บทที่ 58 ข้อดีข้อเสียของวิชาบ่มเพาะกายเนื้อ
บทที่ 58 ข้อดีข้อเสียของวิชาบ่มเพาะกายเนื้อ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้
เฉินเต้าเสวียนจึงฝึกฝน “วิชางูเหลือมมังกรกลืนสวรรค์” อีกครั้ง เขามีลางสังหรณ์ว่าวันนี้เขาจะสามารถเริ่มต้นทักษะบำเพ็ญเพียรนี้ได้
แน่นอน…
เมื่อวิชาบ่มเพาะกายเนื้อนี้เริ่มทำงาน ลำไส้ของเฉินเต้าเสวียนก็เริ่มบีบตัวอย่างรุนแรง ตามมาด้วยความรู้สึกหิวโหยอย่างมาก
ความหิวโหยครั้งนี้รุนแรงมาก เกือบจะกลืนกินสติสัมปชัญญะของเขา
นับตั้งแต่เฉินเต้าเสวียนมาถึงขอบเขตหลอมรวมพลังปราณและสามารถอดอาหารได้ เขาก็ไม่เคยรู้สึกหิวขนาดนี้มาก่อน
ราวกับว่าหากไม่กินอะไรเข้าไป ชั่วอึดใจต่อมาเขาจะต้องอดตาย
โชคดีที่เฉินเต้าเสวียนเตรียมพร้อมไว้แล้ว เขาหยิบเนื้อสัตว์อสูรที่ย่างสุก ขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากถุงเก็บของ เคี้ยวกลืนอย่างเอร็ดอร่อย
เนื้อของอสรพิษลายโลหิตนั้นนุ่มและอร่อย แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันถูกเก็บไว้ในถุงเก็บของเป็นเวลาหลายเดือน รสชาติจึงเทียบไม่ได้กับความสดใหม่เมื่อตอนที่เพิ่งล่ามา
แต่ในตอนนี้
เฉินเต้าเสวียนที่หิวจนตาลาย ไม่สนใจรสชาติอีกต่อไป
เนื้อย่างสัตว์อสูรชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกเขากัดสองสามคำอย่างรุนแรง แล้วก็กลืนลงไป
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป
ในกระเพาะอาหารเล็กๆ ของเฉินเต้าเสวียน บรรจุเนื้อย่างอสรพิษลายโลหิตอย่างน้อยหลายร้อยจิน
ต้องรู้ก่อนว่า นี่ไม่ใช่สัตว์ปีกหรือสัตว์ทั่วๆ ไป แต่นี่คือเนื้อสัตว์อสูร พลังงานที่มีอยู่ในเนื้อของมัน อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตหลอมรวมพลังปราณก็ยังย่อยยาก
อย่างไรก็ตาม เฉินเต้าเสวียนกินเนื้อไปหลายร้อยจิน ท้องของเขาก็นูนขึ้นเล็กน้อย นอกนั้นก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด
“เอิ๊ก—!”
หลังจากกินไปอีกครึ่งก้านธูป เฉินเต้าเสวียนก็เรอออกมา เขารู้สึกว่าตัวเองกินไม่ไหวแล้ว
“โครกคราก! โครกคราก!”
ทันใดนั้น เสียงดังก้องราวกับฟ้าร้องก็ดังขึ้นในห้องบำเพ็ญเพียร
เฉินเต้าเสวียนรู้ว่านี่เป็นเสียงของลำไส้ของเขา ที่กำลังย่อยเนื้อย่างอสรพิษลายโลหิตอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเนื้อย่างสัตว์อสูรในท้องถูกย่อยทีละน้อย กระแสความร้อนที่แตกต่างจากปราณแก่นแท้ทั่วไปก็ไหลออกมาจากกระเพาะ ไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
ในจำนวนนี้ สถานที่ที่กระแสความร้อนรวมตัวกันมากที่สุดคือผิวหนังทั่วร่างกายของเขา
เฉินเต้าเสวียนรู้สึกว่าผิวหนังของเขาถูกกระแสความร้อนนี้ชำระล้างทีละน้อย ความแข็งแรงของผิวหนังก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าการป้องกันร่างกายที่เพิ่มขึ้นนี้จะเทียบไม่ได้กับอาวุธวิเศษ แต่ถ้ามันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้
เฉินเต้าเสวียนเชื่อว่า สักวันหนึ่งร่างกายของเขาจะสามารถต้านทานอาวุธวิเศษได้อย่างที่ชายชราในโรงประมูลพูด
ยิ่งไปกว่านั้น
เฉินเต้าเสวียนค้นพบข้อดีอีกอย่างของวิชาบ่มเพาะกายเนื้อ
นั่นคือ การเพิ่มอัตราความสำเร็จในการสร้างรากฐานของผู้ฝึกตน
เป็นที่ทราบกันดีว่า การที่ผู้ฝึกตนจะสร้างรากฐานได้ นอกจากจะต้องใช้โอสถสร้างรากฐานแล้ว ยังต้องมีเส้นพลังปราณระดับสองขึ้นไปช่วย
สาเหตุที่ต้องใช้ทรัพยากรทั้งสองนี้ เป็นเพราะปราณแก่นแท้ของผู้ฝึกตนจะเปลี่ยนเป็นปราณหยวนในระหว่างกระบวนการสร้างรากฐาน
เมื่อเทียบกับความอ่อนโยนของปราณแก่นแท้ในตันเถียนตามปกติ ในระหว่างการทะลวงขอบเขตสร้างรากฐาน การที่ปราณแก่นแท้ของผู้ฝึกตนเปลี่ยนเป็นปราณหยวน จะทำให้ตันเถียนขยายตัวอย่างรุนแรง
ในเวลานี้ ความอ่อนโยนของพลังปราณจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ
ส่วนหน้าที่ของโอสถสร้างรากฐานคือ ทำให้พลังปราณที่เปลี่ยนแปลงของผู้ฝึกตนมีความอ่อนโยนมาก ก้าวข้ามปัญหาการขยายตัวของตันเถียนโดยตรง
อุปสรรคที่สองของการสร้างรากฐานคือ การชำระล้างร่างกายด้วยปราณหยวน
เนื่องจากปราณแก่นแท้เปลี่ยนเป็นปราณหยวน และการขยายตัวของตันเถียน ต้องการใช้ปราณหยวนจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ
ในเวลานี้ เว้นแต่จะเป็นเส้นพลังปราณระดับสองขึ้นไป มิฉะนั้นจะไม่สามารถรองรับการทะลวงขอบเขตของผู้ฝึกตนได้
แต่ในขณะเดียวกัน การชำระล้างร่างกายด้วยปราณหยวนจะนำมาซึ่งปัญหาอีกประการหนึ่ง นั่นคือ ร่างกายของผู้ฝึกตนจะสามารถทนต่อความเสียหายที่เกิดจากการชำระล้างร่างกายด้วยปราณหยวนได้หรือไม่?
มีผู้ฝึกตนบางคน แม้ว่าจะผ่านปัญหาการขยายตัวของตันเถียนไปแล้ว แต่ก็ล้มเหลวในการชำระล้างร่างกายด้วยปราณหยวน
นี่คือภัยพิบัติที่เกิดจากความแข็งแกร่งของร่างกายของผู้ฝึกตนไม่เพียงพอ
นี่คือเหตุผลที่ลูกหลานของตระกูลใหญ่ ต้องกินข้าวจิตวิญญาณเป็นประจำ
ข้าวจิตวิญญาณมีผลในการบำรุงร่างกาย และเพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อ
หากกินเป็นเวลานาน เมื่อสร้างรากฐานในอนาคต จะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงของตันเถียนที่อันตรายที่สุดไปแล้ว แต่กลับล้มเหลวในการชำระล้างร่างกายด้วยปราณหยวน
เห็นได้ชัดว่าการฝึกฝนวิชาบ่มเพาะกายเนื้อนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายของผู้ฝึกตนมากกว่าการกินข้าวจิตวิญญาณเป็นเวลานาน
ไม่เพียงเท่านั้น
การเสริมสร้างร่างกายของผู้ฝึกตน แม้กระทั่งในระดับหนึ่ง ยังสามารถเร่งความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของผู้ฝึกตนได้
เพราะปริมาณพลังปราณที่ผู้ฝึกตนสามารถกลั่นได้ในแต่ละวันนั้นคงที่ หากเกินปริมาณนี้ จะทำให้ร่างกายของผู้ฝึกตนเสียหาย
แต่ถ้าความแข็งแกร่งของร่างกายของผู้ฝึกตนเพิ่มขึ้นล่ะ?
ในเวลานั้น ปริมาณพลังปราณที่ผู้ฝึกตนสามารถกลั่นได้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และความเร็วในการบำเพ็ญเพียรก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
แน่นอน…
ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ฝึกตนสามารถทนต่อการบริโภค ที่เกิดจากการฝึกฝนร่างกายได้ด้วยหรือไม่?
เมื่อครู่นี้เฉินเต้าเสวียนฝึกฝนไปไม่ถึงสองก้านธูป เขาก็กินเนื้อย่างสัตว์อสูรไปหลายร้อยจินแล้ว
ต้องรู้ก่อนว่า อสรพิษลายโลหิตตัวนั้น หลังจากถลกหนัง เลาะกระดูก และเอาเนื้อที่กินไม่ได้ออกไปแล้ว เนื้อดีๆ ที่เหลือก็มีน้ำหนักรวมกันไม่เกินสองพันกว่าจิน
เฉินเต้าเสวียนกินไปหนึ่งในสิบแล้ว
ตามราคาตลาด เขาใช้จ่ายอย่างน้อย 10 หินจิตวิญญาณในการกินเมื่อครู่นี้
นี่เพิ่งฝึกฝนไปแค่สองก้านธูปเองนะ?
ตามความเร็วในการฝึกฝนนี้ หากเขาฝึกฝนอย่างเต็มที่ เขาต้องกินวัตถุดิบมูลค่าสี่สิบถึงห้าสิบหินจิตวิญญาณต่อวัน
ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าวจิตวิญญาณ บางทีอาจจะแพงกว่า
วิธีการบำเพ็ญเพียรกายเนื้อแบบนี้ กองกำลังที่ไหนจะทนไหว?
อย่าว่าแต่ตระกูลโจวในเมืองกวงอันเลย แม้แต่นิกายกระบี่เฉียนหยวนก็คงทนการใช้จ่ายแบบนี้ไม่ไหว!
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่านิกายกระบี่เฉียนหยวนจะมีทรัพยากรมากมายนับไม่ถ้วน แต่จำนวนศิษย์ในนิกายก็มากที่สุดในทะเลหมื่นดวงดาวเช่นกัน
นิกายใหญ่ขนาดนี้ ทุกคนกินแบบนี้ ฐานะร่ำรวยแค่ไหนในอนาคตก็หมด!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้
ความคิดของเฉินเต้าเสวียน ที่เดิมทีวางแผนจะให้ผู้ฝึกตนของตระกูลเฉินทุกคนฝึกฝนวิชาบ่มเพาะกายเนื้อ ความคิดนี้ก็พังทลายลง
เขาคาดว่า ในอนาคต คงอนุญาตให้เฉพาะลูกหลานของตระกูลที่เป็นชนชั้นสูงเท่านั้น ที่ฝึกฝนวิชาบ่มเพาะกายเนื้อ ส่วนผู้ฝึกตนทั่วไปของตระกูล ตระกูลเฉินคงเลี้ยงดูไม่ไหว…
เฉินเต้าเสวียนส่ายหน้า ไม่คิดมากอีกต่อไป
เขาลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสาย กระดูกทั่วร่างกายส่งเสียงดังกรอบแกรบ
ออกจากถ้ำ
บนลานเล็กๆ บนหน้าผา
เฉินเต้าเสวียนพบว่าเฉินเต้าฉูพาต้นกล้าเซียนรุ่นเต๋า(เต้า) อีกแปดคน กำลังฝึกฝนกระบี่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า
เฉินเต้าเสวียนมองดูเงียบๆ ไม่รบกวนพวกเขา
แม้ว่าจะฝึกฝนมาเพียงไม่กี่เดือน
เฉินเต้าฉูก็ทะลวงระดับไปถึงขอบเขตก่อนสวรรค์สี่ติดต่อกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมากระหว่างคนที่มีรากจิตวิญญาณกับคนธรรมดา
นี่เป็นเพราะเฉินเต้าฉูไม่มีทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรเพียงพอ
หากตระกูลเฉินซื้โอสถทะลวงเส้นพลังปราณให้กับศิษย์ที่มีรากจิตวิญญาณของตระกูล เขาก็สามารถทะลวงเส้นชีพจรทั่วร่างกายได้ในชั่วข้ามคืน ก้าวข้ามขอบเขตปุถุชน เข้าสู่ขอบเขตหลอมรวมพลังปราณโดยตรง
เหตุผลที่เฉินเต้าเสวียนไม่ทำเช่นนั้น เป็นเพราะเส้นพลังปราณของตระกูลยังไม่ได้รับการสร้างะ แม้ว่าจะให้พวกเขาเข้าสู่ขอบเขตหลอมรวมพลังปราณ เขาก็ไม่มีพลังปราณเพียงพอในการบำเพ็ญเพียร
ตอนนี้ให้พวกเขาอ่านตำรา ฝึกฝนกระบี่ บ่มเพาะจิตใจไปก่อนจะดีกว่า
“เฉินเต้าเหลียน เจ้ากินข้าวไม่อิ่มหรือไง? มือไม้สั่นขนาดนั้น?”
เฉินเต้าฉูเห็นกระบี่ในมือของเฉินเต้าเหลียนสั่นเทา ตัวสั่นคลอน ก็ทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กๆ
เฉินเต้าเหลียนถูกดุ นางก็รู้สึกน้อยใจ น้ำตาคลอเบ้า แต่ก็กัดฟันไม่ยอมให้น้ำตาไหล
สิ่งที่คนอื่นทำได้ ตัวนาง… เฉินเต้าเหลียนก็ทำได้
เฉินเต้าเสวียนมองดูอยู่ข้างๆ พยักหน้าในใจ
เฉินเต้าเหลียนดูบอบบาง แต่กลับเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง บุคลิกแบบนี้เอื้อต่อการฝึกตน
หลังจากดูทุกคนฝึกฝนกระบี่อยู่พักหนึ่ง
เฉินเต้าเสวียนเห็นว่าเฉินเต้าฉูสอนได้ดี จึงไม่ได้ทักทายพวกเขา แต่บินไปยังโรงงานกระบี่บินหงอินโดยตรง