ตอนที่แล้วบทที่ 57 ทักษะบำเพ็ญเพียร “ถังข้าว”
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 59 ขยายขนาดการค้า

บทที่ 58 ข้อดีข้อเสียของวิชาบ่มเพาะกายเนื้อ


บทที่ 58 ข้อดีข้อเสียของวิชาบ่มเพาะกายเนื้อ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้

  

เฉินเต้าเสวียนจึงฝึกฝน “วิชางูเหลือมมังกรกลืนสวรรค์” อีกครั้ง เขามีลางสังหรณ์ว่าวันนี้เขาจะสามารถเริ่มต้นทักษะบำเพ็ญเพียรนี้ได้

  

แน่นอน…

  

เมื่อวิชาบ่มเพาะกายเนื้อนี้เริ่มทำงาน ลำไส้ของเฉินเต้าเสวียนก็เริ่มบีบตัวอย่างรุนแรง ตามมาด้วยความรู้สึกหิวโหยอย่างมาก

  

ความหิวโหยครั้งนี้รุนแรงมาก เกือบจะกลืนกินสติสัมปชัญญะของเขา

  

นับตั้งแต่เฉินเต้าเสวียนมาถึงขอบเขตหลอมรวมพลังปราณและสามารถอดอาหารได้ เขาก็ไม่เคยรู้สึกหิวขนาดนี้มาก่อน

  

ราวกับว่าหากไม่กินอะไรเข้าไป ชั่วอึดใจต่อมาเขาจะต้องอดตาย

  

โชคดีที่เฉินเต้าเสวียนเตรียมพร้อมไว้แล้ว เขาหยิบเนื้อสัตว์อสูรที่ย่างสุก ขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากถุงเก็บของ เคี้ยวกลืนอย่างเอร็ดอร่อย

  

เนื้อของอสรพิษลายโลหิตนั้นนุ่มและอร่อย แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันถูกเก็บไว้ในถุงเก็บของเป็นเวลาหลายเดือน รสชาติจึงเทียบไม่ได้กับความสดใหม่เมื่อตอนที่เพิ่งล่ามา

  

แต่ในตอนนี้

  

เฉินเต้าเสวียนที่หิวจนตาลาย ไม่สนใจรสชาติอีกต่อไป

  

เนื้อย่างสัตว์อสูรชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกเขากัดสองสามคำอย่างรุนแรง แล้วก็กลืนลงไป

  

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป

  

ในกระเพาะอาหารเล็กๆ ของเฉินเต้าเสวียน บรรจุเนื้อย่างอสรพิษลายโลหิตอย่างน้อยหลายร้อยจิน

  

ต้องรู้ก่อนว่า นี่ไม่ใช่สัตว์ปีกหรือสัตว์ทั่วๆ ไป แต่นี่คือเนื้อสัตว์อสูร พลังงานที่มีอยู่ในเนื้อของมัน อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตหลอมรวมพลังปราณก็ยังย่อยยาก

  

อย่างไรก็ตาม เฉินเต้าเสวียนกินเนื้อไปหลายร้อยจิน ท้องของเขาก็นูนขึ้นเล็กน้อย นอกนั้นก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด

  

“เอิ๊ก—!”

  

หลังจากกินไปอีกครึ่งก้านธูป เฉินเต้าเสวียนก็เรอออกมา เขารู้สึกว่าตัวเองกินไม่ไหวแล้ว

  

“โครกคราก! โครกคราก!”

  

ทันใดนั้น เสียงดังก้องราวกับฟ้าร้องก็ดังขึ้นในห้องบำเพ็ญเพียร

  

เฉินเต้าเสวียนรู้ว่านี่เป็นเสียงของลำไส้ของเขา ที่กำลังย่อยเนื้อย่างอสรพิษลายโลหิตอย่างบ้าคลั่ง

  

เมื่อเนื้อย่างสัตว์อสูรในท้องถูกย่อยทีละน้อย กระแสความร้อนที่แตกต่างจากปราณแก่นแท้ทั่วไปก็ไหลออกมาจากกระเพาะ ไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว

  

ในจำนวนนี้ สถานที่ที่กระแสความร้อนรวมตัวกันมากที่สุดคือผิวหนังทั่วร่างกายของเขา

  

เฉินเต้าเสวียนรู้สึกว่าผิวหนังของเขาถูกกระแสความร้อนนี้ชำระล้างทีละน้อย ความแข็งแรงของผิวหนังก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  

แม้ว่าการป้องกันร่างกายที่เพิ่มขึ้นนี้จะเทียบไม่ได้กับอาวุธวิเศษ แต่ถ้ามันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้

  

เฉินเต้าเสวียนเชื่อว่า สักวันหนึ่งร่างกายของเขาจะสามารถต้านทานอาวุธวิเศษได้อย่างที่ชายชราในโรงประมูลพูด

  

ยิ่งไปกว่านั้น

  

เฉินเต้าเสวียนค้นพบข้อดีอีกอย่างของวิชาบ่มเพาะกายเนื้อ

  

นั่นคือ การเพิ่มอัตราความสำเร็จในการสร้างรากฐานของผู้ฝึกตน

  

เป็นที่ทราบกันดีว่า การที่ผู้ฝึกตนจะสร้างรากฐานได้ นอกจากจะต้องใช้โอสถสร้างรากฐานแล้ว ยังต้องมีเส้นพลังปราณระดับสองขึ้นไปช่วย

  

สาเหตุที่ต้องใช้ทรัพยากรทั้งสองนี้ เป็นเพราะปราณแก่นแท้ของผู้ฝึกตนจะเปลี่ยนเป็นปราณหยวนในระหว่างกระบวนการสร้างรากฐาน

  

เมื่อเทียบกับความอ่อนโยนของปราณแก่นแท้ในตันเถียนตามปกติ ในระหว่างการทะลวงขอบเขตสร้างรากฐาน การที่ปราณแก่นแท้ของผู้ฝึกตนเปลี่ยนเป็นปราณหยวน จะทำให้ตันเถียนขยายตัวอย่างรุนแรง

ในเวลานี้ ความอ่อนโยนของพลังปราณจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ

  

ส่วนหน้าที่ของโอสถสร้างรากฐานคือ ทำให้พลังปราณที่เปลี่ยนแปลงของผู้ฝึกตนมีความอ่อนโยนมาก ก้าวข้ามปัญหาการขยายตัวของตันเถียนโดยตรง

  

อุปสรรคที่สองของการสร้างรากฐานคือ การชำระล้างร่างกายด้วยปราณหยวน

  

เนื่องจากปราณแก่นแท้เปลี่ยนเป็นปราณหยวน และการขยายตัวของตันเถียน ต้องการใช้ปราณหยวนจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ

  

ในเวลานี้ เว้นแต่จะเป็นเส้นพลังปราณระดับสองขึ้นไป มิฉะนั้นจะไม่สามารถรองรับการทะลวงขอบเขตของผู้ฝึกตนได้

  

แต่ในขณะเดียวกัน การชำระล้างร่างกายด้วยปราณหยวนจะนำมาซึ่งปัญหาอีกประการหนึ่ง นั่นคือ ร่างกายของผู้ฝึกตนจะสามารถทนต่อความเสียหายที่เกิดจากการชำระล้างร่างกายด้วยปราณหยวนได้หรือไม่?

  

มีผู้ฝึกตนบางคน แม้ว่าจะผ่านปัญหาการขยายตัวของตันเถียนไปแล้ว แต่ก็ล้มเหลวในการชำระล้างร่างกายด้วยปราณหยวน

  

นี่คือภัยพิบัติที่เกิดจากความแข็งแกร่งของร่างกายของผู้ฝึกตนไม่เพียงพอ

  

นี่คือเหตุผลที่ลูกหลานของตระกูลใหญ่ ต้องกินข้าวจิตวิญญาณเป็นประจำ

  

ข้าวจิตวิญญาณมีผลในการบำรุงร่างกาย และเพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อ

  

หากกินเป็นเวลานาน เมื่อสร้างรากฐานในอนาคต จะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงของตันเถียนที่อันตรายที่สุดไปแล้ว แต่กลับล้มเหลวในการชำระล้างร่างกายด้วยปราณหยวน

  

เห็นได้ชัดว่าการฝึกฝนวิชาบ่มเพาะกายเนื้อนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายของผู้ฝึกตนมากกว่าการกินข้าวจิตวิญญาณเป็นเวลานาน

  

ไม่เพียงเท่านั้น

  

การเสริมสร้างร่างกายของผู้ฝึกตน แม้กระทั่งในระดับหนึ่ง ยังสามารถเร่งความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของผู้ฝึกตนได้

  

เพราะปริมาณพลังปราณที่ผู้ฝึกตนสามารถกลั่นได้ในแต่ละวันนั้นคงที่ หากเกินปริมาณนี้ จะทำให้ร่างกายของผู้ฝึกตนเสียหาย

  

แต่ถ้าความแข็งแกร่งของร่างกายของผู้ฝึกตนเพิ่มขึ้นล่ะ?

  

ในเวลานั้น ปริมาณพลังปราณที่ผู้ฝึกตนสามารถกลั่นได้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และความเร็วในการบำเพ็ญเพียรก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

  

แน่นอน…

  

ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ฝึกตนสามารถทนต่อการบริโภค ที่เกิดจากการฝึกฝนร่างกายได้ด้วยหรือไม่?

  

เมื่อครู่นี้เฉินเต้าเสวียนฝึกฝนไปไม่ถึงสองก้านธูป เขาก็กินเนื้อย่างสัตว์อสูรไปหลายร้อยจินแล้ว

  

ต้องรู้ก่อนว่า อสรพิษลายโลหิตตัวนั้น หลังจากถลกหนัง เลาะกระดูก และเอาเนื้อที่กินไม่ได้ออกไปแล้ว เนื้อดีๆ ที่เหลือก็มีน้ำหนักรวมกันไม่เกินสองพันกว่าจิน

  

เฉินเต้าเสวียนกินไปหนึ่งในสิบแล้ว

  

ตามราคาตลาด เขาใช้จ่ายอย่างน้อย 10 หินจิตวิญญาณในการกินเมื่อครู่นี้

  

นี่เพิ่งฝึกฝนไปแค่สองก้านธูปเองนะ?

  

ตามความเร็วในการฝึกฝนนี้ หากเขาฝึกฝนอย่างเต็มที่ เขาต้องกินวัตถุดิบมูลค่าสี่สิบถึงห้าสิบหินจิตวิญญาณต่อวัน

  

ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าวจิตวิญญาณ บางทีอาจจะแพงกว่า

  

วิธีการบำเพ็ญเพียรกายเนื้อแบบนี้ กองกำลังที่ไหนจะทนไหว?

  

อย่าว่าแต่ตระกูลโจวในเมืองกวงอันเลย แม้แต่นิกายกระบี่เฉียนหยวนก็คงทนการใช้จ่ายแบบนี้ไม่ไหว!

  

ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่านิกายกระบี่เฉียนหยวนจะมีทรัพยากรมากมายนับไม่ถ้วน แต่จำนวนศิษย์ในนิกายก็มากที่สุดในทะเลหมื่นดวงดาวเช่นกัน

  

นิกายใหญ่ขนาดนี้ ทุกคนกินแบบนี้ ฐานะร่ำรวยแค่ไหนในอนาคตก็หมด!

  

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้

  

ความคิดของเฉินเต้าเสวียน ที่เดิมทีวางแผนจะให้ผู้ฝึกตนของตระกูลเฉินทุกคนฝึกฝนวิชาบ่มเพาะกายเนื้อ ความคิดนี้ก็พังทลายลง

  

เขาคาดว่า ในอนาคต คงอนุญาตให้เฉพาะลูกหลานของตระกูลที่เป็นชนชั้นสูงเท่านั้น ที่ฝึกฝนวิชาบ่มเพาะกายเนื้อ ส่วนผู้ฝึกตนทั่วไปของตระกูล ตระกูลเฉินคงเลี้ยงดูไม่ไหว…

  

เฉินเต้าเสวียนส่ายหน้า ไม่คิดมากอีกต่อไป

  

เขาลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสาย กระดูกทั่วร่างกายส่งเสียงดังกรอบแกรบ

  

ออกจากถ้ำ

  

บนลานเล็กๆ บนหน้าผา

  

เฉินเต้าเสวียนพบว่าเฉินเต้าฉูพาต้นกล้าเซียนรุ่นเต๋า(เต้า) อีกแปดคน กำลังฝึกฝนกระบี่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า

  

เฉินเต้าเสวียนมองดูเงียบๆ ไม่รบกวนพวกเขา

  

แม้ว่าจะฝึกฝนมาเพียงไม่กี่เดือน

  

เฉินเต้าฉูก็ทะลวงระดับไปถึงขอบเขตก่อนสวรรค์สี่ติดต่อกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมากระหว่างคนที่มีรากจิตวิญญาณกับคนธรรมดา

  

นี่เป็นเพราะเฉินเต้าฉูไม่มีทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรเพียงพอ

  

หากตระกูลเฉินซื้โอสถทะลวงเส้นพลังปราณให้กับศิษย์ที่มีรากจิตวิญญาณของตระกูล เขาก็สามารถทะลวงเส้นชีพจรทั่วร่างกายได้ในชั่วข้ามคืน ก้าวข้ามขอบเขตปุถุชน เข้าสู่ขอบเขตหลอมรวมพลังปราณโดยตรง

  

เหตุผลที่เฉินเต้าเสวียนไม่ทำเช่นนั้น เป็นเพราะเส้นพลังปราณของตระกูลยังไม่ได้รับการสร้างะ แม้ว่าจะให้พวกเขาเข้าสู่ขอบเขตหลอมรวมพลังปราณ เขาก็ไม่มีพลังปราณเพียงพอในการบำเพ็ญเพียร

  

ตอนนี้ให้พวกเขาอ่านตำรา ฝึกฝนกระบี่ บ่มเพาะจิตใจไปก่อนจะดีกว่า

  

“เฉินเต้าเหลียน เจ้ากินข้าวไม่อิ่มหรือไง? มือไม้สั่นขนาดนั้น?”

  

เฉินเต้าฉูเห็นกระบี่ในมือของเฉินเต้าเหลียนสั่นเทา ตัวสั่นคลอน ก็ทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กๆ

  

เฉินเต้าเหลียนถูกดุ นางก็รู้สึกน้อยใจ น้ำตาคลอเบ้า แต่ก็กัดฟันไม่ยอมให้น้ำตาไหล

  

สิ่งที่คนอื่นทำได้ ตัวนาง… เฉินเต้าเหลียนก็ทำได้

  

เฉินเต้าเสวียนมองดูอยู่ข้างๆ พยักหน้าในใจ

  

เฉินเต้าเหลียนดูบอบบาง แต่กลับเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง บุคลิกแบบนี้เอื้อต่อการฝึกตน

  

หลังจากดูทุกคนฝึกฝนกระบี่อยู่พักหนึ่ง

  

เฉินเต้าเสวียนเห็นว่าเฉินเต้าฉูสอนได้ดี จึงไม่ได้ทักทายพวกเขา แต่บินไปยังโรงงานกระบี่บินหงอินโดยตรง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด