ตอนที่ 13: ฝึกฝนวิทยายุทธ์จนก้าวหน้า ซื้อปลาที่ตลาด
ตอนที่ 13: ฝึกฝนวิทยายุทธ์จนก้าวหน้า ซื้อปลาที่ตลาด
ฉู่อี้รอจนกระทั่งน้องชายกลับมาโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแต่อย่างใด
เขามองน้องชายแล้วเอ่ยถาม "หลังจากนี้ เจ้าจะไปฝังร่างพวกเขางั้นหรือ?"
น้องชายคิดว่าฉู่อี้กำลังจะตำหนิฐานขโมยจุดเด่นไป แต่เมื่อได้ยินคำถามจึงรู้สึกโล่งอกก่อนจะอธิบาย "ไม่ใช่หรอก ตามกฎแล้ว ตาหลานคู่นั้นควรถูกส่งไปที่วัดพุทธ แล้วให้พระภิกษุผู้เชี่ยวชาญทำการฌาปนกิจเพื่อส่งพวกเขาไปตามทาง”
ฉู่อี้มีสีหน้าประหลาดใจ “พระภิกษุมีจิตใจเมตตาเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่ถูกเสียทีเดียว” น้องชายส่ายหน้า “วัดพุทธจะส่งคนไปตามทาง แต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาจะเก็บข้าวของติดตัวของอีกฝ่าย หากเพียงพอกับค่าฟืนไฟก็ถือว่ามีบุญวาสนา แต่ถ้าไม่พอย่อมหมายความว่าไม่มีความเกี่ยวพันกับพุทธคุณ... ก่อนจะถูกโยนลงหลุมศพหมู่”
ฉู่อี้พอจะคาดเดาผลลัพธ์ได้ การที่สอบถามก็เพื่อขอคำยืนยันจากน้องชาย คนฉลาดมากชอบคิดมากเกินไป
เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยคำ "ข้าจำทางข้างหน้าได้ เจ้าไปก่อนเถอะ"
“ขอรับ ท่านอี้!”
หลังจากผู้คนจากไปแล้ว ฉู่อี้จึงเดินเข้าไปในตรอกขณะนึกถึงธงนักรบของคฤหาสน์ราชันอู่ที่เพิ่งได้เห็น ส่วน “องค์ชายสาม” ที่ชายผู้นั้นตะโกนออกมาน่าจะหมายถึงบุตรชายคนที่สามของราชันอู่
“ศัตรูมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ข้าจะไม่แก้แค้นได้อย่างไร”
แต่ว่า ก่อนหน้านั้นจำเป็นต้องเข้าใจจุดประสงค์การมาเยือนขององค์ชายสามกับระดับการคุ้มกันเสียก่อน
กลับไปที่ลานบ้านก่อนแล้วกัน
ฉู่อี้มองหน้าต่างระบบอีกครั้ง
ชื่อ: ฉู่อี้
ขอบเขต: ขั้นกลางของสวรรค์ประทาน/ระดับหนึ่งของการฝึกลมปราณ
วิทยายุทธ์: วิชากระบี่วายุกระจ่าง (ระดับสี่: 601/800) วิชาค้างคาวเหล็ก (ระดับสอง: 166/200)
วิชายุทธ์: เคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะ (ระดับหนึ่ง: 33/100)
“อย่างที่คิดเลย วิชาค้างคาวเหล็กทะลวงถึงระดับสองแล้ว แถมยังส่งเสริมการฝึกฝนเคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะ”
ฉู่อี้มองตัวอักษรที่ระบุว่า "ขั้นกลางของสวรรค์ประทาน" ในหมวดขอบเขตจนอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้ม
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวันนับตั้งแต่เขาออกจากถ้ำ
เคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะเพิ่มความเชี่ยวชาญ "13" แต้ม แม้จะมีโอกาสดียิ่งที่จะสืบทอด "วิชาค้างคาวเหล็ก" ซึ่งเป็นของนักบุญยุทธ์ แต่มันไม่สามารถทำซ้ำได้
แต่ก็ไม่ปฏิเสธไม่ได้
นอกเหนือจากการปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอนและสั่งสมความสามารถบางอย่างผ่านความพยายามและความขยันหมั่นเพียรในแต่ละวัน การเปลี่ยนแปลงความสามารถในด้านอื่นอาจช่วยเร่งการฝึกฝนเคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะกับการฟื้นคืนพละกำลัง
“ขั้นกลางของสวรรค์ประทานยังไม่ปลอดภัย หากมีพลังขอบเขตปรมาจารย์ ต่อให้เป็นมหาปรมาจารย์ก็ยังยากที่จะหยุดเราได้”
ฉู่อี้มองวิชาค้างคาวเหล็กบนหน้าต่างระบบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากความสามารถที่จำเป็นต่อการทะลวงสู่ระดับสาม
พอคิดดูแล้ว หากความสามารถของวิชาค้างคาวเหล็กพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้น เช่นนั้นสถานการณ์อย่างการเพิ่มขึ้นของความเชี่ยวชาญในวันนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง
"ต่อไป จัดสรรพลังงานมากขึ้นเพื่อฝึกฝนวิชาค้างคาวเหล็ก"
…
วันรุ่งขึ้น ยามโฉ่ว (ตีหนึ่งถึงตีสามโดยประมาณ)
ท่าเรือทางตะวันตกของเมืองหลิงโซ่ว
เรือประมงจำนวนมากแล่นไปตามลำน้ำสาขาทั้งหลาย ไม่ช้าจึงกลายเป็นตลาดปลาที่มีชีวิตชีวา
สมาชิกของกลุ่มชิงเฉาถืออาวุธมีคมเพื่อเฝ้าดูชาวประมงขนปลาลงจากเรือขณะนับจำนวนและคิดราคา หลังจากยืนยันได้ว่าไม่มีหมกเม็ด พวกเขาจึงอนุญาตให้นำอวนจับปลาเข้าสู่ตลาดเพื่อทำการค้าขาย
ร้านอาหารที่ฉู่อี้รับผิดชอบในตอนนี้มีชื่อว่า "ศาลารสมัจฉา" ในแต่ละวันจะต้องนำปลาสดจำนวนหนึ่งจากตลาดปลากลับมา
เขาตื่นแต่เช้าเพื่อวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากการเก็บปลาเพื่อนำปลากับกุ้งสองสามตัวกลับมาศึกษา
น้องชายคนเมื่อวานก็อยู่เช่นกัน
ภายหลังฉู่อี้จึงทราบว่าชื่อของเขาคือสวีลิ่วโก่ว
แน่นอนว่าความหมายของชื่อนี้คือลูกน้องผู้ภักดีคนที่หกของสวีต้าไค
แม้การเป็นลูกน้องจะฟังดูไม่มีค่า แต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถมีชื่อเช่นนั้นได้ต่อให้ต้องการก็ตาม
สวีลิ่วโก่วบังเอิญดูแลตลาดปลาก่อนที่ฉู่อี้จะมาถึงพอดี
เขาพาฉู่อี้เดินชมรอบตลาดปลาขณะทำการจดจำแผงขายของทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของสวีต้าไค
จากนั้น สวีลิ่วโก่วชี้ไปที่คนอีกกลุ่มพลางกระซิบ "นั่นคือแผงขายของของท่านหม่า ท่านอี้อย่าไปแถวนั้นจะดีกว่า"
ฉู่อี้พยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนี้ก่อนจะไม่ถามอะไรอีก
เพราะจากคำบอกเล่าของสวีลิ่วโก่ว คนที่เขาพูดถึงน่าจะอยู่ระดับเดียวกับสวีต้าไคซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มชิงเฉา พวกเขาทั้งสองอาจจะมีความขัดแย้งกัน
เขามองดูแผงขายปลาอื่นแล้วเอ่ยถาม “ข้าไปดูที่อื่นได้หรือไม่?”
"ได้แน่นอน" สวีลิ่วโก่วพยักหน้า "ท่านสวีบอกแล้วว่าหากท่านอี้ต้องการก็สามารถบันทึกไว้ในบัญชีของร้านอาหารได้ พวกเราสามารถเสนอราคาที่ถูกกว่าเป็นการส่วนตัวได้"
"ข้าเข้าใจแล้ว"
ฉู่อี้พยักหน้าขณะเดินชมตลาดปลา ไม่ช้าเขาก็เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับพันธุ์ปลาที่นี่
ปลาที่พบมากที่สุดได้แก่ปลาหลีฮื้อ ปลาตะเพียน ปลาเฉาฮื้อและปลาแชฮื้อตัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อนุ่มหรือเนื้อเก่าต่างก็ขายเป็นจิน อีกทั้งสามารถใช้เหรียญทองแดงสองสามเหรียญเพื่อสามารถกินจนอิ่มหมีพีมันได้
พวกที่หายากและราคาแพงจะจัดอยู่ในพวกปลาเงินแถบขาว ซึ่งจะแพงกว่าตัวปกติสิบถึงร้อยเท่า
ตอนนี้ฉู่อี้มีเงินค่อนข้างมาก จึงไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องการหาเลี้ยงชีพไปสักระยะ
ดังนั้น เขาจึงไม่ถูกจำกัดในการเลือกพันธุ์ปลา
ฉู่อี้เลือกปลาห้าตัวจากตลาดปลาก่อนจะนำกลับมาพร้อมส่วนตัวที่ซื้อให้กับร้านอาหารเพื่อเอามาเลี้ยงชั่วคราวจนกว่าจะออกไปปฏิบัติหน้าที่
แม้สวีลิ่วโก่วจะประหลาดใจกับพฤติกรรมของฉู่อี้แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดให้มากความและเลือกที่จะทำเพียงหน้าที่ให้ดีเท่านั้น
…
เมื่อพวกเขากลับมาที่ศาลารสมัจฉา สวีลิ่วโก่วพาฉู่อี้ไปทำความรู้จักกับกลุ่มคนในร้านอาหาร
ส่วนใหญ่เป็นข้ารับใช้แต่ละตระกูลที่อยู่ไม่นาน ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าจะรู้ชื่อพวกเขาหรือไม่
มีข้อยกเว้นเพียงสามประการเท่านั้น
เถ้าแก่เซี่ย นักบัญชีหลิว หัวหน้าคนครัวซือ
พวกเขาคือตรีศูลของศาลารสมัจฉา ขอเพียงสวีต้าไคกับศาลารสมัจฉายังอยู่ก็จะไม่มีการเปลี่ยน แปลง
ลูกสาวของเถ้าแก่เซี่ยแต่งงานกับสวีต้าไคในฐานะภรรยาน้อยและถือได้ว่าเป็นพ่อตาไร้ราคาของสวีต้าไค
นักบัญชีหลิวเกษียณจากที่ว่าเขต ทำให้สวีต้าไคต้องไปคำนับกราบกรานถึงสามครั้งเพื่อเชิญเข้ามา เขามีทักษะในการรับมือกับเจ้าหน้าที่เขตผู้กำลังต่อสู้กับวายุสารท
ส่วนหัวหน้าคนครัวซือ บรรพชนของคนผู้นี้เคยทำอาหารให้กับราชวงศ์
น่าเสียดายที่มันตกต่ำลงหลังจากส่งต่อมาถึงรุ่นพ่อของเขา กระนั้นทักษะการทำอาหารอันเป็นเอกลักษณ์นับว่าไร้ที่ติ ศาลารสมัจฉาอาศัยคนผู้นี้เพื่อรักษาลูกค้าประจำเอาไว้
ฉู่อี้ทักทายทั้งสามคนขณะรักษามารยาทที่ดีต่อเถ้าแก่เซี่ยกับนักบัญชีหลิวไว้
มีเพียงหัวหน้าคนครัวซือผู้เป็นชายวัยกลางคนร่างจ้ำม่ำเท่านั้นที่พึมพำแต่คำว่า "เสียของ" หลังจากทราบว่าฉู่อี้ซื้อปลาจำนวนมากในคราวเดียว กระนั้นก็ไม่มีการกระทำใดที่ถือว่าเป็นการรนหาที่ตาย
การจดจำใบหน้าในวันนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น
หลังจากสิ้นสุดเวลาทำการ
ฉู่อี้ใช้เวลาไปเยี่ยมเยียนร้านขายยาจำนวนมากในเมืองขณะซื้อสมุนไพรแท้และปลอมบางส่วน จากนั้นจึงกลับมาที่ลานบ้านน้อย
สวีลิ่วโก่วช่วยนำปลามาให้เขาเพื่อนำพวกมันทั้งหมดมาเลี้ยงในบ่อซึ่งตั้งอยู่ในสวน
เขาสร้าง "เหยื่อป้อนอาหาร" ตามสูตร "วิชาบำเพ็ญมัจฉาวิญญาณ" ผลผลิตที่ได้คือก้อนสีดำที่คล้ายอาจมของมนุษย์ซึ่งไม่มีกลิ่นแปลกประหลาดแต่อย่างใด
แต่เมื่อฉู่อี้เดินไปที่บ่อปลาพร้อมกับกำ "เหยื่อป้อนอาหาร" ขนาดเท่าเล็บมือไว้
ฝูงปลาที่เดิมเงียบสงบกลับคึกคักขึ้นมา
เหตุการณ์นี้ทำให้ฉู่อี้ขมวดคิ้วขณะหันหลังแล้วเดินกลับไปที่บ้าน จากนั้นขูดชิ้นส่วนขนาดเท่าเล็บมือแล้วหันกลับมา
หลังจากเปรียบเทียบสองครั้ง แม้ครั้งนี้ฝูงปลาจะต่างออกไป แต่การเคลื่อนไหวกลับเบาบาง
“คราวหน้าต้องลดขนาดสัดส่วนลง”
ฉู่อี้พึมพำ แต่นี่คือบ้านของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนแต่อย่างใด
เหยื่อป้อนอาหารจะละลายเมื่อสัมผัสกับน้ำก่อนจะกระจายออกไปอย่างเงียบงัน
ฉู่อี้สังเกตการเปลี่ยนแปลงในบ่อปลาอย่างละเอียด ในขณะเดียวกันก็ให้ความสนใจกับหน้าต่างระบบของตัวเอง