ตอนที่ 14: เนื้อของปลาวิญญาณ วิญญาณทะเลสาบ
ตอนที่ 14: เนื้อของปลาวิญญาณ วิญญาณทะเลสาบ
ฉู่อี้สังเกตเห็นว่าหลังจากกิน "เหยื่อป้อนอาหาร" เข้าไป รูปร่างไร้ชีวิตของปลาเหล่านี้จึงหายไปประหนึ่งกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
สิ้นเสียงจ๋อม ฝูงปลาต่างกระจัดกระจายจนทำให้น้ำในบ่อกระเซ็น
ส่วนหน้าต่างระบบกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรายการทักษะ "วิชาบำเพ็ญมัจฉาวิญญาณ"
ฉู่อี้อดไม่ได้ที่จะพึมพำ
เขาหยิบปลาตะเพียนตัวใหญ่ที่สุดขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วนำกลับเข้าไปในบ้าน
ภายหลัง ฉู่อี้เพิ่มปริมาณเหยื่อป้อนอาหารแล้วนำมาละลายกับน้ำ จากนั้นจึงเทลงไปในปากของปลาตะเพียน
ฟ่าวฟ่าวฟ่าว!
ปลาตะเพียนพลันคล่องแคล่วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาของมันทอประกายด้วยแสงสว่างเจิดจ้าขณะดิ้นรนอย่างหนักที่จะหลบหนีจากเงื้อมมือของฉู่อี้
แต่ว่า ฝ่ามือของฉู่อี้แข็งแรงยิ่งจนคว้ามันไว้แน่นด้วยมือเดียว
ไม่ช้า
กลิ่นหอมแปลกประหลาดพลันลอยเข้าปลายจมูกของเขา จากนั้นฉู่อี้จึงหาที่มากลิ่นก่อนสายตาจะจับจ้องปลาตะเพียนที่กำลังดิ้นรน
ฉู่อี้ประหลาดใจขณะครุ่นคิดกับตัวเอง "เราหิวหรืออย่างไร?"
ผ่านไปสิบห้านาที
เขาวางตะเกียบไม้กับชามกระเบื้องใบใหญ่ไว้ตรงหน้า
เนื้อปลาตะเพียนทอดในกระทะจนเป็นสีน้ำตาลถูกโรยด้วยพริกเขียวกับต้นหอมกรอบ โดยชั้นน้ำมันประหนึ่งหนังถั่วก่อตัวบนพื้นผิวขณะกักเก็บรสชาติอันเข้มข้นน่ารับประทานเอาไว้ในซุป
ดวงตาของฉู่อี้ทอประกายขณะตะเกียบไม้จัดการกับปลาอย่างรวดเร็วราวกับภาพติดตา
หลังจัดการกับมื้ออาหารอย่างบ้าคลั่ง
ซุปปลาตะเพียนขนาดเท่ากะละมังถูกเขาเก็บกวาดจนเกลี้ยงขณะความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าไปในตันเถียน
ความรู้สึกนี้... เหมือนกับราชันมัจฉาอายุหนึ่งร้อยปีที่เขาเคยสังหารในตอนนั้น
เนื้อของราชันมัจฉาเต็มไปด้วยแก่นแท้ที่สั่งสมมานานนับร้อยปีและมีผลต่อการบำรุงกล้ามเนื้อและกระดูก รวมถึงกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในได้อย่างน่าอัศจรรย์
โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์ มันคืออาหารโอชะที่หาได้ยากยิ่ง
ปลาตะเพียนในวันนี้ให้ความรู้สึกเช่นนั้นกับฉู่อี้
นอกจากขนาดที่เล็กแล้ว รสชาติกับผลของมันก็ไม่ด้อยไปกว่าราชันมัจฉาอายุหนึ่งร้อยปี
โดยเฉพาะสำหรับผู้ฝึกวิทยายุทธ์อย่างเขา มันคือผลที่ไม่ธรรมดา
ฉู่อี้รู้สึกถึงความอบอุ่นภายในร่างกายขณะรีบวิ่งไปที่ลานบ้านเพื่อเริ่มฝึกฝนวิทยายุทธ์เกี่ยวกับ "วิชาค้างคาวเหล็ก"
เหงื่อออกประหนึ่งหยาดฝน สายลมพัดพาพร้อมกำปั้น!
ฉู่อี้เพียงรู้สึกว่าคล้ายกับมีพลังอันแก่กล้าในร่างกายที่มิอาจสูญสลายคอยสนับสนุนการฝึกฝนระดับสองของวิชาค้างคาวเหล็กครั้งแล้วครั้งเล่า
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง
ในที่สุดฉู่อี้จึงสัมผัสได้ว่าความร้อนในร่างกายถูกปลดปล่อยออกมา
เขาไม่รีบทำการตรวจสอบขณะยืนนิ่งอยู่พักใหญ่
ยามฝึกฝนวิทยายุทธ์ เขาเพียงสัมผัสได้ถึงความท่าดีทีเหลวที่ไม่อาจสลัดหลุดได้ จนกระทั่งผลของยาหมดลงจึงรู้สึกเหมือนกับร่างกายกลวงโบ๋
ในทางทฤษฎี มันคือการบำรุงที่มากเกินไป
ฉู่อี้ผู้เคยเป็นมหาปรมาจารย์ย่อมไม่ทำอะไรผิดพลาดกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น แต่วันนี้ถือว่าเป็นได้ดื่มด่ำกับแก่นแท้
เขาเดินไปที่เตาพลางเติมฟืนเพื่อต้มน้ำให้เดือด จากนั้นเริ่มตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
ชื่อ: ฉู่อี้
ขอบเขต: ขั้นกลางของสวรรค์ประทาน/ระดับหนึ่งของการฝึกลมปราณ
วิทยายุทธ์: วิชากระบี่วายุกระจ่าง (ระดับสี่: 601/800) วิชาค้างคาวเหล็ก (ระดับสอง: 188/200)
วิชายุทธ์: เคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะ (ระดับหนึ่ง: 34/100)
ทักษะ: วิชาบำเพ็ญมัจฉาวิญญาณ (เล่มหนึ่ง: 1/200)
ตามที่คาดไว้ ความเชี่ยวชาญของวิชาค้างคาวเหล็กเพิ่มขึ้นจาก "166" เป็น "188"
มันคือผลอันน่าอัศจรรย์ของเนื้อปลาวิญญาณ
หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ด้วยความพยายามอีกครั้ง วิชาค้างคาวเหล็กจะต้องทะลวงสู่ระดับสามอย่างแน่นอน
ในทางตรงกันข้าม วิชาบำเพ็ญมัจฉาวิญญาณซึ่งเป็นตัวเอกของวันนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
แต่ว่า ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้ฉู่อี้ค่อนข้างพึงพอใจ
เขามั่นใจว่าแม้แต่ผู้ว่าเขตฉางซานผู้เป็นศัตรูกับราชันอู่ยังไม่ฟุ่มเฟือยกับการใช้เนื้อปลาวิญญาณของ "ราชันมัจฉาอายุหนึ่งร้อยปี" เพื่อสนับสนุนการฝึกฝน
วิญญาณธาราที่มีอายุมากเช่นนี้เป็นสิ่งที่สามารถพบเจอได้แต่แสวงหาได้ยาก
แต่ด้วยวิชาบำเพ็ญมัจฉาวิญญาณจึงทำให้สามารถสร้างเนื้อปลาวิญญาณประเภทนี้ขึ้นมาได้
หากข่าวดังกล่าวรั่วไหลออกไป เกรงว่าเขาจะถูกตามล่านับร้อยนับพันครั้งซึ่งมากยิ่งกว่าตอนตัวตนในฐานะ "ฉู่อี้" ถูกเปิดโปงเสียอีก!
“ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า หลังจากนี้เราจะไม่นำเนื้อปลากลับมาจำนวนมากอีก นอกจากนี้ต้องใช้สมุนไพรให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในครั้งต่อไป”
ฉู่อี้มองปลายหลายสิบตัวที่อยู่ในบ่อขณะนำตัวใหญ่ที่สุดเข้ามาในบ้านแล้วเก็บไว้ในกะละมังชั่วคราว
ปลาที่กิน "เหยื่อป้อนอาหาร" มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งขึ้นจนไม่ขาดอากาศหายใจตายในคืนเดียว
…
วันต่อมา ยามโฉ่ว (ตีสามถึงตีห้าโดยประมาณ)
เขาไปตลาดปลาตามปกติโดยมีสวีลิ่วโก่วตามมาด้วย
แต่ว่า คราวนี้ฉู่อี้ไม่ได้ขายปลา เขาเพียงมองดูแล้วเปรียบเทียบปลาแม่น้ำแต่ละชนิดขณะจินตนาการถึงวิธีการปรุงอาหารที่สอดคล้องกัน
หากเป็นเรื่องนี้ หัวหน้าคนครัวซือของอวี๋เว่ยเซวียนย่อมมีความเป็นมืออาชีพ
ฉู่อี้ทราบว่าภายภาคหน้าจะต้องพยายามอย่างหนักหากต้องการ "กินปลา" ดังนั้นจึงต้องวางแผนใช้โอกาสดังกล่าวเพื่อช่วงชิงกลเม็ดจากอีกฝ่ายเพื่อไม่ปล่อยให้ท้องต้องทนทุกข์ทรมาน
นอกจากนี้ เขายังคงแสดงท่าทีสุภาพกับนักบัญชีหลิวและเถ้าแก่เซี่ย
ตลอดทั้งวัน ฉู่อี้เพียงจัดการกับแขกขี้เมาคลุ้มคลั่งด้วยตัวเอง ส่วนช่วงเวลาที่เหลือล้วนเป็นเวลาว่าง
โดยเฉพาะในช่วงที่ร้านปิดและไม่รับลูกค้า ฉู่อี้ถึงขั้นสามารถออกไปเดินเล่นได้อย่างอิสระ
เรื่องนี้ทำให้คนรับใช้ทั้งหลายพากันอิจฉา
แต่ว่า เมื่อเห็นฉู่อี้สามารถยกคนหนักสองร้อยจินที่มาก่อปัญหาได้ด้วยมือเดียว ความอิจฉาบนใบหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นความชื่นชม
เถ้าแก่เซี่ยลูบเคราสีเทาและอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า ในที่สุดท่านสวีก็พบคนที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้เสียที
ฉู่อี้เดินไปตามท้องถนนก่อนจะมาถึงโรงเตี๊ยมกลางแจ้งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ที่นั่นมีคนหลากหลายอาชีพนั่งดื่มกินกันอยู่
แต่ที่พบบ่อยมากที่สุดแบ่งออกได้เป็นสองประเภท
ประเภทแรกไม่ห่วงเรื่องอาหารเสื้อผ้า แต่ไม่นับว่าเป็นผู้มั่งคั่ง ดังนั้นพวกเขาจึงมาได้เพียงโรงเตี๊ยมกลางแจ้ง ไม่สามารถไปร้านอาหารได้
อีกประเภทคือคนเกียจคร้านแต่มีความรู้ คนเช่นนี้อาศัยความสามารถในการดื่มเพื่องดึงดูดคนประเภทก่อนหน้าเข้ามา
ฉู่อี้มองว่าตัวเองเป็นคนประเภทที่หนึ่ง สิ่งที่ต่างออกไปคือ… ไม่เพียงเขามั่งคั่งเท่านั้น แต่ยังทำงานน้อยได้เงินมากอีกด้วย
ทันทีที่เขานั่งลงก็ได้ยินเสียงสนทนาในหมู่เพื่อนบ้าน
“รู้หรือเปล่า… เมื่อวานเขากระบี่ผงาดมีคำสั่งประกาศรางวัลด้วย คราวนี้คนที่โดนเห็นว่าเป็นปรมาจารย์กระบี่”
“เขากระบี่ผงาดเสนอค่าหัวอีกแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งเสนอรางวัลนำจับฉู่อี้ให้กับ 'ชีเฟิงเค่อ' ไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงมีปรมาจารย์อีกคนเพิ่มมาอีก หรือว่าช่วงนี้ไปทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองเข้า?”
“เช่นนั้นฉู่อี้ต้องตายแน่ ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกต่อไป แต่ปรมาจารย์กระบี่ผู้นี้ ว่ากันว่าไม่เพียงสังหารหนึ่งใน ‘สามผู้อาวุโสคุมกฎ’ แห่งเขากระบี่ผงาดเท่านั้น แต่ยังสังหารคนพายเรือไร้อาวุธมากกว่าห้าสิบคนในคราวเดียว เรียกได้ว่าเป็นคนนอกรีตชั่วช้าที่มีความดุร้ายไม่ธรรมดา!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่อี้แทบสำลักสุราในปาก
หากไม่ได้เป็นผู้ "สังหารเหรินเหล่า" เขาคงไม่มั่นใจว่าปรมาจารย์กระบี่ที่อีกฝ่ายพูดถึงจะหมายถึงตนเอง
“มากกว่าห้าสิบคนไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่มากกว่าเก้าสิบคนเสียหน่อย เจ้านับกลุ่มคนที่ไล่ตามฆาตกรในเขากระบี่ผงาดก่อนจะถูกฆ่าด้วยหรือ?”
“ไง! พี่ชายทราบเรื่องนี้เหมือนกันหรือ จริงสิ ข้ายังไม่ทราบเลยว่ามีคนถูกฆ่าจากการไล่ล่าเท่าไหร่ โปรดช่วยแถลงไขให้ทุกคนทราบที”
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าเป็นพ่อค้าที่ท่าเรือข้ามฟากต้าเฉียว เขาบอกว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นสี่สิบเอ็ดคน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่อี้จึงรู้สึกว่าสุราในปากกลับไร้รสชาติ หลังจากโยนเหรียญขนาดใหญ่ไปสองสามเหรียญแล้วจึงหันหลังก่อนจะจากไป
โลกกำลังตกต่ำ แม้แต่ผู้แพร่งพรายข่าวลือเหล่านั้นก็ยังกระจัดกระจายอยู่ทุกวันนี้