ตอนที่ 13 กระหม่อมถูกใส่ร้าย
ตอนที่ 13 กระหม่อมถูกใส่ร้าย
ซูอันกลายเป็นโอรสบุญธรรมของกงเยวี่ยหรูและได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดินี ทั้งยังครองตำแหน่งบรรดาศักดิ์โหวจึงกล่าวได้ว่าสถานะของเขาเป็นหนึ่งเดียวในเมืองหลวง
ด้วยสถานะเช่นนี้ ในต้าซางจึงแทบไม่มีใครกล้ายุ่งกับเขา
แต่ในบทประพันธ์เดิม เขากลับกลายเป็นเหยื่อของความขัดแย้งระหว่างตัวเอกชายเยี่ยเสวียนและราชวงศ์ต้าซาง
ซูอันผู้มีสถานะสูงส่งเพียงเปลือก แต่ภายในแสนอ่อนแอย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีโดยปริยาย
“อันเอ๋อร์ ได้ยินว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนโจมตีและลอบสังหารเจ้า บอกหมู่โฮ่วหน่อยว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ แล้วเจ้าต้องการให้หมู่โฮ่วส่งองครักษ์ไปเพิ่มหรือเปล่า?”
กงเยวี่ยหรูลูบแก้มของซูอันแล้วเอ่ยด้วยความกังวล
เมื่อได้ยินข่าวที่ซูอันถูกบุกโจมตี ไท่โฮ่วทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว ถ้าจักรพรรดินีไม่ได้ส่งถูเซิ่งหนานไปคุ้มครองซูอันก่อน เกรงว่าไท่โฮ่วจะลงไปปกป้องเองเสียแล้ว
บัดนี้กองกำลังที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของไท่โฮ่วก็เริ่มสืบข่าวเยี่ยเสวียนแล้วเช่นนั้น
สำหรับผู้ที่กล้าทำร้ายโอรสบุญธรรมของนางย่อมจะได้รับความชิงชังถึงกระดูกดำ
“ขอบพระทัยหมู่โฮ่ว แต่ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้พ่ะย่ะค่ะ”
ซูอันคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงเลือกปฏิเสธ
“เจ้าเด็กคนนี้เกรงใจหมู่โฮ่วอีกแล้ว” ไท่โฮ่วตบหลังมือของเขาเบาๆ พลางเอ่ย “เอาล่ะ แม้ว่าเจ้าจะเป็นท่านโหว แต่รอบกายไม่มีใครที่ใช้งานได้เลย ดังนั้นข้าจะมอบหน่วยบุปผามรณะให้เจ้า” ไท่โฮ่วยื่นป้ายสลักลวดลายแปลกตาแก่เขา จากนั้นจดจ้องซูอันด้วยนัยน์ตาแน่วแน่ “คราวนี้เจ้าห้ามปฏิเสธ”
หน่วยบุปฝามรณะคือองค์กรนักฆ่าระดับแนวหน้าของต้าซางซึ่งผสมผสานการลอบสังหาร ข่าวกรองแม้กระทั่งการค้าเข้าด้วยกันในหนึ่งองค์กร นอกจากนี้ยังคอยควบคุมกองกำลังเบื้องล่างมากมาย แต่ไม่มีใครคิดว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังองค์กรนี้คือไท่โฮ่วแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน
ซูอันแสร้งแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย “ขอบพระทัยหมู่โฮ่ว”
เขาต้องการองค์กรแบบนี้มาไว้ในมือจริงๆ เพราะการสืบหาความเป็นไปของตัวเอกได้ทันท่วงทีนั้นสำคัญมาก
ถ้าเขาต้องเริ่มก่อตั้งหน่วยข่าวกรองเองตั้งแต่ต้น ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาและความพยายามมากแค่ไหนและผลลัพธ์อาจไม่ดีเท่าที่หวัง
ทว่าบัดนี้ไท่โฮ่วนำองค์กรดังกล่าวมาวางไว้ในมือเขาโดยตรง
เขานั่งสนทนาเรื่องชีวิตประจำวันทั่วไปเป็นเพื่อนไท่โฮ่วอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงทูลลา
เมื่อเขาไปที่พระตำหนักไท่หยวน จักรพรรดินีเพิ่งเสร็จสิ้นการฝึกตน
“พูดมาเลยว่าเจ้ามีธุระใด?”
ซูรั่วซียังอยู่ในอาภรณ์เหมือนคราวที่แล้ว แสดงให้เห็นความสง่างามในความเกียจคร้าน ฝ่าเท้าหยกขาวเหมือนหิมะแตะที่พื้นคล้ายย่างก้าวเข้าสู่หัวใจของผู้คน แต่ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความคิดของซูอันเปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง
เพราะในอดีตซูอันมักจะถูกซูรั่วซีรังแก เขาจึงมีแต่ความหวาดกลัวต่อนางและไม่เคยสังเกตเห็นความงามของซูรั่วซีเลย หลังจากเขาปลุกความทรงจำขึ้นมาและได้พบกันครั้งแรก เขาก็มัวแต่กังวลเรื่องของเยี่ยเสวียนจึงไม่มีความตั้งใจที่จะสังเกต ทว่าตอนนี้จิตใจของเขาได้ผ่อนคลายลงบ้าง เขาจึงมองนางแตกต่างออกไปจากเดิม
เส้นผมดำขลับแผ่สยายเหมือนหมึกอยู่บนแผ่นหลัง ผิวกายละเอียดอุ่นกว่าหยก ดูเหมือนว่าจะมีความแวววาวเป็นประกายอยู่ด้วย ช่วงคิ้วและดวงตาที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมทว่าก็งดงามโดยธรรมชาติอยู่แล้ว กล่าวสั้นๆ คงมีแค่คำว่าไร้ที่ติให้นาง
ทว่าต่อให้อยู่ในอาภรณ์สบายๆ แต่อารมณ์ของนางยังคงสูงส่งและเย่อหยิ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนสตรีในฉลองพระองค์มังกรอยู่เสมอ
ราวกับว่าความงามทั้งหมดในโลกมารวมอยู่ที่นาง มิฉะนั้นจะมีสตรีเช่นนี้กำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร
อาจเพราะอยู่ในห้องนอนจึงแต่งกายสบายๆ มากกว่ายามอยู่ในท้องพระโรง เผยให้เห็นทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิที่แม้จะโผล่ออกมาเพียงครึ่งเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนจินตนาการถึงทัศนียภาพทั้งหมดได้
ความงามอันเป็นนิรันดร์ ความงามล่มเมืองอย่างแท้จริง
ไม่รู้ว่าเหตุใดซูอันจึงนึกถึงคำกล่าวนี้ขึ้นมา
ซูรั่วซีเห็นการจ้องมองที่แทบไม่ปกปิดของซูอันแล้วจึงนั่งตัวตรง จากนั้นปรับกระโปรงให้คลุมทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิอันเย้ายวนนั้นเสีย
เหตุใดวันนี้เสี่ยวอันจื่อจึงกล้านัก
เมื่อพูดถึงความเขินอายแล้วนางไม่มีความรู้สึกนั้นมากนัก อีกทั้งนางไม่สามารถเขินอายต่อเสี่ยวอันจื่อได้ เพียงแต่รู้สึกประดักประเดิดไปบ้างเท่านั้น
เพราะหลังจากได้ขึ้นครองราชย์แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้ามองนางตรงๆ เช่นนี้
“อะแฮ่ม ทูลฝ่าบาท เป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลจี้พ่ะย่ะค่ะ” ซูอันได้สติแล้วรีบดึงสายตากลับลงมาที่พื้นทันที
เขาเผลอทำตัวประมาทเพราะช่วงนี้สนุกกับเยี่ยหลีเอ๋อร์มากไปหน่อย
ส่งผลให้สมองของเขาแทบจะเต็มไปด้วยความคิดขยะ
ในฐานะขุนนางตงฉิน เขาจะมีความคิดพลิกฟ้าและครองบัลลังก์ได้อย่างไร
ไม่ควรเลย สิ่งนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
การร่ำสุราเคล้านารีทำให้คนเลอะเลือน!
เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้จะเลิกดื่ม!
“ตระกูลจี้?” จักรพรรดินีมองซูอันพลางเอ่ย “ตระกูลจี้ที่ถูกเจ้าวางแผนใส่สินะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ซูอันไม่แปลกใจเลยที่จักรพรรดินีรู้เรื่องนี้ เพราะเมื่อเขาไปพบจี้ซื่อหลิน เขาไม่ได้ปิดบังถูเซิ่งหนาน ถึงแม้ว่าถูเซิ่งหนานไม่ทราบรายละเอียดเชิงลึกก็ตาม
แต่ด้วยสติปัญญาของจักรพรรดินีจึงเป็นเรื่องง่ายที่นางจะเดาว่าซูอันคือผู้บงการเบื้องหลัง
อืม แม้ว่าเขาตั้งใจเปิดเผยเบาะแสให้จักรพรรดินีเห็นก็ตาม แต่ถูเซิ่งหนานยังต้องได้รับการฝึกฝนและสอนให้จริงจังกว่านี้
นางยังเซ่อซ่าและหลอกถามได้ง่ายเกินไป
ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะปิดบังจักรพรรดินี แต่เขายังต้องการพื้นที่ส่วนตัวบ้าง
“ตระกูลจี้สมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมาร นี่คือการละเมิดกฎหมายและข้อบังคับของแคว้นเรา เป็นภัยบ่อนทำลายแคว้น ส่วนตระกูลเสิ่นได้ก่อตั้งกลุ่มลับเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว สมควรถูกปราบปรามพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ปลูกฝังมารถูกราชวงศ์ต้าซางออกกฎหมายปราบปรามขั้นสูง เพราะวิธีการของพวกเขานั้นเลวร้ายสุดๆ
พวกลัทธิมารฝึกตนได้ว่องไวกว่าเพราะใช้ทางลัดและมีจิตใจทะเยอทะยาน อาจเป็นเรื่องยากที่จะก้าวไปสู่ระดับบรรลุวิถี แต่ตราบใดที่มีทักษะและแรงผลักดันมากพอ การก้าวเข้าเขตแดนจื่อฝู่หรือมิ่งตานนั้นไม่ยากเลย
มีแม้กระทั่งผู้ปลูกฝังมารทำการสังเวยเลือดให้กับสิ่งมีชีวิตหลายร้อยล้านชีวิตเพื่อบรรลุหยวนเสินในก้าวเดียว เพียงแต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกทำลายล้างโดยผู้ฝึกตนระดับหยวนเสินที่ทรงพลังของนิกายอื่น
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่ราชวงศ์ต้าซางจะสถาปนาขึ้นมา
ตั้งแต่นั้นมาลัทธิมารก็ถูกผู้ฝึกตนจากนิกายอื่นต่อต้านและร่วมกันไล่ล่า
จนกระทั่งการสถาปนาราชวงศ์ต้าซาง จักรพรรดิไท่จู่ได้นำทัพไปกวาดล้างลัทธิมารในเจ็ดสิบสองเมืองโดยรวมพลังกับนิกายอื่นเพื่อเอาชนะลัทธิมาร
ณ จุดนี้ลัทธิมารถูกกวาดล้างแตกพ่าย แม้จะยังมีความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่เป็นอันตราย กระนั้นในเมืองหลวงก็มีร่องรอยของลัทธิมารน้อยมาก เพราะโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาจะถูกปราบปรามทันทีที่ปรากฏตัว
ความจริงแล้วการสมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมารเป็นการกระทำส่วนตัวของบุตรชายคนโตตระกูลจี้ และเป็นประเด็นสำคัญในเส้นเรื่องเดิมเพื่อให้เยี่ยเสวียนหยิบยกเป็นข้ออ้างในการช่วยจี้ซื่อหลินกำจัดพี่ชาย ตอนนี้ซูอันหยิบยกขึ้นมาเล่นงานตระกูลจี้ทั้งหมด เพราะถึงอย่างไรครอบครัวก็เป็นหนึ่งเดียว จึงไม่สำคัญว่าจี้ซื่อหลินจะแอบทำโดยที่ครอบครัวไม่สนับสนุนหรือเปล่า
“โอ้ หมายความว่าเจ้าทำเพื่อข้าหรือ?” ประกายแสงแปลกๆ แวบขึ้นมาในดวงตาของซูรั่วซี
ต้าซางคอยป้องกันลัทธิมารด้วยความเข้มงวดเสมอมา เพราะอุดมการณ์ของลัทธิมารคือโค่นล้มต้าซาง ทำให้แผ่นดินกลับคืนสู่สภาวะแห่งความโกลาหลและการแบ่งแยกดินแดน จึงเป็นศัตรูโดยธรรมชาติต่อต้าซาง
“เพราะกระหม่อมจงรักภักดีต่อฝ่าบาทและพร้อมอุทิศชีวิตถวายพระองค์ไปจนวันตายพ่ะย่ะค่ะ” ซูอันพูดเสียงดังลั่น และใครก็ตามที่มองเขาจะคิดว่าเขาเหมือนขุนนางตงฉินมาก
หงเสาแอบแบะปากใส่เขา วันนี้ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์แสดงได้จริงจังนัก
ทั้งภักดีทั้งอุทิศชีวิต เลือกคำได้โดนใจเหลือเกิน
“แล้วเจ้าไม่ได้ทำเพื่อหลี่จื่อซวงหรอกหรือ?” จักรพรรดินีเลิกคิ้วและแสดงรอยยิ้มที่ไม่สามารถจำกัดความได้ออกมา
“กระหม่อมถูกใส่ร้าย!” ซูอันตกใจมากแล้วรีบร้องเรียนหาความเป็นธรรม “กระหม่อมอุทิศตนให้บ้านเมือง แล้วจะเป็นคนหมกมุ่นอยู่กับตัณหาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ซูอันผู้นี้มีความภักดีและกล้าหาญ เขาจะถูกล่อลวงด้วยสาวงามได้อย่างไร แม้ว่าหลี่จื่อซวงจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่เขายอมเสียสละสาวงามเพื่อทำการใหญ่ได้เสมอ
หมกมุ่นอะไรกัน
ช่างเป็นการใส่ร้าย เป็นการสร้างข่าวลือทำลายชื่อเสียง!