ตอนที่ 119 นางเอกทำตามความสามารถ
พอเห็นเฟิงหยูเตี๋ยจู่ๆก็เริ่มทำสมาธิและปรับลมหายใจ เสี่ยวอวิ๋นหลังก็สับสน สงสัยว่าไอโง่นี่อาจทำอะไร
แต่ตอนนางเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว ราวกับรู้สึกไม่สบายตัว และมีเหงื่อไหลหยด นางก็ตื่นตระหนก
“เจ้าโง่..”
เสี่ยวอวิ๋นหลังยื่นมือไปเขย่าตัว แต่จากนั้นก็คิดว่ามันดีกว่าที่จะไม่รบกวนตอนทำสมาธิและรวมปราณ นางจึงหดมือ
“นี่มันอะไร?”
โชคดี ไม่นาน เฟิงหยูเตี๋ยที่นั่งหลับตาก็พลันเปิดปากและทำท่าเหมือนคนเมา จากนั้นก็กลับเป็นปกติ
“เอิ้ก..”
“..”
เสี่ยวอวิ๋นหลัวมองอย่างุนงง เจ้าโง่นี่เหมือนหญิงสาวมีเสน่ห์ แต่กลับเรอได้น่าเกลียดมาก..
นางบีบจมูกและรอสักพัก พอเห็นเฟิงหยูเตี๋ยลืมตา นางก็ถาม“เกิดอะไรขึ้น?”!
“มีคนพยายามโจมตีเจ้า”เฟิงหยูเตี๋ยสูดหายใจลึก ยืนขึ้นและหัวเราะ“ข้าเลยมาช่วย”
“โจมตีข้า?”
“ใช่..มีคนอยากวางยาเจ้า..แต่มันไม่ใช่พิษ มันคืออะไรนะ?”
ในขณะเดียวกัน เสี่ยวเทียนที่เพิ่งจัดการกับพลังงานของศพในอาณาจักรวิญญาณก็โผล่หัวออกมา กอดอกและอธิบาย“มันคือวิญญาณศพ!ข้าบอกเจ้าไปแล้วไง?ผู้หญิงคนนั้นคือผู้บ่มเพาะผี และอยากฝังวิญญาณศพในตัวของคุณหนูเสี่ยว”
หลังได้ยินที่เสี่ยวเทียนพูด เฟิงหยูเตี๋ยก็รับผลงานและแกล้งทำเป็นนึกได้“โอ้ ใช่ มันคือวิญญาณศพ!เจ้าเกือบโดนวิญญาณศพสิงร่าง”
เสี่ยวอวิ๋นหลัวขมวดคิ้ว นางรู้เกี่ยวกับมัน
มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะมารที่ฝึกฝนวิถีผีชอบใช้ มันต้องหลอมจากศพของผู้บ่มเพาะที่เพิ่งตายหรือกำลังจะตาย คล้ายกับแมลงพิษ แต่มีรายละเอียดแตกต่าง
นางจำได้รางๆว่าผู้อาวุโสสำนักดาวดำบอกว่าถ้าโดนวิญญาณศพสิง ก็ต้องกินเม็ดยากระตุ้นเพื่อสะกดมัน จากนั้นก็ใช้พลังบังคับมันออกจากร่างเอง
แม้มันจะฟังดูง่าย แต่จริงๆแล้ว ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ที่โดนมันสิงจะไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนแรก กลับกัน พวกเขาจะมองมันเป็นพิษ พอถึงเวลีท่ตอบสนอ งสถานการณ์ก็จะไร้หวัง
พอนึกถึงสีหน้าอีกฝ่ายได้ เสี่ยวอวิ๋นหลัวก็แสดงสีหน้าเข้าใจและถาม“เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าปล่อยให้วิญญาณศพสิงเจ้า?”
“ใช่’
“อา..”เสี่ยวอวิ๋นหลัวเบิกตากว้าง รีบหยิบถุงมิติและค้น“ข้าไม่มีเม็ดยากระตุ้น..”
“ข้า..”
เฟิงหยูเตี๋ยอยากพูดว่าไม่เป็นไร แต่เสี่ยวอวิ๋นหลัวคว้าข้อมือนางแล้วลากไป
“ไปหาประมุขหลี่ ขอให้เขาช่วยเจ้า”
เฟิงหยูเตี๋ยรีบดึงมือออกจากเสี่ยวอว็นหลัวและขัด“ข้าไม่เป็นอะไร เราไม่ต้องไปหาเขาหรอก!”
“เจ้าไม่เป็นอะไร?”
“ข้ามีวิธีจัดการกับมัน เจ้าไม่ต้องห่วง”
เฟิงหยูเตี๋ยถอนหายใจและมองนางอย่างจริงจัง“แม่นางเสี่ยว ข้าขอบอกเจ้า อย่าได้คิดจะไปหาหลี่เฟิง!มีบางอย่างผิดปกติกับเขาจริงๆ”
“..”
“หลี่เฟิงวางแผนจะใช้อาคมสังเวยเลือดที่งานชุมนุมมังกรเพื่อยืดชีวิตของเขา”
เสี่ยวอวิ๋นหลัวหดคอและมองรอบๆ ตอนเห็นว่าไม่มีใคร นางก็ขมวดคิ้วและจับหน้าของเฟิงหยูเตี๋ย
“เราคุยกันแล้วไงเมื่อวาน?ประมุขหลี่จะ..”
เฟิงหยูเตี๋ยขัด“จริง แม่นางเสี่ยว ข้าไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับเขา นายน้อยเย่บอกข้าเมื่อวาน”
เสี่ยวอวิ๋นหลัวตกตะลึง“เย่..เย่อันผิง?”
“ใช่’
“สองคนนั้นไปทำงานไม่ใช่เหรอ?เจ้าไปเจอเขาตอนไหน?”
“ข้าเจอเขาเมื่อวานตอนไปเมืองตู้เฉิงเพื่อช่วยนายน้อยเจียง ยังไงซะ นี่ก็ไม่สำคัญ”เฟิงหยูเตี๋ยตบไหล่เสี่ยวอวิ๋นหลัว“เขาบอกข้าเองเมื่อวานว่าหลี่เฟิงอยากใช้การสังเวยเลือดเพื่อยืดอายุ”
“แต่..>”
เสี่ยวอวิ๋นหลัวมองเฟิงหยูเตี๋ยด้วยใบหน้ามึนงง นางลดตาเพื่อคิด จากนั้นก็ถาม“เย่อันผิงอยู่ที่นี่ ที่ตำหนักมังกร?”
“ใช่ แม่นางเพ่ยก็ด้วย สิ่งที่เกิดกับผู้บ่มเพาะเมื่อวานก่อนเป็นฝีมือของทั้งสอง”
เสี่ยวอวิ๋นหลัวนวดขมับด้วยความสับสน แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อ
หลี่เฟิงกับแม่นางเป็นสหายเก่าแก่ที่สู้กับผู้บ่มเพาะมารมาด้วยกัน เขาจะไปยุ่งกับผู้บ่มเพาะมารได้ไง?
แต่ถ้าเย่อันผิงก็พูดด้วย…
ระหว่างหลี่เฟิงกับเจ้าโง่ นางเชื่อหลี่เฟิง
แต่ระหว่างหลี่เฟิงกับเย่อันผิง นางเชื่อเย่อันผิง…
แต่ นางต้องพิจารณา และไม่เมินมัน
เสี่ยวอวิ๋นหลัวอยากให้มั่นใจ“เย่อันผิงพูดจริงๆเหรอ?”
“ใช่”
“แล้ว..แม่นางหลี่ละ?นางรู้ไหม?”
“แม่นางหลี่ อาจจะไม่รู้ คนที่อยากฝังวิญญาณศพใส่ตัวเจ้าคือผู้บ่มเพาะที่ติดตามแม่นางหลี่เมื่อวาน ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับนางตั้งแต่แวบแรก นางถูกหลี่เฟิงส่งมาอยู่ข้างแม่นางหลี่”
“..”
เสี่ยวอวิ๋นหลัวเงียบและกัดริมฝีปาก ขมวดคิ้ว หลังคิด นางก็ถาม“งั้นเราควรทำยังไง?ถ้าประมุขหลี่วางแผนจะลงมือที่งานชุมนุมมังกร.. มันก็สายเกินไปที่จะส่งจดหมายหาผู้อาวุโสสำนักดาวดำและขอให้พวกเขามา”
“นายน้อยเย่บอกว่าเขามีแผน”
“งั้น..ข้าควรทำอะไร?”
“ไม่ต้องทำอะไร แค่แกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิด แต่ระวัง ผู้บ่มเพาะมารได้โจมตีเจ้าแล้ว ซึ่งหมายความว่าเจ้าคือหนึ่งในเป้าหมาย เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าคือคุณหนูของสำนักดาวดำ”
“..”
เสี่ยวอวิ๋นหลัวเม้มปาก หลังได้ยินคำพูดของเฟิงหยูเตี๋ย นางรู้สึกไม่พอใจ
นางไม่อยากถูกปกป้องอีกแล้ว!
ครั้งก่อนที่นางอยู่ในภูเขาหลังสำนัก นางก็รั้งไอโง่นี่กับเพ่ยเหลียนเสวี่ย
ครั้งนี้ นางไม่อยากเป็นตัวถ่วงอีก
แต่ถึงแม้จะไม่พอใจ นางก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่แค่เพื่อเจ้าโง่นี่ แต่นางอาจ..
“ข้าจะปกป้องตัวเอง”เสี่ยวอวิ๋นหลัวเม้มปาก“เย่อันผิงอยู่ไหน?”
“ในเมืองตู้เฉิง แต่ข้าคิดว่ามันดีกว่าที่จะไม่ไปกับเขา”
“ทำไม/”
เฟิงหยูเตี๋ยจับคาง คิดสักพักก่อนตอบ“นายน้อยเย่ดูเหมือนจะกำลังเตรียมเอาชนะผู้บ่มเพาะมารเหล่านั้นทีละหนึ่ง ถ้าเจ้าไปกับเขา เขาจะตกเป็นเป้าของหลี่เฟิง ตอนนี้ศัตรูในที่โล่งและเราในที่มืด ฐานบ่มเพาะเราไม่สูงเท่า เราต้องพึ่งพากลยุทธ์ นายน้อยเย่เก่งเรื่องพวกนี้ ไม่ต้องกังวล”
“อืม..งั้น..ข้าสามารถทำอะไรได้?”
“แม่นางเสี่ยว แค่ต้องดูแลความปลอดภัยตัวเอง ข้าจะไปฆ่าหนึ่งในผู้บ่มเพาะมารกับแม่นางเพ่ยกับคนอื่นในอีกไม่กี่วัน ข้าจะอยู่ข้างเจ้าเพื่อปกป้องไม่ได้ ต้องระวังให้ดี”
เสี่ยวอวิ๋นหลัวเปิดปากแต่กลืนคำพูดลงไป
นางรู้สึกว่านางกลายเป็นภาระอีกแล้ว
“ข้า..ข้ารู้..”
หลังเสี่ยวอวิ๋นหลัวตอบ เฟิงหยูเตี๋ยก็ขยิบตาและแทงศอกใส่นาง
“ฮี่ๆ”
“อะไร..เจ้าหัวเราะอะไร?”
“แม่นางเสี่ยว เจ้าไม่เชื่อที่ข้าบอกเลนตอนข้าพูดว่าหลี่เฟิงมีปัญหา แต่ตอนข้าบอกว่ามันเป็นนายน้อยเย่ที่ยืนยัน เจ้ากลับเชื่อทันที”
“อา…คือ”
เฟิงหยูเตี๋ยเลิกคิ้ว นางนำหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย“แม่นางเสี่ยว ตกหลุมรักนายน้อยเย่ใช่ไหม?”
แก้มของเสี่ยวอวิ๋นหลัวแดง จากนั้นนางก็สูดหายใจลึก ยกมือ อยากชกหน้าเฟิงหยูเตี๋ย“อย่าพูดไร้สาระ!ข้าจะไปตกหลุมรักเขาได้ไง?เขาเป็นสหายติดตามของข้า!”
เฟิงหยูเตี๋ยกระโดดถอยเพื่อหลบหมัดนาง หมุนตัวและพร้อมหนี
“แม่นางเสี่ยว โปรดกลับไปตอนนี้ และใช้พลังปราณปกป้องตัวเองขระรอให้ข้ากลับมา ข้าอยากหาแม่นางหลี่”
“..”
ขณะมองเฟิงหยูเตี๋ยหาย เสี่ยวอวิ๋นหลัวก็มองรอบๆด้วยความระมัดระวัง
“ทำไมเย่อันผิงถึงไม่มาหาข้า…ข้าอยากช่วยเขาด้วย..”เสี่ยวอวิ๋นหลัวส่ายหัวและตบแก้ม“ไม่!เขาขอให้ข้าปกป้องตัวเอง ซึ่งหมายความว่าข้ากำลังช่วยเขาแล้ว”
นางสูดหายใจลึก ไม่รู้ว่ามีผู้บ่มเพาะมารคนอื่นแอบตามนางไป นางจึงรีบระดมปราณคุ้มกาย วิ่งกลับไปบ้านนางพร้อมกระบี่ในมือ นำยันต์ทั้งหมดและอาวุธทั้งหมดออกมา วางค่ายกลป้องกันในห้องนอนนาง และซ่อนตัวใต้ผ้าห่ม
“ใช่..ข้ากำลังปกป้องตัวเอง”