บทที่ 57 ทักษะบำเพ็ญเพียร “ถังข้าว”
บทที่ 57 ทักษะบำเพ็ญเพียร “ถังข้าว”
ใช้เวลาไปครึ่งวัน
การคัดเลือกต้นกล้าเซียนของตระกูลเฉินครั้งใหญ่ครั้งแรก นับตั้งแต่เฉินเซียนเหอเป็นผู้นำตระกูลเฉินมาห้าสิบปี ก็สิ้นสุดลง
ที่ว่าการเมืองฉางผิง
เฉินเต้าเสวียนมองเด็กแปดคนตรงหน้า ที่อายุมากสุดสิบขวบ น้อยสุดแค่ห้าขวบ ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง
จริงๆ แล้วเขารู้ว่า ในกลุ่มผู้ใหญ่ของตระกูลเฉิน ต้องมีต้นกล้าเซียนซ่อนอยู่แน่นอน
แต่เมื่อเทียบกับเด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบเหล่านี้แล้ว ประสิทธิภาพของการบ่มเพาะต้นกล้าเซียนที่เป็นผู้ใหญ่ต่ำเกินไป
เฉินเต้าเสวียนจึงตัดสินใจล้มเลิก
เฉินเต้าเหลียนแปดคน บวกกับเฉินเต้าฉูที่ตั้งใจบำเพ็ญเพียรในถ้ำของเฉินเต้าเสวียนมาโดยตลอด ในที่สุดจำนวนผู้ฝึกตนของตระกูลเฉิน หรือผู้ฝึกตนในอนาคต ก็ทะลุสองหลักไปถึงสิบเอ็ดคนแล้ว
(ในรุ่นเซียน(仙)ของเฉินเซียนเหอ จะมีคำว่าเซียนอยู่นะครับ ส่วนรุ่นของ เฉินเต้าเหลียน ก็จะเป็นรุ่นเต้าหรือรุ่นเต๋า(道) อย่างเฉินเหลียนก็เป็น เฉินเต้าเหลียน เฉินเนี่ยนฉู ก็เป็นเฉินเต้าฉู)
แน่นอน
การที่จะทำให้เด็กน้อยทั้งเก้านี้ กลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหลอมรวมพลังปราณได้จริงๆ ต้องสร้างเส้นพลังปราณของตระกูลขึ้นมาให้ได้ก่อน
มิฉะนั้น เมื่อพวกเขาเข้าสู่ขอบเขตหลอมรวมพลังปราณ และพบว่าไม่มีพลังปราณเพียงพอในการบำเพ็ญเพียร มันก็คงจะวุ่นวายน่าดู
สำหรับเรื่องนี้ เฉินเต้าเสวียนมั่นใจมาก
หากไม่มีอะไรผิดพลาด ภายในครึ่งปี เส้นพลังปราณเส้นแรกของตระกูลเฉินก็จะสามารถสร้างขึ้นมาได้
ความมั่นใจของเฉินเต้าเสวียนยังคงมาจากการค้าขายกับเผ่าเงือก
ต้องบอกเลยว่า แม้ว่าตลาดของเผ่าเงือกจะเล็กกว่ากลุ่มผู้ฝึกตนอิสระจำนวนมหาศาลในเมืองกวงอันมากกว่าร้อยเท่า
แต่ในขณะเดียวกัน ตระกูลเฉินสามารถทำกำไรได้เพียง 19 หินจิตวิญญาณจากการขายกระบี่บินระดับหนึ่งขั้นต่ำให้กับผู้ฝึกตนอิสระหนึ่งเล่ม นี่ยังไม่รวมภาษีที่ตระกูลโจวในเมืองกวงอันเรียกเก็บอีก
ส่วนการค้าขายกับเผ่าเงือก เขาสามารถทำกำไรได้ 469 หินจิตวิญญาณ กำไรสูงกว่ายี่สิบเท่า!
จากมุมมองนี้
แม้ว่าตลาดของเผ่าเงือกจะไม่ใหญ่เท่าตลาดเมืองกวงอัน แต่ก็เป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับตระกูลเฉิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลเฉินในปัจจุบัน
เผ่าเงือกต้องการอาวุธวิเศษจำนวนน้อย กำไรมาก เหมาะกับตระกูลเฉินที่สุด
…..
ภูเขาทองแดง
ถ้ำของเฉินเต้าเสวียน
เขาควบคุมสายลมครอบคลุมทั้งเก้าคน บินช้าๆ ไปยังถ้ำ
เมื่อทุกคนลงจอด เฉินเต้าเสวียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ทักษะควบคุมสายลมพาคนจำนวนมากบิน โชคดีที่ไม่มีอะไรผิดพลาด
“ที่นี่คือที่ที่พวกเจ้าจะอยู่ต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”
เฉินเต้าเสวียนหันกลับมา พูดกับเด็กๆ ที่อยู่ด้านหลัง
บางทีอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมในการเอาชีวิตรอดเลวร้ายกว่าโลกเดิมมาก เด็กๆ ในโลกนี้จึงดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กวัยเดียวกันในโลกเดิม
ดังนั้น เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้แต่เด็กน้อยอายุห้าขวบ ก็ไม่มีใครร้องไห้งอแง
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินเต้าเสวียนก็พยักหน้าพอใจ
บางทีอาจเป็นเพราะได้ยินเสียงดังนอกถ้ำ
เด็กน้อยคนหนึ่งถือกระบี่วิ่งออกมาจากถ้ำ นั่นคือเฉินเต้าฉูที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือน
เฉินเต้าฉูหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เมื่อเห็นเฉินเต้าเสวียนก็ตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลดปลายกระบี่ลง โค้งคำนับเฉินเต้าเสวียน “คารวะผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์!”
เมื่อเห็นเฉินเต้าฉู เฉินเต้าเสวียนก็ยิ้ม “เต้าฉู เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้าจะแนะนำสมาชิกในตระกูลให้เจ้ารู้จัก ต่อไปพวกเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว เข้าใจไหม?”
“ขอรับ ผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์!”
เด็กๆ มองหน้ากัน จากนั้นก็ตอบพร้อมกัน
“อืม”
เฉินเต้าเสวียนพยักหน้า จากนั้นก็ให้พวกเขาแนะนำตัว
ทุกคนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน แม้แต่เฉินเต้าเสวียนที่อายุมากที่สุด จริงๆ แล้วก็แก่กว่าเด็กอายุสิบขวบเพียงหกปีเท่านั้น
หลังจากแนะนำตัว ทุกคนก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
“พี่เต้าฉู ข้าได้ยินบิดาข้าบอกว่า ท่านเป็นบุตรชายของผู้จัดการโรงงาน ใช่ไหม?”
“พี่เต้าฉู ท่านบำเพ็ญเพียรที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว? ชีวิตของเซียนเป็นอย่างไร?”
“พี่เต้าฉู...”
“...”
ทุกคนค่อนข้างเกรงกลัวเฉินเต้าเสวียน ไม่กล้ารบกวนเขา แต่พวกเขากลับสนิทสนมกับเฉินเต้าฉูที่เป็นสหายรุ่นเดียวกัน
เฉินเต้าฉูอธิบายชีวิตในภูเขาทองแดงให้ทุกคนฟังอย่างอดทน
ในที่สุด ก็ทำให้พวกเขามีความเข้าใจในสภาพแวดล้อมของถ้ำในภูเขาทองแดง
หลังจากจัดการที่พักให้กับต้นกล้าเซียนแปดคนในเรือนรับรองของถ้ำ
เฉินเต้าเสวียนก็เดินเข้าไปในห้องบำเพ็ญเพียรของตัวเอง
“ฟู่—!”
ในช่วงสิบกว่าวันที่ผ่านมา เขาต้องจัดการกับทาสสตรีจากอาณาจักรฉู่หยุน แล้วก็จัดการเรื่องการคัดเลือกต้นกล้าเซียนของตระกูลเฉิน ทำให้เฉินเต้าเสวียนเหนื่อยมาก
เมื่อกลับมาถึงถ้ำ เฉินเต้าเสวียนแค่อยากจะล้มตัวลงนอนบนเตียง
แต่นิสัยที่ฝึกฝนมาตลอดหลายปี ทำให้เขาลากร่างกายที่เหนื่อยล้าไปยังดวงตาแห่งจิตวิญญาณในห้องบำเพ็ญเพียร
เปิดฝาหินที่ปิดผนึกดวงตาแห่งจิตวิญญาณ
พลังปราณจำนวนมากพุ่งออกมาทันที แต่เฉินเต้าเสวียนที่เฉียบแหลม เขาก็ยังคงพบว่าพลังปราณที่พุ่งออกมาจากดวงตาแห่งจิตวิญญาณแห่งนี้ลดน้อยลง
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของเฉินเต้าเสวียนก็มืดครึ้มลง
“ในตอนนั้น ผู้ฝึกตนรุ่นเซียนของตระกูลพบดวงตาแห่งจิตวิญญาณเจ็ดดวงในภูเขาทองแดง ดวงตาแห่งจิตวิญญาณดวงนี้เป็นอันที่ใช้น้อยที่สุด ตอนนี้พลังปราณก็เริ่มแห้งเหือดแล้ว”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินเต้าเสวียนก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้ว ดวงตาแห่งจิตวิญญาณดวงนี้ติดตามการบ่มเพาะพลังของเขามาตลอดสิบเอ็ดปี สามารถพูดได้ว่า ระดับบำเพ็ญเพียรของเฉินเต้าเสวียนในปัจจุบัน ล้วนเป็นเพราะดวงตาแห่งจิตวิญญาณดวงนี้
แต่ตอนนี้…
ดวงตาแห่งจิตวิญญาณดวงนี้กำลังจะแห้งเหือด
ไม่ใช่ว่าเขากังวลว่าจะไม่มีพลังปราณในการบำเพ็ญเพียร เฉินเต้าเสวียนแค่รู้สึกว่ารับไม่ได้ทางอารมณ์
ตอนนี้เขาเข้าใจสีหน้าเหงาๆ ของเฉินเซียนเหอในตอนที่ได้ยินว่าเส้นแร่ทองแดงแห้งเหือดแล้ว
นั่นไม่ใช่ความไม่เต็มใจต่อการสูญเสียทรัพยากรบ่มเพาะ แต่เป็นการถอนหายใจถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา
“หากไม่ผ่านพายุฝน ก็จะไม่เห็นรุ้งกินน้ำ หากไม่ฝ่าฟันอุปสรรค ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ!”
เฉินเต้าเสวียนปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว ยิ้มเล็กน้อย โดยไม่รู้ตัว จิตใจของเขาก็ยิ่งมั่นคงมากขึ้น
เขาหยิบลูกแก้วจิตวิญญาณวารีออกมาจากถุงเก็บของ กินโอสถรวบรวมปราณ หลังจากผ่านไปนานกว่าหนึ่งเดือน เฉินเต้าเสวียนก็รู้สึกถึงความเร็วในกาบำเพ็ญเพียรที่รวดเร็วอีกครั้ง มุมปากก็ยกยิ้มขึ้น
วันรุ่งขึ้น
หลังจากท่อง “คัมภีร์เต๋าหงเหมิงรู้แจ้ง” เสร็จ เก็บสะเก็ดดาวไว้ในทะเลแห่งจิตสำนึก เฉินเต้าเสวียนที่บำเพ็ญเพียรมาทั้งคืนก็ลืมตาขึ้น
เมื่อรู้สึกถึงปราณแก่นแท้ที่ไหลเวียนอยู่ในตันเถียนที่ขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เฉินเต้าเสวียนก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
เฉินเต้าเสวียนหยิบหยกบันทึกออกมาจากถุงเก็บของ
หยกบันทึกชิ้นนี้ไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นวิชาบ่มเพาะกายเนื้อที่เขาซื้อมาจากโรงประมูลตระกูลโจวในเมืองกวงอัน - “วิชางูเหลือมมังกรกลืนสวรรค์”
หลังจากได้รับทักษะบำเพ็ญเพียรนี้มานานกว่าหนึ่งเดือน เฉินเต้าเสวียนก็เข้าใจทักษะบำเพ็ญเพียรนี้โดยอาศัยความสามารถในการหยั่งรู้ของ “คัมภีร์เต๋าหงเหมิงรู้แจ้ง”
พูดตามตรง วิชาบ่มเพาะกายเนื้อนี้ฝึกฝนได้ไม่ยาก
ไม่ได้ยากไปกว่า “กุ้ยหยวนกง” ที่เฉินเต้าเสวียนฝึกฝนเป็นหลักมากนัก
ต้องรู้ก่อนว่า “กุ้ยหยวนกง” ที่เฉินเต้าเสวียนฝึกฝนเป็นหลัก เป็นทักษะบำเพ็ญเพียรขั้นพื้นฐานขอบเขตหลอมรวมพลังปราณที่แพร่หลายที่สุดของนิกายกระบี่เฉียนหยวน เหมาะที่สุดสำหรับศิษย์ขอบเขตหลอมรวมพลังปราณในการวางรากฐาน
แม้ว่า “กุ้ยหยวนกง” จะไม่มีคุณสมบัติเสริมใดๆ แต่ข้อดีคือทักษะบำเพ็ญเพียรนี้มีความสมดุล ฝึกฝนได้ง่าย
เมื่อผู้ฝึกตนประสบความสำเร็จในการสร้างรากฐาน ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปฝึกฝนทักษะบำเพ็ญเพียรใด ก็จะไม่มีอุปสรรคมากนัก
ดังนั้น ทักษะบำเพ็ญเพียรนี้จึงแพร่หลายมากที่สุดในทะเลหมื่นดวงดาว เป็นทักษะบำเพ็ญเพียรที่ผู้ฝึกตนขอบเขตหลอมรวมพลังปราณฝึกฝนมากที่สุด
และตอนนี้ เฉินเต้าเสวียนพบว่า “วิชางูเหลือมมังกรกลืนสวรรค์” นี้ฝึกฝนได้ง่ายพอๆ กับ “กุ้ยหยวนกง” ซึ่งทำให้เขารู้สึกราวกับได้พบสมบัติ
“ตามที่อธิบายไว้ในทักษะบำเพ็ญเพียร”วิชางูเหลือมมังกรกลืนสวรรค์“สิ่งที่ทักษะบำเพ็ญเพียรนี้ใช้มากที่สุดไม่ใช่พลังปราณ แต่เป็นวัตถุดิบล้ำค่าต่างๆ อย่างเช่น เนื้อสัตว์อสูร ข้าวจิตวิญญาณ ผลไม้จิตวิญญาณ”
เฉินเต้าเสวียนมองคำอธิบายบนหยกบันทึก เขารู้สึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่วิชาบ่มเพาะกายเนื้อ แต่เป็นทักษะบำเพ็ญเพียรถังข้าว สมกับคำว่า ทวนเทียน(กลืนสวรรค์) จริงๆ”
(สำนวนถังข้าวคือ ไร้จุดสิ้นสุด เติิมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เหมือนข้าวที่เราต้องกินเรื่อยๆ)