ตอนที่แล้วบทที่ 12 วิหารอมตะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14 แปลเปลี่ยนพลังวิญญาณ

บทที่ 13 ไฟแห่งวิญญาณ


ควรบอกว่า 'มี' หรือ 'ไม่มี' ดีนะ? ถ้าบอกว่าไม่มี หากท่านผู้พิทักษ์คิดว่าเมืองใต้ดินที่ใหญ่โตแบบนี้ แต่กลับไม่มีแม้แต่ผู้ศรัทธาในความเป็นอมตะเลย และโกรธขึ้นมาจะทำอย่างไร?

แต่ถ้าบอกว่าเคยมีวิหารอยู่สองแห่ง แต่แห่งหนึ่งถูกทิ้งร้าง กลายเป็นที่เก็บโลงศพ อีกแห่งก็เกือบจะทรุดโทรมแล้ว มีเพียงโครงกระดูกเงินขาวที่เฝ้ายามอยู่ที่นั่น แม้แต่นักบวชก็ไม่มี จะเรียกว่าวิหารได้อย่างไร?

หากท่านผู้พิทักษ์ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ จะคิดหรือไม่ว่าพวกเราไม่ได้ใส่ใจ? แม้แต่ความเชื่อเรื่องความเป็นอมตะยังรักษาไว้ไม่ได้?

แท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะตัวเขาเองไม่ใส่ใจ แต่ด้วยความพิเศษของวิหารเทพผู้ไม่ตาย ผู้ที่ศรัทธาจะต้องเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ส่วนสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตายนั้นจะได้รับการประทับตราวิญญาณโดยตรง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวิหารแต่อย่างใด

เมื่อประตูเชื่อมต่อโลกปิดตัวลง จักรวรรดิแห่งความไม่ตายก็ไม่ปรากฏในโลกนี้มานานกว่าพันปีแล้ว ไม่ว่าความเชื่อจะแรงกล้าเพียงใด ก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงตามการจากไปของผู้คนในแต่ละรุ่น จนสุดท้ายก็สูญหายไป

แต่สาเหตุหลักที่สุดคือ วิหารแห่งความไม่ตายในอดีตนั้นเป็นไปตามยถากรรมเกินไป ผู้ที่ศรัทธามันไม่ได้รับรางวัลอะไร และในทางเดียวกันผู้ที่ดูหมิ่นมันก็ไม่ถูกลงโทษอะไรเช่นกัน ตราบใดที่ไม่ได้ยืนด่าทอหรือถ่มน้ำลายหน้าประตู ตราบใดที่ยืนอยู่ห่างๆ แม้จะด่าทออย่างรุนแรง เช่น 'ผู้ที่ศรัทธาในสิ่งที่ไม่ตาย ช่างโง่เขลา--' ก็จะไม่มีใครสนใจท่านแม้แต่น้อย

แน่นอน การกล่าววาจาก้าวล่วงจักรพรรดินั้นไม่สามารถทำได้ ใครกล้ากล่าววาจาให้ร้ายราชันย์แห่งวิญญาณและความเป็นอมตะ ผู้ปกครองผู้ไม่ตาย แม้จะหนีไปต่างมิติก็ไม่อาจหนีได้ ยังจะมีคนไล่ล่าพวกเขาไปทุกแห่ง

การปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมนี้ ต่างจากหุบเขาปีศาจอย่างมาก ปีศาจพวกนั้นในหุบเขาปีศาจ ชอบล่อลวงจิตใจมนุษย์ที่สุด เพียงแค่ศรัทธาพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง สาวงาม ตำแหน่ง หรือพลังอำนาจ ก็สามารถแลกเปลี่ยนได้ทั้งนั้น

เมื่อพันปีก่อน ฟิลินยังเคยได้ยินเกี่ยวกับลัทธิที่เรียกว่าแสงแห่งชีวิต ลัทธินี้มีการล่อลวงจิตใจรุนแรงกว่า แต่เมื่อประตูเชื่อมต่อโลกปิดตัวลง พวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน

ในชั่วพริบตานั้น ฟิลินก็ตัดสินใจที่จะตอบว่า 'มี' เพราะความจริงก็คือมี ถึงแม้จะเสื่อมโทรมไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา ในทางกลับกัน การหลอกลวงท่านผู้พิทักษ์ถือเป็นบาปใหญ่

"มีเจ้าข้า มีวิหารหนึ่งอยู่ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้" ฟิลินส่งพิกัดไปด้วยจิต

นี่คือข้อดีของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตาย สามารถสื่อสารกันโดยตรงในระดับจิตวิญญาณ สำหรับสิ่งที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูด เพียงแค่ส่งผ่านความนึกคิดก็เพียงพอแล้ว

หลังจากได้รับพิกัด อังเกอร์เดินนำซอมบี้น้อยไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ

ตำแหน่งที่อังเกอร์อยู่ก็เป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือเช่นกัน แต่เป็นถ้ำที่แยกย่อยออกไป แทบไม่มีผู้คนผ่านไปมา แต่มุมตะวันออกเฉียงเหนือที่วิหารเทพผู้ไม่ตายตั้งอยู่ เป็นบริเวณทางลาดใกล้ๆทางเข้าสู่เมืองใต้ดิน ซึ่งถือเป็นเขตเมืองหลัก

เมื่ออังเกอร์มาถึงที่นี่ ก็พบว่าที่นี่เงียบสงัดเช่นกัน แม้แต่วิญญาณก็ไม่มี พื้นดินเต็มไปด้วยมอสส์ เปียกลื่นจนเดินยาก

เดินตามทางไปข้างหน้า ผ่านเข้าไปในบริเวณวิหาร ก็จะเห็นว่ามอสส์และเศษซากบนพื้นหายไปจนหมด ผิวพื้นมีร่องรอยถูกกวาด สะอาดเอี่ยมอ่อง

ยังมีเสียงกวาดพื้นดังมาจากที่ไกลๆ ฟุดๆ

อังเกอร์เดินตามเสียงไป เมื่อมาถึงมุมหักเลี้ยว ก็เห็นโครงกระดูกสีขาวเงินกำลังถือไม้กวาดกวาดพื้นอยู่ พอรับรู้ถึงการมาถึงของอังเกอร์ ดวงตากลวงโบ๋ของโครงกระดูกสีเงินขาวก็เหลือบ มองมาตามทาง

ซอมบี้น้อยชะงักไปทั้งตัว รีบวิ่งหนีไปซ่อนข้างหลังอังเกอร์ในทันที

อันที่จริง โครงกระดูกสีเงินขาวนี้แทบจะเป็นโครงกระดูกที่แข็งแกร่งที่สุดที่อังเกอร์เคยพบมาในช่วงพันปีนี้ มีความเข้มข้นของจิตวิญญาณด้อยกว่าฟิลินเพียงเล็กน้อย มันสามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตายระดับต่ำได้

แต่อังเกอร์กลับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันใดๆ เลย รวมถึงตอนเผชิญหน้ากับฟิลินด้วย จำได้ว่าโครงกระดูกของเขาเป็นเพียงโครงกระดูกที่เก็บมาจากวิหารสงบจิต ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจัง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับใด

แต่ในเมื่อโครงกระดูกสีเงินขาวก็ไม่สามารถสร้างแรงกดดันให้เขาได้ นั่นแสดงว่าจิตวิญญาณของโครงกระดูกสีเงินขาวไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเขามากนัก

โครงกระดูกสีเงินขาวแค่ชายตามองครู่หนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าลงไปกวาดพื้นต่อ งานเดิมๆ นี้ มันทำซ้ำมาตลอดหนึ่งพันปีแล้ว และอาจจะยังคงทำซ้ำๆ ต่อไปเรื่อยๆ

ไม่มีไม้กวาดใดจะทนต่อการขัดสีนานนับพันปีได้โดยไม่เสียหาย เว้นแต่มันจะซ่อมแซมตัวเองได้ และเมื่อมองดูใกล้ๆ ในแต่ละครั้งที่ไม้กวาดถูกลากผ่านพื้น ก็มีควันสีดำฟุ้งกระจายออกมาจากไม้กวาด นั่นก็คืออาวุธเกราะจิตวิญญาณของโครงกระดูกเงินขาว

อาวุธเกราะจิตวิญญาณเป็นอาวุธที่สร้างขึ้นจากพลังจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตายชั้นสูง มันมีคุณสมบัติในการเติบโตด้วยตนเอง และสามารถซ่อมแซมได้เองเมื่อเสียหาย

พูดแบบนี้แล้ว เคียวและจอบของอังเกอร์นั้นก็ใช้มานานกว่าพันปีแล้วเหมือนกัน

เมื่อเห็นว่าโครงกระดูกสีเงินขาวไม่สนใจพวกเขา อังเกอร์จึงไม่ได้ใส่ใจมัน เดินเที่ยวชมภายในวิหารไปเรื่อยๆ ตามที่เนเกริสบอกคือให้หาวิหารของผู้ไม่ตาย ดูว่าจะสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายจิตวิญญาณได้หรือไม่ เพื่อที่จะได้ทำนายสถานการณ์ของเขาได้ แต่จะเชื่อมต่อยังไงกันนะ?

หลังจากเดินวนไปรอบๆ แล้วก็ยังไม่เจอร่องรอยใดๆ อังเกอร์จึงเรียกหาเนเกริสอีกครั้ง

เนเกริสเพิ่งฉายภาพเข้าไปในจิตวิญญาณของอังเกอร์ ก็อดที่จะบ่นไม่ได้ "ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีใครที่รู้ชื่อของข้าแล้ว จะเรียกใช้ข้าเหมือนกับว่าข้าเป็นวิญญาณรับใช้ของเขา ต่อไปนี้ข้าจะไม่มอบชื่ออันศักดิ์สทธิ์ของข้าเป็นรางวัลอีกแล้ว โครงกระดูกน้อย ข้าไม่ใช่วิญญาณพ่อบ้านของเจ้านะ"

"อ้อ วิหาร ไม่มี เครือข่ายจิตวิญญาณ" อังเกอร์ไม่สนใจคำบ่นของเนเกริส

เนเกริสถอนหายใจ ในสมัยที่เป็นมังกรทองสำริดและเทพแห่งความรู้ บรรดาผู้ที่มีสิทธิ์รู้ชื่อเทพของเขานั้น ต่างก็พากันหวั่นกลัว เคารพนบนอบสุดๆ คิดใคร่ครวญอย่างมากกว่าจะกล้าถามคำถามออกมาสักคำ

คำถามที่ถาม ไม่ใช่ก็เพื่อศึกษากฎการทำงานของมิติ ก็เพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคด้านจุดบกพร่องของเวทย์มนต์ จะมีที่ไหนกันที่เหมือนอังเกอร์ คำถามที่ถามแต่ละครั้ง ล้วนเป็นสิ่งที่ง่ายๆ ทั่วไป ทำให้รู้สึกเหมือนถูกปฏิบัติราวกับเป็นวิญญาณผู้รับใช้

แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ กฎที่ตัวเองตั้งไว้ ถึงจะต้องคุกเข่าทำก็ยังต้องทำให้ได้

เนเกริสเหลือบมองไปรอบๆ เล่าด้วยความจนใจ "ไม่มีผู้ศรัทธา แล้วมันจะมีเครือข่ายจิตวิญญาณได้ยังไง แม้แต่ไฟแห่งวิญญาณบนแท่นบูชายังดับไปแล้ว เจ้าไปจุดไฟแห่งวิญญาณก่อน แล้วค่อยไปตามหาผู้นับถือศาสนาที่ศรัทธาเถอะ"

"อืม" อังเกอร์รับคำ

เนเกริสเข้าใจนิสัยของอังเกอร์ดี เลยพูดอย่างหมดหวัง "เจ้าอยากจะถามว่าจะจุดไฟแห่งวิญญาณยังไงใช่ไหม?"

"ใช่ครับ พรุ่งนี้ข้าจะถาม" อังเกอร์เป็นโครงกระดูกที่เคารพกฎมาก

"ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้หรอก เราจะสอนเจ้าเอง แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหมือนฝุ่นผง เจ้ายังจะทำให้เป็นในหลายวันเชียวหรือไง เจ้ามีความอดทน แต่เราไม่มีหรอกนะ" เนเกริสยอมแพ้ เทพแห่งความรู้ผู้สง่างาม กระทั่งเรื่องพื้นๆ แบบนี้ ยังจะต้องตอบเป็นหลายวัน มันเป็นการดูถูกสถานะเทพของเขาชัดๆ

ภายใต้คำแนะนำของเนเกริส อังเกอร์ได้จุดไฟแห่งวิญญาณขึ้นบนแท่นบูชา

เมื่อพลังงานจิตวิญญาณเล็กน้อยถูกป้อนเข้าไป ไฟแห่งวิญญาณก็ลุกโชนขึ้น เกือบจะในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ไฟแห่งวิญญาณลุกไหม้ เสียงไม้กวาดฟุดๆ ที่ดังก้องในวิหารกลับหยุดลงกะทันหัน โครงกระดูกสีเงินขาวรีบเดินเข้ามา คุกเข่าลงอย่างนอบน้อมที่สุดตรงหน้าแท่นบูชา เริ่มกราบไหว้

กะโหลกศีรษะโลหะกระทบกับพื้น ส่งเสียงดังกึกกัก ทุกครั้งที่กราบไหว้ ไฟแห่งวิญญาณเล็กๆ เหมือนเปลวไฟก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง

อังเกอร์ชี้ไปที่โครงกระดูกสีเงินขาว พูดกับเนเกริสว่า "ผู้ศรัทธา?"

"นี่ไม่ใช่ผู้นับถือศาสนาหรอก ถือว่ามันเป็นนักบวชแทนละกัน ราชาของพวกเจ้าช่างโง่เขลา ถึงได้ให้โครงกระดูกสีเงินขาวเป็นนักบวช เขาไม่รู้หรือไงว่านักบวชของเขาชอบหลอกลวงโครงกระดูกโง่ๆ จะหลอกใครได้ล่ะ?" เนเกริสหัวเราะเยาะ

"คนแบบไหนถึงจะเป็นผู้นับถือศาสนาได้?" อังเกอร์ถาม

"ใครก็ได้ ผู้นับถือศาสนาไม่ได้อยู่ที่เป็นคนแบบไหน แต่อยู่ที่ 'ความเชื่อ' ถ้าขาดความเชื่อที่บริสุทธิ์ ต่อให้มีคนมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ แต่เจ้าอย่าได้ไปตามหาเองเชียว หากคนอื่นมองเห็นเจ้าที่เป็นแค่โครงกระดูก ก็คงระแวงแล้ว แล้วจะมีใครมาศรัทธาเจ้าได้ล่ะ? เจ้าลองปลอมตัวดูหน่อย หรือไม่ก็ขอให้คนอื่นช่วยแทนแล้วกัน"

เนเกริสถือว่าได้สอนแบบจับมือทีละขั้นตอนแล้ว แม้แต่ตอนเผยแพร่ความเชื่อของตัวเอง เขาก็ไม่เคยกระตือรือร้นขนาดนี้มาก่อน

อังเกอร์คิดสักพักหนึ่ง ก่อนจะสวมหมวกไล่กาของเขาลงบนหัว หมวกไล่กาเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์โดยเฉพาะสำหรับขู่นก มันสามารถแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้สองสามอย่าง เช่น นกอินทรีย์ หรือมนุษย์

อุปกรณ์เวทมนตร์ระดับต่ำแบบนี้มีประสิทธิภาพไม่ค่อยดีนัก ถ้ากำลังจิตใกล้เคียงกัน ก็จะมองทะลุปรุโปร่งได้ในทันที แต่ก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง คือมันสามารถส่งเสียงได้ ซึ่งอังเกอร์เองนั้นพูดไม่ได้ ตอนนี้เขาคุยกับฟิลินก็ต้องใช้จิตวิญญาณสื่อสารกัน

เมื่อเขาแปลงร่างออกมาเป็นผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆคนหนึ่ง อังเกอร์ก็เดินออกมาจากวิหาร เดินไปไม่ไกลเท่าไหร่ ก็พบกับหญิงมีอายุที่มีตัวเป็นคนหัวเป็นวัวหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ (มิโนทอร์) ตัวอ้วนพีท่าทางแข็งแรง อังเกอร์ชี้ไปที่เขา "คนนี้ได้ไหม?"

"เฮอะ พวกมิโนทอร์สมองตาย ถ้านางยอมเชื่อเจ้านะ ข้ายอมเรียนรู้ที่จะคลานเหมือนกิ้งก่าเลย" เนเกริสหัวเราะเยาะ พวกมิโนทอร์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความคิดแบบหัวรั้นหัวแข็ง พวกเขาจะเชื่อเฉพาะรูปปั้นของบรรพบุรุษ การจะให้พวกเขาเชื่อเรื่องสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้นั้น ยากกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก

อังเกอร์หยิบคริสตัลวิญญาณที่ฟิลินมอบให้ก่อนหน้านี้เป็นค่าธรรมเนียม ออกมาหนึ่งเม็ด กลืนกินมันเข้าไปจนหมด เก็บไว้ในเครื่องประดับหนังที่ข้อมือ แล้วเสกถุงอาหารออกมาถุงหนึ่ง ยกมันไปตรงหน้าป้ามิโนทอร์ผู้นั้น "เจ้า เชื่อเรื่องความไม่ตายหรือไม่?"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด