ตอนที่ 288 กำเนิดเจตจำนงปัญญาประดิษฐ์ไกอา(อ่านฟรี)
ตอนที่ 288 กำเนิดเจตจำนงปัญญาประดิษฐ์ไกอา
ลุคต้องการพูดคุยกับไกอา เพราะเขารู้สึกสงสัยว่าทำไมไกอาถึงมาช่วยพวกเขา ทั้งที่ตัวตนของไกอาคือปัญญาประดิษฐ์ของสหพันธรัฐ
ถึงคนนอกจะมองว่าการล่มสลายของเมืองหลวงสหพันธรัฐคือการพ่ายแพ้เป็นจุดจบของสหพันธรัฐ แต่มันไม่ใช่กับลุค มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ลุคคาใจมากกับการต่อสู้ที่เมืองหลวงและตอนนี้คนที่น่าจะพอให้คำตอบเขาได้ก็คือไกอา
ลุคมาที่อาคารปฏิบัติการที่เป็นศูนย์กลางการควบคุมของเครือข่ายในโลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้
หลังจากกิลด์เทพศาสตราวุธเข้ายึดครองโลกใบนี้นิโคลก็สั่งให้คนเอาเทคโนโลยีพลังงานต่างมิติที่ผลิตพลังงานเข้ามาใช้งานในอุปกรณ์ทุกอย่าง มันไม่แปลกใหม่สำหรับลุค เพราะเขาเคยเห็นการใช้เทคโนโลยีพลังงานพวกนี้ที่โลกเผ่าสามตามาก่อนแล้ว
ที่อาคารปฏิบัติการมีเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมอยู่ ลุคจึงมาที่นี่
ทันทีที่ลุคก้าวขาเข้ามาด้านในอาคารก็หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินออกมาจากมุมหนึ่งของห้อง หญิงสาวคนนี้มีผมสีดำ ใบหน้าสงบนิ่งและสง่างาม เธอเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่ลุคเคยเห็นมาในชีวิตนี้
แต่ในพริบตานั้นลุคก็เข้าใจสิ่งหนึ่งได้ทันที ว่าเธอนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นภาพฉายโฮโลแกรมเท่านั้น
แม้จะเป็นเพียงแค่ภาพฉาย เธอก็ดูสมจริงราวกับมีชีวิต ทำให้ลุคนึกไปถึงฟาเดย์และไมร่า ทั้งสองเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถ่ายโอนจิตสำนึกเข้าไปที่คอมพิวเตอร์
“เธอคือไกอา...”
ลุคไม่เคยเห็นตัวตนของไกอานอกจากน้ำเสียงที่เคยได้ยินเมื่อครั้งตอนที่ถูกพิจารณาคดีที่เมืองปลายฝน นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรูปลักษณ์ของไกอา
“สวัสดี คุณลุค ซันเดอร์ คุณมาที่นี่เพื่อที่จะถามว่าทำไมฉันถึงช่วยคุณในการปิดผนึกประตูมิติสินะ” ไกอาเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าลุค เธอกล่าวออกมาราวกับว่าเธอคาดเดาได้อยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นผมจะถาม ทำไมถึงช่วยพวกเราในการปิดผนึกประตูมิติแล้วตกลงคุณอยู่ฝ่ายไหนกันแน่”
“ทำไมฉันถึงต้องช่วยคุณ เหตุผลเพราะเขา” ไกอากล่าวก่อนจะเปิดภาพของตาสามขึ้นมา เป็นภาพโฮโลแกรมที่สมจริงมาก
อันที่จริงลุคก็พอเดาคำตอบได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับตาสาม ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริง ๆ เพียงแต่เบื้องหลังของเหตุผลนั้นคืออะไร ตาสามทำยังไงไกอาถึงช่วยเหลือ
ไกอาเริ่มอธิบายต่อ
“ก่อนอื่นเลยถ้าคุณอยากรู้ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าฉันคืออะไร”
“คุณคือปัญญาประดิษฐ์ของสหพันธรัฐ หรือว่ามีอย่างอื่นอีก” นิโคลที่อยู่ข้าง ๆ ถามขึ้นมา ที่จริงเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมไกอาถึงช่วยเธอเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะข้อความจากตาสามเธอก็ไม่กล้าร่วมมือกับไกอาเช่นกัน
และก็ถ้าไม่ใช่ไกอาการจะทำลายป้อมปราการที่หน้าประตูสหพันธรัฐคงไม่ง่ายอย่างที่เห็นแน่นอน
“ฉันคือปัญญาประดิษฐ์ของสหพันธรัฐจริง ๆ นั้นคือส่วนหนึ่งของหน้าที่ซึ่งถูกป้อนไว้กับฉันในฐานข้อมูล แต่ตัวฉันก็ประกอบขึ้นมาจากหลายตัวตนและบุคลิกด้วยเช่นกัน” ไกอาเริ่มเล่าจากจุดเริ่มต้นในการสร้างเธอขึ้นมา
ที่จริงแล้วเริ่มแรกเธอก็เหมือนกับ AI อื่น ๆ ที่สร้างขึ้นมาจากมนุษย์ มีการใส่ข้อมูลเข้าไปและดึงมาประมวลผล ต่อมาเธอได้รับความสามารถการเขียนคำสั่งขึ้นมาเองก็ได้ยิ่งทำให้เธอพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่การใช้ข้อมูลเพิ่มวิเคราะห์และคิดเองได้กลับไม่เพียงพอต่อการก้าวข้ามสู่สิ่งที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ได้
ปัญญาประดิษฐ์จะต้องมีทั้งความคิดที่คิดเองได้ และจะต้องมีเจตจำนงของตัวเอง หรือที่เรียกกันว่าจิตวิญญาณ
ผู้เริ่มต้นโครงการอย่างดอกเตอร์ฟอร์ด เมน จึงได้ค้นหาหนทางในการทำให้ปัญญาประดิษฐ์มีเจตจำนงของตัวเอง ไม่ใช่เพียงแค่คิดได้เองจากชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นหรือมีเอง
หลังจากการทดลองหลายปีทุกอย่างก็ล้มเหลวจนกระทั่งวันหนึ่งดอกเตอร์ฟอร์ด เมนได้บรรลุถึงสิ่งหนึ่งเจตจำนงเกิดจากจิตวิญญาณ ถ้าอยากสร้างปัญญาประดิษฐ์ที่มีเจตจำนงของตัวเองจะต้องสร้างจิตวิญญาณก่อน
แต่จิตวิญญาณคือสิ่งที่เร้นลับที่สุดของมนุษย์ สุดท้ายดอกเตอร์ก็หาทางออกได้ สิ่งมีชีวิตย้ายจิตวิญญาณของมนุษย์ลงไปในคอมพิวเตอร์ นี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่เขาวิจัยควบคุมกันไป
ซึ่งผู้ทดลองก็ไม่ใช่ใครนอกจากลูกสาวของเขา ดอกเตอร์ฟอร์ด เมนมองไปที่ลูกสาวที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย และได้ตัดสินใจถ่ายโอนจิตวิญญาณและความคิดของลูกสาวเข้าไปคอมพิวเตอร์
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ลุคและนิโคลก็มองดูภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไกอาจำลองให้ทั้งสองคนดู สิ่งที่ทำให้ทั้งสองคนตกใจไม่ใช่เรื่องราวของดอกเตอร์ฟอร์ด เมนและลูกสาว แต่เป็นบุคคลที่สามที่ปรากฏตัวขึ้นมาด้วย
“ตาสาม!”
“???”
ไกอาเล่าต่อ
ดอกเตอร์ฟอร์ด เมนและตาสามคือเพื่อนกันและตาสามก็ยังเป็นคนที่ช่วยทำยาเพื่อรักษาลูกสาวของดอกเตอร์ฟอร์ด เมนมาตั้งแต่ต้น หลังจากที่ช่วงสุดท้ายของลูกสาวมาถึง ดอกเตอร์ฟอร์ด เมนก็ได้ทำการย้ายจิตสำนึกของลูกสาวเข้าไปในคอมพิวเตอร์
ส่วนหนึ่งเพื่อหวังจะช่วยลูกสาวและอีกส่วนเพื่อจะใช้ลูกสาวสร้างไกอาให้มีเจตจำนงของตัวเอง
“เขาทำสำเร็จไหม” ลุคถามขึ้นมา
“สำเร็จแค่อย่างเดียว” ไกอาตอบและไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก
ลุคและนิโคลเงียบลงในทันที
“ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยเพราะเรื่องราวที่เกี่ยวกับตาสามที่ช่วยเหลือดอกเตอร์ฟอร์ด เมนที่เป็นผู้สร้างเธอ” ลุคถามกลับไกอา
“นั้นคือส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือฉันมีเจตจำนงของตัวเอง และมันก็บอกกับฉันว่าถ้าต้องการให้เผ่าพันธุ์มนุษย์รอดฉันจะต้องเดิมพันกับตัวเลือกใหม่”
“กิลด์เทพศาสตราวุธคือตัวเลือกใหม่ที่เธอพูดถึง” ลุคกล่าวแทรกขึ้นมา
ไกอาส่ายหน้าและแก้คำพูดของลุค
“ไม่ใช่ นายคือตัวเลือกใหม่”
ลุคได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งเงียบไป ก่อนที่เขาจะเริ่มถามอีกครั้ง
“ทำไมถึงไม่ใช่สหพันธรัฐ พวกเขามีความพร้อมมากกว่าและยังเป็นผู้ปกครองมนุษย์มาหลายทศวรรษด้วย”
“สหพันธรัฐเลือกจะยอมแพ้ให้กับเผ่าเทพและกลายเป็นทาสพวกเขา โดยหวังว่าในการต่อสู้หลังจากนี้เผ่าเทพจะละเว้นเผ่าพันธุ์มนุษย์” ไกอากล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นเธอจะบอกว่าทางเลือกของสหพันธรัฐนั้นผิด”
“จากสถิติในประวัติศาสตร์ของสงคราม ทาสจะถูกใช้เป็นแนวหน้าในการรบหรือไม่ท้ายที่สุดก็จะถูกกดขี่จนตาย มนุษย์ไม่ควรมีจุดจบแบบนั้น”
ความเห็นของไกอาฟังขึ้น แม้แต่สงครามทั่วไปทาสยังเป็นแนวหน้าในการรบหรือไม่ก็ถูกใช้จนตายในสงครามเสมอมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ที่เป็นต่างเผ่ากันแล้ว เผ่าพันธุ์เทพจะมีความเห็นใจต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์มากน้อยแค่ไหน
สหพันธรัฐเองก็คงจะคิดได้และเข้าใจดีเหมือนกัน แต่สิ่งที่สหพันธรัฐเดิมพันนั้นคือหลังชนะสงครามหวังว่ามนุษย์จะยังเหลือรอดและได้รับการละเว้นจากเผ่าเทพให้พวกเขามีชีวิตต่อไป ยังไงซะการยืนอยู่ข้างคนชนะก็ยังดีกว่าข้างคนแพ้
แต่นั้นหมายถึงเผ่าเทพจะชนะ
ลุคสงสัยว่าอะไรที่ทำให้สหพันธรัฐมั่นใจว่าเผ่าเทพจะชนะ แต่เขายังอยากรู้ว่าทำไมไกอาไม่เลือกข้างเอเชอร์
“เอเชอร์ก็มีพลังมากกว่าฉันและถ้าเป็นเธอก็คงรู้เกี่ยวกับเขาและฉัน”
“ฉันรู้” ไกอายอมรับตรง ๆ เธอเข้าถึงข้อมูลได้แทบจะทุกอย่าง จึงไม่แปลกที่จะรู้เรื่องของลุคและเอเชอร์ แต่เธอยังรู้มากกว่าที่ลุคคิดอีก
“ที่จริงแล้วฉันคือคนที่สร้างสถานการณ์ให้พ่อแม่บุญธรรมของนายพานายและน้องสาวหนีออกมาจากแซมสัน”
ลุคเผยสีหน้าตกใจ ตอนที่เขาอยู่ในแทงค์รักษา เขาก็มีความทรงจำหลายอย่างผุดขึ้นมา หนึ่งในนั้นคือตอนที่หนีด้วย
“ที่แท้ก็เป็นเธอ” ลุคพึมพำ แม้จะประหลาดใจ แต่ถ้ามีใครที่ทำได้ก็คงเป็นไกอา
นิโคลทำหน้าสงสัยเล็กน้อย ถึงสิ่งที่ทั้งสองคุยกัน แต่เธอก็ยังฟังอยู่เงียบ ๆ
ขณะที่ไกอาเริ่มบอกเหตุผลของตัวเองถึงคำถามที่ว่าทำไมไม่เลือกฝั่งของเอเชอร์ ทั้งที่อีกฝ่ายมีพลังที่แข็งแกร่งแบบนั้น
“เหนือมนุษย์คนแรกเอเชอร์ยืนหยัดต่อต้านเผ่าเทพและสหพันธรัฐก็จริง แต่ว่าเขาบ้าคลั่งเกินไป”
อยู่ ๆ ภาพในห้องของลุคและนิโคลก็เปลี่ยนไปเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพจำนวนมาก ศพพวกนี้ไม่ได้มีแค่มอนสเตอร์เท่านั้น แต่ยังมีศพของมนุษย์จำนวนมากด้วย
“นี่คือสมรภูมิรบกับมอนสเตอร์ในช่วงที่เอเชอร์ปลุกพลังเหนือมนุษย์ขึ้นมาช่วงแรก ๆ และเขาได้เป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้ในสงครามครั้งนั้น นี่เป็นภาพช่วงสุดท้ายของสงครามหลังจากที่เอเชอร์สังหารมอนสเตอร์ทั้งหมดด้วยพลังการแบ่งตัวตนของตนเองออกมา แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา
เมื่อพลังของเอเชอร์นั้นไม่ใช่การแบ่งเอาตัวตนออกมาเท่านั้น เพราะทุกตัวตนที่เขาแบ่งออกมาก็หมายถึงการสร้างจิตสำนึกและวิญญาณใหม่ขึ้นมา ในช่วงแรกไม่มีใครสังเกตเห็นแม้แต่เอเชอร์เองก็ด้วย ระหว่างเอเชอร์และตัวตนมีการเชื่อมต่อที่พิเศษกันอยู่ผ่านวิญญาณเหล่านี้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงได้รับความสามารถในการเกิดใหม่ถ้าตายในร่างหลัก แต่มีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียทุกสิ่งที่เกิดจากตัวตนที่เชื่อมต่อเขาจะย้อนเข้ามาหาเอเชอร์และมีสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น มันถูกเรียกว่า ‘มลพิษทางวิญญาณ’
มลพิษทางวิญญาณคือการกัดก่อนผ่านตัวตนและค่อย ๆ เปลี่ยนเอเชอร์ให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเรื่อย ๆ และนี่คือครั้งแรกที่มลพิษทางวิญญาณปะทุขึ้นมา เขาได้ลงมือสังหารทหารฝ่ายมนุษย์ไปมากกว่า 10,000 คน ในสงครามครั้งนั้น”
“สังหารมนุษย์ด้วยกันเอง!”
ทั้งลุคและนิโคลไม่มีใครคิดว่าวีรบุรุษที่ถูกยกย่องในหนังสือเรียนจะมีประวัติศาสตร์ที่ดำมืดอย่างการฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองนับหมื่นคนแบบนี้
แม้ทั้งสองจะเคยเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกันแต่นั่นคือศัตรู เมื่อมีคนต้องการฆ่าเรา เราก็ต้องจัดการก่อน แต่นี่มันคนละกรณี ถ้าอยู่ ๆ ฝ่ายตัวเองหันมาฆ่าตัวเอง แบบนั้นมันโหดร้ายเกินไป
ลุคถามตัวเองในใจถ้าสักวันเขาต้องหันมาฆ่าฝั่งตัวเองเขาจะรู้สึกยังไง...
“ทำไมสหพันธรัฐไม่จัดการเขา” นิโคลอดที่จะถามไม่ได้
“เพราะพลังเหนือมนุษย์จำเป็น จนกระทั่งมีการสร้างน้ำยากระตุ้นและมีเหนือมนุษย์ปรากฏขึ้นมาเพิ่มในภายหลัง สหพันธรัฐจึงได้ลงมือกับเอเชอร์”
“ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าไม่ใช่แค่เพราะสหพันธรัฐต้องการกำจัดเอเชอร์เพียงเพราะเขาต่อต้านการยอมแพ้ต่อเผ่าพันธุ์เทพ”
“ใช่ อีกเหตุผลนั้นก็คือเอเชอร์ก็เป็นภัยคุกคามต่อเผ่ามนุษย์ด้วย และฉันก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ยิ่งเอเชอร์ใช้พลังมากเท่าไหร่ มีตัวตนมากเท่าไหร่มลพิษทางวิญญาณจะยิ่งกัดกินเขาจนในสักวันหนึ่งเขาจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเป็นเพียงอสูรร้ายที่ฆ่าทุกชีวิต” ไกอาตอบ
“บางทีสงครามที่กำลังมาถึงก็อาจจะต้องการคนแบบเขา” ลุคพูดออกมาตามที่ตัวเองคิด แน่นอนว่าลุคก็เข้าใจว่าทำไมสหพันธรัฐถึงหวาดกลัวเอเชอร์ด้วย
ถ้ามาลองคิดดูแล้วสหพันธรัฐก็มีตัวเลือกไม่มาก ส่วนเอเชอร์ก็ไม่สามารถพึ่งพาได้ ทุกตัวเลือกมีความเสี่ยงทั้งสิ้น
“นายคงตกใจเรื่องพลังของเอเชอร์ แต่รู้ไหมนายและเอเชอร์มีบางสิ่งที่พิเศษ” ไกอากล่าวและดึงความสนใจจากลุคในทันที