด้วยความตื่นตระหนกสอง ‘พฤษาเหล็กผลิดอก’ ทิ้งเรื่องการป้องกันและไล่ตามฉินเหล่าไป
ฉินเหล่าจ้องมองชายหนุ่มที่ไร้อาวุธตรงหน้า ตัวเขาไม่รู้จักชายหนุ่มผู้นี้และไม่รู้ถึงแรงจูงใจที่มาโจมตีพวกเขาทั้งสองด้วย ทว่าความไม่รู้มันไม่ได้หยุดฉินเหล่าในการเอื้อมมือไปหามู่หรงหลิน
สีหน้าของเขาเป็นกังวลอย่างยิ่งขณะคิดกับตัวเอง ต้องทำให้ได้! ข้าต้องทำให้ได้!
ทว่าวินาทีต่อมา ฉินเหล่าก็เห็นมู่หรงหลินเหยียดมือมาข้างหน้า
ซึ่งเขาไม่รู้ว่ามู่หรงหลินกำลังจะทำอะไร
มู่หรงหลินไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าสุดท้ายฉินเหล่าและหลงเฉิน ไม่คนใดก็คนหนึ่งคงพุ่งเป้ามาที่เขา มู่หรงหลินจึงได้เตรียมรับมือกับเรื่องนี้ไว้แล้ว
เขาเหยียดแขนซ้ายและนิ้วชี้ออกไปข้างหน้า ส่วนแขนขวาดึงไปด้านหลัง ประหนึ่งว่ากำลังถือคันธนูและดึงลูกศร
“ศรทะลวงใจ”.
นี่คือการโจมตีของ “ศรทะลวงใจ” โดยมือข้างหนึ่งจะเป็นคันธนูขณะอีกข้างเป็นลูกศร ซึ่งมันเป็นทักษะที่ไม่ต้องใช้คันธนูหรือลูกศร
เมื่อเห็นฉินเหล่ามาถึงตรงหน้า มุมปากของมู่หรงหลินก็ยกขึ้นขณะสายตาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
ฉินเหล่าคิดกับตัวเอง
ไม่!
ข้าตกหลุมพลางเขา เขากำลังรอช่วงเวลานี้อยู่
หวังว่าการโจมตีของข้าจะเป็นผล!
มู่หรงหลินโคจร “คัมภีร์อักขระภูผา” เพื่อขับเคลื่อน “ศรทะลวงใจ” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาอันทรงพลังที่ช่วยเหยียดแขนซ้ายไปข้างหน้าและดึงแขนขวาไปด้านหลัง จากนั้นมู่หรงหลินก็ชกแขนขวาออกไปด้วยหมัดที่เป็นหัวลูกศร แขนเป็นก้านและตัวเขาเองเป็นขนลูกศรกระแทกใส่ฉินเหล่าในทันที...
ศรดอกนี้พุ่งไปไม่มีถอย..
ศรดอกนี้เหลี่ยมลึกลับไม่อาจหยุด..
ศรดอกนี้สั่นคลอนต้องร่ำไห้..
และก่อนที่ร่างของฉินเหล่าจะสัมผัสกับหมัดของมู่หรงหลิน เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกยากจะอธิบายภายในจิตใจ แม้ว่าเขาต้องการจะสกัดการโจมตีนี้ ทว่าหัวใจของเขากลับท้อแท้และยอมรับความตายของตัวเอง
อวตารสำแดงของฉินเหล่าหายไปในอากาศ
วัชระหกศาสตรายังคงแสดงอาการตกตะลึงขณะมันจางหายไปอย่างช่วยไม่ได้
“สวบ!” หน้าอกของฉินเหล่าถูกลูกศรของมู่หรงหลินแทง
ทั้งแขนของมู่หรงหลินแทงทะลุหน้าอกของฉินเหล่าและสังหารเขาตายในทันที
ฉินเหล่าสิ้นใจก่อนจะได้ทันรู้ตัว ร่างไร้วิญญาณของเขายังคงห้อยค้างอยู่บนแขนของมู่หรงหลิน เขาจ้องมองไปข้างหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าชรายังคงแสดงออกถึงการต่อสู้
น่าเสียดายที่เขามาตายเช่นนี้หลังจากติดอยู่ในค่ายกลที่เป็นดั่งคุกมาห้าสิบปี
“ฉินเหล่า!”
หลงเฉินที่เพิ่งกลืนโอสถวิญญาณมองภาพตรงหน้าอย่างเจ็บปวด
ความเศร้าโศกและความโกรธของเขาได้หลอมรวมกับโอสถวิญญาณ ทำให้เกิดพลังอันแกร่งกล้าภายในร่างของหลงเฉินและเปลี่ยนเกราะเกล็ดบนร่างของเขาเป็นสีดำทมิฬ พลังวิญญาณสีแดงที่ล้อมรอบตัวเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำด้วยเช่นกัน
“อ๊ากกก! ไปตายซะ!”
หลงเฉินหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดขณะระเบิดเส้นลมปราณซ่อนเร้นทั้งเก้า จนพลังของเขาเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมหาศาล เขารวบรวมความโกรธและความโศกเศร้าไว้ภายในหมัดและพุ่งไปโจมตีมู่หรงหลิน
หมัดนี้คือโทสะของมังกรเถ้า..
หมัดนี้คือสายเลือดมังกรเถ้า..
หมัดนี้สลายปราณของข้า..
“ช้าก่อน! ข้ารู้ตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการฆ่าล้างตระกูลเจ้า!” มู่หรงหลินตะโกนด้วยรอยยิ้ม
หลงเฉินที่ตกอยู่ในอาการบ้าคลั่งได้ชะงักไปชั่วครู่และพึมพำ “ตระกูลเจ้า? ตระกูลข้า? ตระกูลข้า! ผู้ใดมันทำลายตระกูลข้า?! มันเป็นใคร! บอกข้ามา!” หมัดของหลงเฉินเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
มู่หรงหลินยกมือทั้งสองขึ้นเป็นสัญญาณและยืนนิ่งด้วยรอยยิ้มสดใส “ก็ข้าไงเล่า”
‘ยอดแปดราชันดาบ’ และสอง ‘พฤษาเหล็กผลิดอก’ ที่ล้อมหลงเฉินอยู่นานต่างก็พุ่งไปข้างหน้าและเจาะโซ่เงินในมือเข้าไปในร่างของหลงเฉิน
“เจ้าพูดอะไร? ตาย! ตายซะ!” หลงเฉินดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทว่าในขณะที่เขากำลังจะโจมตี หลงเฉินก็ตระหนักได้ว่าตัวเขาไม่สามารถควบคุมสายเลือดในร่างได้แล้ว
เขาก้มดูโซ่เงินที่ฝังอยู่ในร่างและสัมผัสได้ว่าพลังสายเลือดกำลังถูกโซ่เงินเหล่านี้ดูดออกไป
“มันเป็นไปไม่ได้? ทำไม! ทำไม!”
“สิ่งนี้ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ” มู่หรงหลินเดินหัวเราะมาอยู่ด้านข้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความนอบน้อม “ไม่ต้องเกรงใจ”