บทที่ 193 อายุห่างกันกว่าสิบปีหาใช่ปัญแต่อย่างใด
กับเรื่องผิวพรรณสะอาดหมดจด ชวนให้มองของหยางเสี่ยวเทียน การคาดเดาจากเหวินจิงอวี๋ก็ยังไม่ถูกเสียทีเดียวว่าเพราะเหตุใด
ด้วยเหตุส่วนใหญ่ เป็นผลจากการที่เขาดื่มธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้เพราะร่ำสุราของเมื่อคืนมากเกินไป จึงทำให้เขาเนื้อกายเปล่งปลั่งบริสุทธิ์จนไร้ซึ่งที่ติ
ธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นเอ็นและตัดต่อไขกระดูกได้ กล่าวตรงๆ ก็คือเป็นการขับสารพิษออกจากร่าง
ไม่เพียงแต่ขจัดสิ่งสกปรกออกจากอวัยวะภายในเท่านั้น แต่ยังชะล้างสิ่งสกปรกออกจากกล้ามเนื้อและผิวหนังอีกด้วย
หลังจากดื่มธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์มาอย่างต่อเนื่อง ผิวพรรณของหยางเสี่ยวเทียนก็ย่อมดีขึ้นเป็นธรรมดา
ซึ่งแน่นอน ว่ามันไม่เพียงส่งผลดีต่อผิวพรรณภายนอกเท่านั้น แต่หลังดื่มมันควบคู่ไปกับการปลุกปราณแท้มังกรให้ตื่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผิวกายภายนอกก็เปรียบเสมือนเกราะที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน
ต่อให้เขายืนเฉยๆ ปล่อยให้วิญญาจารย์ขั้นราชันยุทธ์ระดับสองหรือสาม โจมตีเขาด้วยอาวุธวิญญาณก็ย่อมไม่เป็นผล
ระหว่างนั้นเอง เหวินจิงอวี๋ก็เริ่มควบม้ามังกรให้ออกตัวเร็วขึ้น
อ้อมแขนน้อยๆ จากหยางเสี่ยวเทียน โอบกอดเอวคอดกิ่วของเหวินจิงอวี๋เอาไว้อย่างแนบแน่น ไม่รู้เพราะกลัวพลัดตกหรือเพราะเหตุใดก็มิทราบได้
ขณะอ้อมแขนเขาโอบรัด สัมผัสถึงผิวกายอันนุ่มนวลที่อยู่ใต้ผืนแพรพรรณ พานให้หยางเสี่ยวเทียนจิตใจเริ่มไม่มั่นคง มันทั้งนุ่มแลเรียบเนียนเคล้ากลิ่นหอมจางๆ จากเรือนร่างสตรีเบื้องหน้าได้อย่างลงตัวยิ่ง
หยางเสี่ยวเทียนพานรู้สึกฟุ้งซ่าน จนสติไม่อยู่กับเนื้อตัวในยามนี้ เขาไม่เคยได้สัมผัสกับฉากอันงดงามและหอมหวานถึงปานนี้มาก่อน
“คุณชาย” เหวินจิงอวี๋กล่าวแทรกขัดความคิดของเขาที่กำลังสับสน “ผิวกายของท่านงดงามนักมันเป็นเพราะการร่ำสุราเมื่อคืนนี้ใช่หรือไม่”
หยางเสี่ยวเทียนสะดุ้งคืนสติ สับสนกับความคิดตนเองว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ด้วยไม่คาดคิดว่าจู่ๆ นางจะเอ่ยถามถึงเรื่องเมื่อคืน มิใช่การกระทำอันไม่สุภาพตนขณะนี้
“ไม่ทั้งหมด” หยางเสี่ยวเทียนกล่าว “ข้าดื่มสิ่งล้ำค่าจากสวรรค์” จากนั้นเขาเสริมอีกว่า “แต่สุรานั้น ก็ยังมีผลต่อความงดงามของผิวพรรณอยู่”
“แล้วคุณชาย ท่านมาทำอะไรที่เมืองหลวงหรือ” เหวินจิงอวี๋เผยอริมฝีปากเอ่ยถามอีกครั้ง
“ข้าจะไปโถงหลักของหอสมาคมนักปรุงโอสถ” หยางเสี่ยวเทียนไม่ได้คิดปิดบังนางแต่อย่างใด
“หอสมาคมนักปรุงโอสถงั้นหรือ” สิ่งนี้ทำเหวินจิงอวี๋ใคร่สงสัยขึ้นอีก นางคิดว่ามันแปลกสำหรับหยางเสี่ยวเทียน หนุ่มน้อยผู้มีอายุแปดหรือเก้าขวบ กำลังจะไปยังสมาคมนักปรุงโอสถทำไมกัน
นางแย้มยิ้มพลางถามอย่างสงสัยอีกว่า “ไฉนท่านถึงไปหอสมาคมนักปรุงโอสถ ท่านเป็นนักปรุงโอสถ หรือแค่ไปซื้อสมุนไพร”
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าเป็นนักปรุงโอสถ”
คราวนี้ เขาต้องไปยังสมาคมนักปรุงโอสถหลัก นอกเหนือจากการแช่กายบ่มเพาะในธาราโอสถพันปีแล้ว เขายังมีแผนจะซื้อสมุนไพรจำนวนมากสำหรับหลอมโอสถขั้นสมบัติอีกด้วย
ตอนนี้ เขาอยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบแล้ว หลังแช่ตัวยังธาราโอสถพันปี คงอาจทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ได้ หรือไม่ก็ต้องเข้าใกล้มากขึ้นเป็นแน่
ด้วยคาดการณ์ไว้เช่นนี้ เขาจึงต้องตระเตรียมสมุนไพรจำนวนมากสำหรับหลอมโอสถ
เพราะหลังส่งเลี่ยวคุนและจางจิงหรงออกกว้านหาสมุนไพรตามหอสมาคมนักปรุงโอสถอื่นๆ พวกเขาไม่มีสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถขั้นสมบัติ จึงมีเพียงแค่หอสมาคมนักปรุงโอสถหลักของอาณาจักรเสินไห่เท่านั้น
เมื่อเหวินจิงอวี๋ได้ยินหยางเสี่ยวเทียนบอกว่าเขาเป็นนักปรุงโอสถ นางจึงยิ้มกว้างพลางกลอกตาหยาดเยิ้มกล่าวว่า
“พ่อหนุ่มน้อย ปรากฏว่าท่านเป็นนักปรุงโอสถ ถ้าเช่นนั้น หากคราวหน้าท่านหลอมโอสถ ขายให้กับทางสมาคมการค้าของเราได้หรือไม่”
“ด้วยความยินดี” หยางเสี่ยวเทียนเข้าใจ หากเหวินจิงอวี๋จะยังไม่เชื่อในสิ่งที่เขากล่าวตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงยิ้มให้นางแล้วตอบอย่างสุภาพ
ไม่ว่าจะครั้งไหน เช่นเมื่อเขาหลอมโอสถระดับนิรันดร์ อย่างไรเขาก็ต้องนำไปขายให้กับนางเช่นทุกคราอยู่แล้ว
เหวินจิงอวี๋มองย้อนกลับไปและเห็นท่าทางจริงจังของหยางเสี่ยวเทียน นางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มพริ้มว่า “นั่นถือเป็นข้อตกลงระหว่างสองเรานะพ่อหนุ่มน้อย”
“คำไหนคำนั้น” หยางเสี่ยวเทียนยิ้มกว้างขณะกล่าว
ทั้งสองสนทนากันอย่างเบิกบานสำราญใจ ท่ามกลางสุ้มเสียงฝีเท้าม้าที่กำลังวิ่ง สองร่างแนบชิดติดคร่อมอยู่บนหลังมันในยามนี้
จากทิศทักษิณสู่ทิศอุดร
จากนั้นทิศประจิมมุ่งไปยังทิศบูรพา
จากอาณาจักรเสินไห่สู่จักรวรรดิเทียนโต้ว
ที่สุด ความสุขระหว่างสนทนาโต้ตอบกันก็จบลงครั้นถึงเมืองหลวงราบรื่นจนไม่รู้ตัว
แม้หนทางจะยาวนานอยู่เป็นวัน แต่เมื่อเห็นหยางเสี่ยวเทียนก้าวลงจากหลังม้ามังกร เหวินจิงอวี๋พลันรู้สึกใจหาย คิดเสียดายเวลาว่าช่างมีน้อยนิดเหลือเกิน
นางนั่งมองหยางเสี่ยวเทียนบนหลังม้ามังกร แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแต่สุ้มเสียงเคล้าความเศร้าใจอยู่เล็กน้อย “น้องชายข้า เจ้าจะอยู่เมืองหลวงนานแค่ไหน หากเจ้ามีเวลาก็มาเยี่ยมเยียนพี่สาวคนนี้ ที่สมาคมการค้าเฟิงยวินได้เสมอนะ”
หลังกล่าวเช่นนั้น นางก็มอบแผ่นหยกประจำตัวของนางให้แก่หยางเสี่ยวเทียน เพื่อให้เขาหวนกลับมาพบนางได้อีกครั้ง
เป็นครั้งแรก ที่นางมีโอกาสคุยกับใครสักคนแล้วสบายใจได้อย่างหยางเสี่ยวเทียน มันทำให้การเดินทางอันยาวนานของนางครานี้ ทั้งมีความสุขแลรู้สึกปลอดภัย กระทั่งเปลี่ยนวิธีการเรียกนามเขาได้อย่างสนิทสนมมากขึ้น
“ได้” หยางเสี่ยวเทียนเก็บแผ่นหยกประจำตัวของนางพร้อมกล่าวอำลากันและกัน
ขณะนางเคลื่อนตัวจากไปพร้อมกลุ่มคนของสมาคม เหวินจิงอวี๋ก็ยังไม่วายหันกลับมาส่งยิ้มพร้อมโบกมือให้หยางเสี่ยวเทียน แม้ออกห่างเขากระทั่งฝูงคนบนท้องถนนปิดกั้นการมองเห็นทั้งสองจนลับตาไป
“สตรีนางนี้ค่อนข้างงดงามนะ ท่านว่าไหม” อูฉีผู้ปิดปากเงียบตลอดการเดินทาง เพลานี้กลับเปิดปากชวนขันระหว่างแย้มหน้าบาน
หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้มครั้นได้ยินสิ่งนี้ “ท่านคิดอะไรอยู่ผู้เฒ่า นางอายุมากกว่าข้าตั้งสิบปี”
“อายุห่างกันมากกว่าสิบปี หาใช่ปัญแต่อย่างใด” หลัวชิงกล่าวเสริมพร้อมหันส่งยิ้มหาอูฉี กับเวลาเช่นนี้ ช่างเข้าขากันดีเสียจริง
“ราชวงศ์ผู้มีอำนาจแลวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่งในจักรวรรดิหลายคน ก็ล้วนมีคู่ครองที่อายุห่างกันเป็นสิบๆ ปีทั้งนั้น” หลัวชิงยังเสริมอย่างอารมณ์เบิกบาน