ตอนที่แล้วบทที่ 59 ขยายขนาดการค้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 61 ต่อรองราคา

บทที่ 60หินจิตวิญญาณไม่เพียงพอ


บทที่ 60หินจิตวิญญาณไม่เพียงพอ

บินไปทางเหนือตลอดทาง

  

เฉินเต้าเสวียนหยุดอยู่เหนือกลุ่มโขดหินที่เคยค้าขายกันในครั้งที่แล้ว

  

เมื่อมองไปที่ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ เฉินเต้าเสวียนก็ค่อยๆ ลดระดับลง

  

“การที่ข้ายืนยันที่จะค้าขายกับเผ่าเงือก ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ข้าตัดสินใจถูก”

  

เฉินเต้าเสวียนพึมพำ

  

การค้าขายกับเผ่าเงือกเป็นธุรกิจระยะยาวสำหรับตระกูลเฉิน ไม่ใช่แค่การทำธุรกรรมหนึ่งหรือสองครั้งแล้วจะล้มเลิก

  

เฉินเต้าเสวียนยังต้องการใช้พลังของเผ่าเงือก เพื่อเปิดขุมสมบัติของโลกใต้ทะเลของทะเลหมื่นดวงดาว

  

เขาจะไม่ยอมแพ้กับตลาดของเผ่าเงือกอย่างแน่นอน

  

ในเมื่อไม่คิดจะยอมแพ้ การสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับอีกฝ่ายจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

  

โชคดีที่เผ่าเงือกมีความประทับใจที่ดีต่อเขาในระหว่างการค้าขายครั้งที่แล้ว การค้าขายในครั้งนี้น่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เผชิญหน้ากันแบบตอนที่เพิ่งพบกัน

  

“อื่อ… สร้างศาลาริมน้ำที่นี่น่าจะดี”

  

เขามองไปที่โขดหินใต้ทะเล ส่วนที่ยื่นออกมาที่สุด ได้ยื่นออกมาเหนือน้ำทะเล เพียงพอที่จะใช้เป็นฐานรากของศาลาได้

  

เมื่อคิด เขาก็ลงมือทำทันที

  

เฉินเต้าเสวียนตบถุงเก็บของ หยิบกระบี่บินเงาแดงออกมา ส่งปราณแก่นแท้เข้าไป คมดาบสามฉื่อก็พุ่งออกมา

  

ฟิ้ว!

  

ภายใต้การควบคุมของจิตสำนึก กระบี่บินเงาแดงก็ฟันลงไปที่โขดหินใต้ทะเล

ในไม่ช้า

  

โขดหินขนาดใหญ่ที่ขาวราวกับหยก ก็ถูกกระบี่บินเงาแดงตัดออกเป็นสองท่อน

  

รอยตัดของโขดหินเรียบเนียนราวกับหยก มองไม่เห็นร่องรอยการตัดเลย

  

เฉินเต้าเสวียนพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็ควบคุมกระบี่บินตัดหินต่อไป

  

ตามที่คิดไว้ในใจ

  

เฉินเต้าเสวียนใช้กระบี่บินขัดเกลาโขดหินก้อนนี้เรื่อยๆ

  

ครึ่งชั่วยามต่อมา

  

เฉินเต้าเสวียนสร้างศาลาที่ดูหยาบๆ ขึ้นมา ตั้งอยู่บนฐานรากโขดหินเหนือน้ำทะเล

  

ถ้ามองจากระยะไกล

  

ศาลาจะดูเหมือนลอยอยู่เหนือน้ำทะเล หากมองข้ามงานฝีมือที่หยาบๆ  มันก็ดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อย

  

เมื่อเข้าไปในศาลา

  

เฉินเต้าเสวียนมองไปรอบๆ เขารู้สึกว่ายังขาดอะไรบางอย่าง

  

เขาหยิบหินอีกก้อนขึ้นมาจากใต้ทะเล หลังจากพยายามอยู่พักหนึ่ง เขาก็สร้างโต๊ะหินขึ้นมาหนึ่งตัวพร้อมกับม้านั่งหินสองตัว

  

จากนั้น

  

เฉินเต้าเสวียนใช้ทักษะควบคุมไฟ ระเหยน้ำในศาลาออกไป

  

ภายใต้ไอน้ำ ศาลาริมน้ำแห่งนี้ดูเหมือนแดนมหัศจรรย์ในฝัน

  

“ข้ารู้สึกว่า อือ…ยังขาดอะไรไปบางอย่างอยู่ดี”

  

เฉินเต้าเสวียนลูบคาง พึมพำเบาๆ

  

จากนั้นเขาก็บินขึ้นไปวนรอบศาลาสองสามรอบ ในที่สุดก็พบว่าขาดอะไรไป

  

“ไอ้นี่เอง ข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อให้เจ้า!”

  

ดวงตาของเฉินเต้าเสวียนเป็นประกาย เขายิ้มออกมาเล็กน้อย

  

เมื่อแสงกระบี่พุ่งขึ้น ในพริบตา อักษรสามตัว “กวนไห่ถิง(ศาลาชมทะเล)” ก็ปรากฏขึ้นเหนือศาลาหิน

  

ตั้งแต่ตัดสินใจสร้างศาลาแห่งนี้ จนกระทั่งศาลาถูกสร้างขึ้น เขาใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วยาม

  

ประสิทธิภาพในการทำงานแบบนี้ แม้จะอยู่ในโลกเดิม มันก็ยังน่ากลัวมาก

  

แต่เฉินเต้าเสวียนรู้ดีว่า นี่คือพลังของผู้ฝึกตน

  

พลังของผู้ฝึกตน ไม่เพียงแต่แสดงออกมาในพลังทำลายล้างอันทรงพลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกำลังการผลิตอันทรงพลังอีกด้วย

  

ตัวอย่างเช่น นาข้าวจิตวิญญาณ ที่สามารถเพาะปลูกได้โดยผู้ฝึกตนเท่านั้น

  

หากปล่อยให้คนธรรมดาปลูกนาข้าวจิตวิญญาณ แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ พวกเขาก็ไม่สามารถปลูกนาข้าวจิตวิญญาณได้แม้แต่หนึ่งมู่

  

เพราะต้นข้าวจิตวิญญาณไม่เหมือนกับต้นข้าวทั่วไป

  

ลำต้นของมันเหนียวมาก ต้องใช้ผู้ฝึกตนถืออาวุธวิเศษจึงจะตัดขาดได้ นับประสาอะไรกับงานที่ยากกว่าอย่างการสีข้าว

  

ดังนั้น

  

แม้แต่กลุ่มผู้ฝึกตน พวกเขาก็ต้องเรียนรู้เป็นพิเศษ จึงจะสามารถปลูกนาข้าวจิตวิญญาณได้

  

ในกลุ่มผู้ฝึกตน ผู้ที่รู้วิธีปลูกนาข้าวจิตวิญญาณเรียกว่า… ชาวนาจิตวิญญาณ แม้ว่าอาชีพนี้จะไม่เป็นที่นิยมเท่านักปรุงยา ช่างหลอมอาวุธวิเศษ ปรมาจารย์ค่ายกล หรือปรมาจารย์ยันต์

  

แต่ในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระ พวกเขาก็นับว่าเป็นคนรวยและหล่อเหลา

  

หินจิตวิญญาณที่ชาวนาจิตวิญญาณหาได้ในหนึ่งปี อย่างน้อยก็มากกว่าผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีความสามารถพิเศษหลายเท่า

  

แน่นอน…

  

ในเมื่องกวงอัน เนื่องจากผู้ฝึกตนอิสระส่วนใหญ่ไม่มีเส้นพลังปราณ ดังนั้น แม้ว่าจะรู้วิธีปลูกนาข้าวจิตวิญญาณ ก็ทำได้แค่เป็นชาวนาให้กับตระกูลผู้ฝึกตนขนาดใหญ่เท่านั้น

  

ด้วยการเอารัดเอาเปรียบของตระกูลผู้ฝึกตนขนาดใหญ่ในทะเลหมื่นดวงดาว ชาวนาจิตวิญญาณเหล่านี้แทบจะหาหินจิตวิญญาณไม่ได้เลยตลอดทั้งปี

  

สิ่งนี้ยังทำให้ผู้ฝึกตนอิสระไม่สนใจที่จะเรียนรู้การปลูกนาข้าวจิตวิญญาณ….

  

เฉินเต้าเสวียนนั่งรอในศาลา จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน

  

หลังจากรอนานถึงหนึ่งวัน

  

เผ่าเงือกก็มาถึงอย่างช้าๆ

  

ในครั้งนี้ ลั่วหลีมาเพียงคนเดียว ส่วนลูกน้องของนาง ถูกนางจัดให้อยู่ในกลุ่มโขดหินใต้ทะเล

  

ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ให้เงือกชายร่างกำยำล้อมรอบเฉินเต้าเสวียน เพื่อข่มขวัญเขา

  

“เฉินเต้าเสวียน ข้ามาแล้ว!”

  

ลั่วหลีที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำทะเล มองศาลาหินที่เฉินเต้าเสวียนสร้างขึ้นด้วยความสงสัย สุดท้ายก็นั่งลงบนม้านั่งหิน

  

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินเต้าเสวียนก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย

  

สายตาของเขามองไปที่ด้านล่างของลั่วหลีโดยไม่รู้ตัว

  

แต่ก่อนที่เขาจะมองเห็นชัดๆ เขาก็ถูกอีกฝ่ายจับได้เสียก่อน

  

ลั่วหลีมองเขาด้วยความสงสัย เอียงศีรษะถาม “เจ้ากำลังมองอะไร?”

  

“แค่กแค่ก! ไม่มีอะไร”

  

เฉินเต้าเสวียนแกล้งไอ จากนั้นก็ยิ้ม “เราเจอกันอีกแล้ว คุณหนูลั่วหลี”

  

เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ แม้ว่าลั่วหลีจะสงสัยในใจ แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก

จากนั้นนางก็นึกอะไรขึ้นได้ มองไปรอบๆ ศาลา มองไปที่เฉินเต้าเสวียน “ศาลาหลังนี้เจ้าสร้างขึ้นมาเอง?”

  

“ถูกต้อง”

  

เฉินเต้าเสวียนพยักหน้า

  

“น่าเกลียดชะมัด”

  

ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มที่ทั้งเขินอายและสุภาพก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินเต้าเสวียน

  

เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ ลั่วหลีก็หัวเราะคิกคัก “แต่เจ้าก็ตั้งใจมาก”

“ต้องตั้งใจสิ ท้ายที่สุดแล้ว เผ่าเงือกของเจ้าก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของตระกูลเฉินของข้า”

  

เฉินเต้าเสวียนยิ้มอย่างจริงใจ

  

หลังจากทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างสุภาพสองสามประโยค เฉินเต้าเสวียนก็เข้าประเด็น “คุณหนูลั่วหลี ไม่ทราบว่าพวกเจ้าต้องการซื้อกระบี่บินกี่เล่มในคราวนี้?”

  

เมื่อได้ยินเฉินเต้าเสวียนพูดถึงธุรกิจ ลั่วหลีก็ตั้งใจฟัง “แน่นอนว่ายิ่งมากยิ่งดี อาวุธวิเศษที่เจ้าขายให้เผ่าเงือกของเราในครั้งที่แล้ว มันยอดเยี่ยมมาก แต่จำนวนมันน้อยไปหน่อย ครั้งนี้เราต้องการซื้ออาวุธวิเศษให้มากขึ้น”

  

นางหยุดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสริม “มีเท่าไหร่ เราเอาหมด”

  

เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูร่ำรวยนี้ เฉินเต้าเสวียนก็ดีใจมาก

  

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

  

เฉินเต้าเสวียนตบถุงเก็บของ

  

กระบี่บินที่เปล่งประกายพลังปราณกองอยู่ในศาลา จนกระทั่งกองเป็นภูเขาขนาดเล็ก

  

เมื่อเห็นกระบี่บินที่เท้าของนาง ดวงตาอันงดงามของลั่วหลีก็เต็มไปด้วยความโลภ ราวกับคนขี้เหนียวที่เห็นทองคำ

  

นางสูดหายใจเข้าลึกๆ “กระบี่บินคราวนี้ เยอะกว่าครั้งที่แล้วเยอะเลย”

  

“ใช่”

  

เฉินเต้าเสวียนพยักหน้า “ครั้งนี้พวกเราเตรียมตัวนานกว่า บวกกับวัตถุดิบที่เพียงพอ จำนวนจึงมากกว่าครั้งที่แล้วหลายเท่า ข้ามีกระบี่บินทั้งหมดสามร้อยห้าสิบเล่ม”

  

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของลั่วหลีกลับเผยความลำบากใจ

  

“เกิดอะไรขึ้น คุณหนูลั่วหลี มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

  

เฉินเต้าเสวียนเห็นสีหน้าของนางแปลกไป จึงถามด้วยความเป็นห่วง

  

ลั่วหลีส่ายหน้า จากนั้นก็กล่าว “จริงสิ ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่า พวกข้าสามารถใช้แร่จิตวิญญาณจ่ายแทนได้ใช่ไหม? ในครั้งนี้ หินจิตวิญญาณที่พวกเราเตรียมมาอาจไม่พอ เจ้าดูสิว่า จะใช้แร่จิตวิญญาณหักลบกลบหนี้ได้อยู่ไหม?”

  

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เสียงของลั่วหลีก็เบาลงเรื่อยๆ

  

เมื่อเฉินเต้าเสวียนได้ยินคำพูดนี้ ใจของเขาก็หนักอึ้ง

  

ครั้งนี้เขายังหวังว่าจะหาหินจิตวิญญาณ 100,000 ก้อนจากเผ่าเงือกอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปสร้างเส้นพลังปราณบนเกาะซวงหู

  

ไม่คิดว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนไปอีก

  

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็กล่าวอย่างใจเย็น “ไม่ทราบว่า คุณหนูลั่วหลีนำหินจิตวิญญาณมาเท่าไหร่ในคราวนี้?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด