ตอนที่แล้วตอนที่ 12: เข้าเมืองหลิงโซ่ว ใช้นามแฝงอี้เหลิ่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 14: เนื้อของปลาวิญญาณ วิญญาณทะเลสาบ

ตอนที่ 13: ฝึกฝนวิทยายุทธ์จนก้าวหน้า ซื้อปลาที่ตลาด


ตอนที่ 13: ฝึกฝนวิทยายุทธ์จนก้าวหน้า ซื้อปลาที่ตลาด

ฉู่อี้รอจนกระทั่งน้องชายกลับมาโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแต่อย่างใด

เขามองน้องชายแล้วเอ่ยถาม "หลังจากนี้ เจ้าจะไปฝังร่างพวกเขางั้นหรือ?"

น้องชายคิดว่าฉู่อี้กำลังจะตำหนิฐานขโมยจุดเด่นไป แต่เมื่อได้ยินคำถามจึงรู้สึกโล่งอกก่อนจะอธิบาย "ไม่ใช่หรอก ตามกฎแล้ว ตาหลานคู่นั้นควรถูกส่งไปที่วัดพุทธ แล้วให้พระภิกษุผู้เชี่ยวชาญทำการฌาปนกิจเพื่อส่งพวกเขาไปตามทาง”

ฉู่อี้มีสีหน้าประหลาดใจ “พระภิกษุมีจิตใจเมตตาเช่นนั้นหรือ?”

“ไม่ถูกเสียทีเดียว” น้องชายส่ายหน้า “วัดพุทธจะส่งคนไปตามทาง แต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาจะเก็บข้าวของติดตัวของอีกฝ่าย หากเพียงพอกับค่าฟืนไฟก็ถือว่ามีบุญวาสนา แต่ถ้าไม่พอย่อมหมายความว่าไม่มีความเกี่ยวพันกับพุทธคุณ... ก่อนจะถูกโยนลงหลุมศพหมู่”

ฉู่อี้พอจะคาดเดาผลลัพธ์ได้ การที่สอบถามก็เพื่อขอคำยืนยันจากน้องชาย คนฉลาดมากชอบคิดมากเกินไป

เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยคำ "ข้าจำทางข้างหน้าได้ เจ้าไปก่อนเถอะ"

“ขอรับ ท่านอี้!”

หลังจากผู้คนจากไปแล้ว ฉู่อี้จึงเดินเข้าไปในตรอกขณะนึกถึงธงนักรบของคฤหาสน์ราชันอู่ที่เพิ่งได้เห็น ส่วน “องค์ชายสาม” ที่ชายผู้นั้นตะโกนออกมาน่าจะหมายถึงบุตรชายคนที่สามของราชันอู่

“ศัตรูมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ข้าจะไม่แก้แค้นได้อย่างไร”

แต่ว่า ก่อนหน้านั้นจำเป็นต้องเข้าใจจุดประสงค์การมาเยือนขององค์ชายสามกับระดับการคุ้มกันเสียก่อน

กลับไปที่ลานบ้านก่อนแล้วกัน

ฉู่อี้มองหน้าต่างระบบอีกครั้ง

ชื่อ: ฉู่อี้

ขอบเขต: ขั้นกลางของสวรรค์ประทาน/ระดับหนึ่งของการฝึกลมปราณ

วิทยายุทธ์: วิชากระบี่วายุกระจ่าง (ระดับสี่: 601/800) วิชาค้างคาวเหล็ก (ระดับสอง: 166/200)

วิชายุทธ์: เคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะ (ระดับหนึ่ง: 33/100)

“อย่างที่คิดเลย วิชาค้างคาวเหล็กทะลวงถึงระดับสองแล้ว แถมยังส่งเสริมการฝึกฝนเคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะ”

ฉู่อี้มองตัวอักษรที่ระบุว่า "ขั้นกลางของสวรรค์ประทาน" ในหมวดขอบเขตจนอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้ม

เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวันนับตั้งแต่เขาออกจากถ้ำ

เคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะเพิ่มความเชี่ยวชาญ "13" แต้ม แม้จะมีโอกาสดียิ่งที่จะสืบทอด "วิชาค้างคาวเหล็ก" ซึ่งเป็นของนักบุญยุทธ์ แต่มันไม่สามารถทำซ้ำได้

แต่ก็ไม่ปฏิเสธไม่ได้

นอกเหนือจากการปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอนและสั่งสมความสามารถบางอย่างผ่านความพยายามและความขยันหมั่นเพียรในแต่ละวัน การเปลี่ยนแปลงความสามารถในด้านอื่นอาจช่วยเร่งการฝึกฝนเคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะกับการฟื้นคืนพละกำลัง

“ขั้นกลางของสวรรค์ประทานยังไม่ปลอดภัย หากมีพลังขอบเขตปรมาจารย์ ต่อให้เป็นมหาปรมาจารย์ก็ยังยากที่จะหยุดเราได้”

ฉู่อี้มองวิชาค้างคาวเหล็กบนหน้าต่างระบบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากความสามารถที่จำเป็นต่อการทะลวงสู่ระดับสาม

พอคิดดูแล้ว หากความสามารถของวิชาค้างคาวเหล็กพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้น เช่นนั้นสถานการณ์อย่างการเพิ่มขึ้นของความเชี่ยวชาญในวันนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง

"ต่อไป จัดสรรพลังงานมากขึ้นเพื่อฝึกฝนวิชาค้างคาวเหล็ก"

วันรุ่งขึ้น ยามโฉ่ว (ตีหนึ่งถึงตีสามโดยประมาณ)

ท่าเรือทางตะวันตกของเมืองหลิงโซ่ว

เรือประมงจำนวนมากแล่นไปตามลำน้ำสาขาทั้งหลาย ไม่ช้าจึงกลายเป็นตลาดปลาที่มีชีวิตชีวา

สมาชิกของกลุ่มชิงเฉาถืออาวุธมีคมเพื่อเฝ้าดูชาวประมงขนปลาลงจากเรือขณะนับจำนวนและคิดราคา หลังจากยืนยันได้ว่าไม่มีหมกเม็ด พวกเขาจึงอนุญาตให้นำอวนจับปลาเข้าสู่ตลาดเพื่อทำการค้าขาย

ร้านอาหารที่ฉู่อี้รับผิดชอบในตอนนี้มีชื่อว่า "ศาลารสมัจฉา" ในแต่ละวันจะต้องนำปลาสดจำนวนหนึ่งจากตลาดปลากลับมา

เขาตื่นแต่เช้าเพื่อวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากการเก็บปลาเพื่อนำปลากับกุ้งสองสามตัวกลับมาศึกษา

น้องชายคนเมื่อวานก็อยู่เช่นกัน

ภายหลังฉู่อี้จึงทราบว่าชื่อของเขาคือสวีลิ่วโก่ว

แน่นอนว่าความหมายของชื่อนี้คือลูกน้องผู้ภักดีคนที่หกของสวีต้าไค

แม้การเป็นลูกน้องจะฟังดูไม่มีค่า แต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถมีชื่อเช่นนั้นได้ต่อให้ต้องการก็ตาม

สวีลิ่วโก่วบังเอิญดูแลตลาดปลาก่อนที่ฉู่อี้จะมาถึงพอดี

เขาพาฉู่อี้เดินชมรอบตลาดปลาขณะทำการจดจำแผงขายของทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของสวีต้าไค

จากนั้น สวีลิ่วโก่วชี้ไปที่คนอีกกลุ่มพลางกระซิบ "นั่นคือแผงขายของของท่านหม่า ท่านอี้อย่าไปแถวนั้นจะดีกว่า"

ฉู่อี้พยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนี้ก่อนจะไม่ถามอะไรอีก

เพราะจากคำบอกเล่าของสวีลิ่วโก่ว คนที่เขาพูดถึงน่าจะอยู่ระดับเดียวกับสวีต้าไคซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มชิงเฉา พวกเขาทั้งสองอาจจะมีความขัดแย้งกัน

เขามองดูแผงขายปลาอื่นแล้วเอ่ยถาม “ข้าไปดูที่อื่นได้หรือไม่?”

"ได้แน่นอน" สวีลิ่วโก่วพยักหน้า "ท่านสวีบอกแล้วว่าหากท่านอี้ต้องการก็สามารถบันทึกไว้ในบัญชีของร้านอาหารได้ พวกเราสามารถเสนอราคาที่ถูกกว่าเป็นการส่วนตัวได้"

"ข้าเข้าใจแล้ว"

ฉู่อี้พยักหน้าขณะเดินชมตลาดปลา ไม่ช้าเขาก็เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับพันธุ์ปลาที่นี่

ปลาที่พบมากที่สุดได้แก่ปลาหลีฮื้อ ปลาตะเพียน ปลาเฉาฮื้อและปลาแชฮื้อตัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อนุ่มหรือเนื้อเก่าต่างก็ขายเป็นจิน อีกทั้งสามารถใช้เหรียญทองแดงสองสามเหรียญเพื่อสามารถกินจนอิ่มหมีพีมันได้

พวกที่หายากและราคาแพงจะจัดอยู่ในพวกปลาเงินแถบขาว ซึ่งจะแพงกว่าตัวปกติสิบถึงร้อยเท่า

ตอนนี้ฉู่อี้มีเงินค่อนข้างมาก จึงไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องการหาเลี้ยงชีพไปสักระยะ

ดังนั้น เขาจึงไม่ถูกจำกัดในการเลือกพันธุ์ปลา

ฉู่อี้เลือกปลาห้าตัวจากตลาดปลาก่อนจะนำกลับมาพร้อมส่วนตัวที่ซื้อให้กับร้านอาหารเพื่อเอามาเลี้ยงชั่วคราวจนกว่าจะออกไปปฏิบัติหน้าที่

แม้สวีลิ่วโก่วจะประหลาดใจกับพฤติกรรมของฉู่อี้แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดให้มากความและเลือกที่จะทำเพียงหน้าที่ให้ดีเท่านั้น

เมื่อพวกเขากลับมาที่ศาลารสมัจฉา สวีลิ่วโก่วพาฉู่อี้ไปทำความรู้จักกับกลุ่มคนในร้านอาหาร

ส่วนใหญ่เป็นข้ารับใช้แต่ละตระกูลที่อยู่ไม่นาน ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าจะรู้ชื่อพวกเขาหรือไม่

มีข้อยกเว้นเพียงสามประการเท่านั้น

เถ้าแก่เซี่ย นักบัญชีหลิว หัวหน้าคนครัวซือ

พวกเขาคือตรีศูลของศาลารสมัจฉา ขอเพียงสวีต้าไคกับศาลารสมัจฉายังอยู่ก็จะไม่มีการเปลี่ยน  แปลง

ลูกสาวของเถ้าแก่เซี่ยแต่งงานกับสวีต้าไคในฐานะภรรยาน้อยและถือได้ว่าเป็นพ่อตาไร้ราคาของสวีต้าไค

นักบัญชีหลิวเกษียณจากที่ว่าเขต ทำให้สวีต้าไคต้องไปคำนับกราบกรานถึงสามครั้งเพื่อเชิญเข้ามา เขามีทักษะในการรับมือกับเจ้าหน้าที่เขตผู้กำลังต่อสู้กับวายุสารท

ส่วนหัวหน้าคนครัวซือ บรรพชนของคนผู้นี้เคยทำอาหารให้กับราชวงศ์

น่าเสียดายที่มันตกต่ำลงหลังจากส่งต่อมาถึงรุ่นพ่อของเขา กระนั้นทักษะการทำอาหารอันเป็นเอกลักษณ์นับว่าไร้ที่ติ ศาลารสมัจฉาอาศัยคนผู้นี้เพื่อรักษาลูกค้าประจำเอาไว้

ฉู่อี้ทักทายทั้งสามคนขณะรักษามารยาทที่ดีต่อเถ้าแก่เซี่ยกับนักบัญชีหลิวไว้

มีเพียงหัวหน้าคนครัวซือผู้เป็นชายวัยกลางคนร่างจ้ำม่ำเท่านั้นที่พึมพำแต่คำว่า "เสียของ" หลังจากทราบว่าฉู่อี้ซื้อปลาจำนวนมากในคราวเดียว กระนั้นก็ไม่มีการกระทำใดที่ถือว่าเป็นการรนหาที่ตาย

การจดจำใบหน้าในวันนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น

หลังจากสิ้นสุดเวลาทำการ

ฉู่อี้ใช้เวลาไปเยี่ยมเยียนร้านขายยาจำนวนมากในเมืองขณะซื้อสมุนไพรแท้และปลอมบางส่วน จากนั้นจึงกลับมาที่ลานบ้านน้อย

สวีลิ่วโก่วช่วยนำปลามาให้เขาเพื่อนำพวกมันทั้งหมดมาเลี้ยงในบ่อซึ่งตั้งอยู่ในสวน

เขาสร้าง "เหยื่อป้อนอาหาร" ตามสูตร "วิชาบำเพ็ญมัจฉาวิญญาณ" ผลผลิตที่ได้คือก้อนสีดำที่คล้ายอาจมของมนุษย์ซึ่งไม่มีกลิ่นแปลกประหลาดแต่อย่างใด

แต่เมื่อฉู่อี้เดินไปที่บ่อปลาพร้อมกับกำ "เหยื่อป้อนอาหาร" ขนาดเท่าเล็บมือไว้

ฝูงปลาที่เดิมเงียบสงบกลับคึกคักขึ้นมา

เหตุการณ์นี้ทำให้ฉู่อี้ขมวดคิ้วขณะหันหลังแล้วเดินกลับไปที่บ้าน จากนั้นขูดชิ้นส่วนขนาดเท่าเล็บมือแล้วหันกลับมา

หลังจากเปรียบเทียบสองครั้ง แม้ครั้งนี้ฝูงปลาจะต่างออกไป แต่การเคลื่อนไหวกลับเบาบาง

“คราวหน้าต้องลดขนาดสัดส่วนลง”

ฉู่อี้พึมพำ แต่นี่คือบ้านของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนแต่อย่างใด

เหยื่อป้อนอาหารจะละลายเมื่อสัมผัสกับน้ำก่อนจะกระจายออกไปอย่างเงียบงัน

ฉู่อี้สังเกตการเปลี่ยนแปลงในบ่อปลาอย่างละเอียด ในขณะเดียวกันก็ให้ความสนใจกับหน้าต่างระบบของตัวเอง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด