บทที่ 192 กำลังคิดอะไรอยู่หรือ พ่อหนุ่มน้อย
หยางเสี่ยวเทียนส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยรอยยยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจ วีรบุรุษช่วยสาวงามถือเป็นเรื่องปกติ”
ครั้นได้ยินวาจาเช่นนี้ เหวินจิงอวี๋ก็พลันหัวร่อคิกคักทันที
เด็กน้อยคนนี้ เห็นตนเองเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยสาวงามเอาไว้งั้นหรือ ช่างเป็นพ่อหนุ่มน้อยน่าเอ็นดูเสียจริง ระหว่างคิดสิ่งนี้นางก็กลอกตาหยาดเยิ้ม
แท้จริงแล้ว นางจะล่วงรู้ได้อย่างไร ว่าเด็กอายุแปดหรือเก้าขวบตรงหน้านาง เป็นบุรุษหนุ่มอายุยี่สิบปีในร่างเด็ก หาใช่เด็กจริงๆ ไม่
ก่อนที่วิญญาณเขาจะกลับชาติมาเกิด หยางเสี่ยวเทียนเป็นผู้สืบทอดของสำนักบู๊ตึ๊ง ซึ่งในตอนนั้น เขามีอายุยี่สิบปีเศษ
เมื่อเหวินจิงอวี๋ยิ้มประหนึ่งรอบข้างนางดูสดใสในทันตา น้ำเสียงหัวเราะก็เสนาะหูราวเสียงระฆังกังวาน ดวงตาสะคราญของนางก็ช่างรัญจวนใจ ภายใต้อาภรณ์สีดำยิ่งทำให้นางมีเสน่ห์เย้ายวนใจนัก
“ในเมื่อคุณชายกำลังเดินทางไปยังเมืองหลวง ไฉนไม่ออกเดินทางพร้อมกับเราพรุ่งนี้เล่า” เหวินจิงอวี๋กล่าวอย่างเนิบนาบนุ่มนวล ขณะริมฝีปากบางมีรอยยิ้มปรากฏ
“ได้สิ” หยางเสี่ยวเทียนแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ตราบใดที่เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเปิดเผยที่อยู่ให้พรรคดาบโลหิต ข้าก็ไม่รังเกียจ หากจะออกเดินทางไปพร้อมกับหญิงงามเช่นเจ้า”
เหวินจิงอวี๋เขินอายเล็กน้อย ก่อนคลี่ริมฝีปากบางกล่าวอย่างอ่อนหวาน “คุณชายช่างมีอารมณ์ขันนัก ซิ่วหลานเป็นคนเสียมารยาททั้งยังสะเพร่า หากวาจาของนางทำให้คุณชายขุ่นเคือง โปรดอย่าได้ถือสานางเลย”
กล่าวจบ นางก็สั่งให้เหวินซิ่วหลานขอโทษที่ล่วงเกินหยางเสี่ยวเทียน
เหวินซิ่วหลานก้าวไปข้างหน้า ยกมือขึ้นประสานกำหมัดพร้อมกล่าวขอโทษหยางเสี่ยวเทียนในท่าทีแข็งกระด้าง ขัดกับวาจาที่เอื้อนเอ่ยเพราะหาได้เต็มใจ
ถึงแม้นางจะยินยอมทำตามคำสั่งด้วยพอใจหรือไม่ อย่างไรหยางเสี่ยวเทียนก็คงมิอภัย
ซึ่งเพลานี้ หยางเสี่ยวเทียนหาได้แยแสกิริยาเหวินซิ่วหลาน ผู้เงยหน้าฝืนยิ้มค้างรอฟังคำกล่าวโต้ตอบจากเขาอยู่สักพัก มุมปากนางกระตุกสั่นครั้นเห็นเขาไม่ฟังทั้งยังมิเหลือบมอง นอกจากเหวินจิงอวี๋ไม่วางตาขณะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าช่างงดงามสำราญตายิ่งนัก”
ด้วยวาจาหยอกเย้าจากหยางเสี่ยวเทียน เหวินจิงอวี๋พลางยิ้มกว้างอย่างเหนียมอายจนดวงตาโค้งเรียวรับกับแก้มเนียนทั้งสองที่กำลังแดงระเรื่อราวลูกท้อสุก
เหวินซิ่วหลานที่เห็นการเมินเฉยเช่นนั้น พลันเดือดพล่านจนหน้าอกสั่นทั้งยังชาด้วยอับอาย ทำนางรับรู้ทันทีว่าหยางเสี่ยวเทียนไม่พึงใจนางอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อจากนั้น เหวินจิงอวี๋กับหยางเสี่ยวเทียนก็กลับไปนั่งลงข้างกองไฟ ครานี้ ทั้งคู่นั่งใกล้กันโดยไม่มีใครต้องเชื้อเชิญฝ่ายใด
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะพรรคดาบโลหิต ทั้งสองก็สนทนากันอย่างสนิทสนมใกล้ชิด
อูฉีไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงแสดงรอยยิ้มยินดีบนใบหน้าเหี้ยวย่นเท่านั้น แม้เหวินจิงอวี๋จะไม่มีโอกาสได้เห็นอูฉีลงมือเลยสักครา แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ นางก็ไม่กล้าคิดปรามาสว่าชายชราผู้สังขารใกล้โรยราเบื้องหน้า เป็นเพียงชายชราธรรมดาทั่วไปอีก
ยามนี้ ความสงสัยเกี่ยวกับตัวตนแท้จริงของหยางเสี่ยวเทียน เริ่มก่อเกิดในใจนางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
พ่อหนุ่มน้อยที่เป็นเพียงผู้เยาว์แต่กลับมีอำนาจใหญ่โต ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ถึงได้มีผู้แข็งแกร่งคอยติดตามเช่นนี้
บางที เขาอาจเป็นลูกหลานขุนนาง หรือเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรใดสักแห่ง
ทั้งสองคุยกันอย่างสำราญจวบจนดึกดื่น กว่าจะทันรู้ตัว ทุกคนรอบข้างก็ต่างหลับใหลกันไปหมด
หลังจากนั้นไม่นาน เหวินจิงอวี๋ก็หลับไปพร้อมกับมีรอยยิ้มเล็กน้อยประดับอยู่ตรงมุมปาก โดยที่ร่างของนางนอนอยู่ข้างๆ หยางเสี่ยวเทียน
หยางเสี่ยวเทียนนั่งขัดสมาธิและปรับแต่งลมปราณ
แสงสว่างจากเปลวไฟ สะท้อนต้องใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาขณะนั่งหลับตานิ่ง ขนตายาวเป็นแพไม่มีขยิบปรากฏให้เห็นถึงความกังวลใดๆ ด้วยตั้งมั่นในสมาธิ
ค่ำคืนค่อยๆ ผ่านไปกระทั่งรุ่งสาง
หยางเสี่ยวเทียนและคนอื่นๆ เก็บสัมภาระเตรียมตัวออกเดินทางพร้อมกับคณะจากสมาคมการค้าเฟิงยวิน
เมื่อเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนและคนทั้งสองกำลังเดินอยู่ เหวินจิงอวี๋จึงให้คนของสมาคมนำม้าสองตัวให้แก่อูฉีกับหลัวชิง
สำหรับหยางเสี่ยวเทียน นางแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานพลางกล่าวว่า “คุณชาย หากท่านไม่รังเกียจ เชิญขึ้นมานั่งบนหลังม้ากับข้าก็ได้”
วาจาเชิญชวนของนาง พานให้หยางเสี่ยวเทียนตกตะลึงในทันที
“นั่งบนหลังม้าตัวเดียวกันกับนางงั้นหรือ” เขาพึมพำในใจตนเงียบๆ
การที่ชายหญิงจะขึ้นไปนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกัน มันเป็นเรื่องมิบังควรไม่ใช่หรือ
“ว่าอย่างไรคุณชาย ท่านสนใจหรือไม่” เหวินจิงอวี๋กระพริบตาอย่างอ่อนช้อย พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
หยางเสี่ยวเทียนส่ายศีรษะสลัดความคิดโบร่ำโบราณที่อาจทำให้นางเสียหาย แต่กลับหลงลืมว่าตอนนี้ตนเป็นเด็กมิใช้บุรุษหนุ่มอายุยี่สิบ
ครั้นนึกได้ดังนั้น เขาที่มิได้รังเกียจนางแต่อย่างใด จึงตอบรับไปในทันที
ต่อจากนั้น ทั้งสองก็นั่งอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกัน โดยที่เหวินจิงอวี๋คุมบังเหียนม้าอยู่ด้านหน้า ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนนั่งเกาะอยู่หลังนาง
เพลานี้ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเนื้อกายนางก็ลอยมากับสายลม พลางลูบไล้ยังปลายจมูกของหยางเสี่ยวเทียนอย่างนุ่มนวลจนพานให้ใจเขาสั่นไหวเล็กน้อย เพราะกลิ่นหอมอันมีเสน่ห์เย้ายวนของนางมิคลายจางหาย
หลังเดินไปได้สักพัก เหวินจิงอวี๋ก็เอียงใบหน้างามหาหยางเสี่ยวเทียน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนหวาน “คุณชาย ท่านควรใช้อ้อมแขนกอดข้าเอาไว้ให้แน่น เมื่อม้าเริ่มวิ่ง มันจะทำให้ท่านรู้สึกไม่มั่นคงจนอาจพลัดตกได้”
หยางเสี่ยวเทียนมองไปยังเอวคอดกิ่วของเหวินจิงอวี๋ ที่เขาสามารถกอดได้แต่กลับลังเลด้วยเขาเป็นชาย อีกทั้งนางยังเป็นหญิงสาวที่ยังมิมีคู่ครอง
เหวินจิงอวี๋มองย้อนกลับไปด้วยเห็นว่ายังไม่มีสัมผัสจากเขา ดวงตาอันงดงามของนางขณะนี้ กลอกหาหยางเสี่ยวเทียนได้มีเสน่ห์มาก
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ พ่อหนุ่มน้อย”
หยางเสี่ยวเทียนพลันสะดุ้ง ด้วยใบหน้านวลผ่องของนางขณะนี้อยู่ห่างกับใบหน้าเขาเพียงหนึ่งฝ่ามือ กระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันหอมหวานของนางพาดผ่าน
ครั้นนางได้มองใบหน้าหยางเสี่ยวเทียนอย่างชิดใกล้ นางถึงประสบพบว่าผิวพรรณของเขาละเอียดอ่อนไร้ที่ติ ดูดีมิต่างจากบุรุษรูปงาม
คงเป็นเพราะ เมื่อคืนเขาดื่มสุรามากกระมัง ผิวพรรณถึงได้นวลใสถึงเพียงนี้