บทที่ 46 ค่ายกลรวบรวมปราณ
บทที่ 46 ค่ายกลรวบรวมปราณ
“ท่านอาสิบสาม”
เฉินเต้าเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “การเดินทางมาครั้งนี้ นอกจากจะหาซื้อแร่จิตวิญญาณให้กับโรงงานกระบี่หงอินแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก”
“เจ้าหมายถึง...”
เฉินเต้าเสวียนพยักหน้า “ข้าหมายถึงเรื่องการสร้างเส้นพลังปราณของตระกูล ถึงเวลาที่ต้องดำเนินการแล้ว”
ได้ยินดังนั้น
เฉินเซียนเหอก็ตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ เขาตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ได้แต่หยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ เพื่อสงบสติอารมณ์
เพียงครู่หนึ่ง
เฉินเซียนเหอที่ปรับอารมณ์ได้แล้ว จึงพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ตระกูลเฉินของเรา ในที่สุดก็ถึงวันนี้”
พูดจบ เฉินเซียนเหอก็ร้องไห้ออกมา
“ท่านอาสิบสาม...”
เฉินเซียนเหอยกมือขึ้น “ข้าไม่เป็นไร แค่ดีใจ ดีใจ ฮ่าๆๆ!”
เมื่อเห็นเฉินเซียนเหอเป็นแบบนี้ เฉินเต้าเสวียนก็รู้สึกเศร้าใจ
ใครจะรู้ว่า หลังจากผู้ฝึกตนรุ่นเซียนสิบสองคนของตระกูลเฉินเสียชีวิตในอาณาจักรฉู่หยุนเมื่อห้าสิบปีก่อน เฉินเซียนเหอที่แบกรับตระกูลเฉินไว้เพียงลำพัง เขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นมาได้อย่างไร?
พูดตามตรง
เฉินเซียนเหอมีพรสวรรค์ธรรมดา แม้กระทั่งย่ำแย่มาก
วิธีการและความสามารถในการจัดการตระกูลของเขาก็ไม่โดดเด่น
แต่ผู้ฝึกตนของตระกูลเฉินที่ธรรมดาๆ คนนี้ ยอมที่จะรักษาเงินจำนวนมหาศาล 8,000 กว่าหินจิตวิญญาณของตระกูล ยอมที่จะมอบทรัพยากรบ่มเพาะของตนเองให้กับผู้ฝึกตนรุ่นหลัง ไม่ยอมละทิ้งตระกูล ละทิ้งผู้คน
เพียงเท่านี้ เฉินเซียนเหอก็ไม่ทำให้บรรพบุรุษผิดหวัง ไม่ทำให้ลูกหลานผิดหวัง สมควรได้รับการยกย่องจากลูกหลานของตระกูลเฉินแล้ว
หลังจากเช็ดน้ำตา
เฉินเซียนเหอกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “เรื่องการสร้างเส้นพลังปราณของตระกูลไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่เพียงแต่ต้องใช้หินจิตวิญญาณมากกว่า 100,000 ก้อนเท่านั้น ยังต้องใช้ค่ายกลรวบรวมปราณขั้นหนึ่งช่วย ตอนนี้ตัวข้าไม่กังวลเรื่องหินจิตวิญญาณแล้ว แต่เรื่องค่ายกลรวบรวมปราณ...”
เฉินเซียนเหอครุ่นคิด “ข้าได้ยินมาว่า โรงประมูลตระกูลโจวในย่านการค้าใจกลางเมืองเซียนกวงอัน จะจัดการประมูลขนาดเล็กในช่วงต้นเดือนของทุกเดือน ที่นั่นมีวิธีการสร้างค่ายกลรวบรวมปราณขั้นหนึ่ง และขั้นสอง รวมถึงวัสดุในการสร้างค่ากลขายทอดตลาด”
ต้องบอกเลยว่า
เฉินเซียนเหออยู่ในเมืองเซียนกวงอันมาสามเดือนแล้ว ความคุ้นเคยกับเมืองเซียนกวงอันก็ไม่ธรรมดา
อย่างเช่น… เฉินเต้าเสวียนไม่รู้ว่าจะซื้อค่ายกลรวบรวมปราณได้ที่ไหนในเมืองกวงอัน
เมื่อได้ยินข่าวนี้
เฉินเต้าเสวียนก็ดีใจ “งั้นเรารีบไปดูที่โรงประมูลกันเถอะ”
ได้ยินดังนั้น เฉินเซียนเหอก็หัวเราะออกมา “ดูเจ้าสิ ใจร้อนจริงๆ โรงประมูลตระกูลโจวจะจัดการประมูลเดือนละครั้งในช่วงต้นเดือนเท่านั้น ตอนนี้นับวันดู น่าจะเหลือเวลาอีกสามวัน ในช่วงเวลานี้ เจ้าสามารถเตรียมแร่จิตวิญญาณสำหรับโรงงานกระบี่บินหงอินก่อน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินเต้าเสวียนจึงกล่าวประจบสอพลอ “ท่านอาสิบสามคิดการณ์ไกลจริงๆ”
“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องประจบข้าหรอก บอกมาสิ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
บางทีอาจเป็นเพราะเห็นว่าการสร้างเส้นพลังปราณของตระกูลมีหวัง เฉินเซียนเหอจึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังมีความร่าเริง
“ท่านอาสิบสามช่างเฉียบแหลม อะไรก็ปิดบังท่านไม่ได้จริงๆ”
เฉินเต้าเสวียนยิ้มแห้งๆ สีหน้ากลับมาจริงจังอีกครั้ง “ท่านอาสิบสาม ข้าอยากสั่งซื้อเรือบรรทุกสินค้าสองสามลำจากร้านค้าต่อเรือตระกูลหยาง”
“สั่งซื้อเรือบรรทุกสินค้า?”
เฉินเซียนเหอขมวดคิ้ว “สั่งซื้อเรือบรรทุกสินค้าไปทำไม? เรือมังกรฟ้างของตระกูลเฉินของเราก็เพียงพอสำหรับการขนส่งวัสดุของตระกูล ยิ่งไปกว่านั้น โรงงานกระบี่บินหงอินก็ไม่ต้องการแร่จิตวิญญาณมากขนาดนั้นในตอนนี้”
“แค่กแค่ก”
เฉินเต้าเสวียนแกล้งไอ กดเสียงต่ำ “จริงๆ แล้วไม่ใช่เรือบรรทุกสินค้า แต่เป็นเรือบรรทุกทาส!”
ได้ยินดังนั้น
เฉินเซียนเหอก็รู้ทันทีว่าเฉินเต้าเสวียนคิดอะไรอยู่
การซื้อเรือบรรทุกทาสจากตระกูลหยาง แน่นอนว่าต่อไปต้องซื้อทาสหญิงจากอาณาจักรฉู่หยุน เพื่อขยายประชากรของตระกูลเฉิน
จริงๆ แล้ว เฉินเซียนเหอก็ซื้อทาสจากอาณาจักรฉู่หยุนบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่จำนวนไม่มากนัก
อย่างเช่น ทาสในบ้านของเฉินเหลียงยวี่ก็มาแบบนี้
แต่ตอนนี้ ฟังจากน้ำเสียงของเฉินเต้าเสวียน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่การซื้อทาสหญิงไม่กี่สิบคนหรือไม่กี่ร้อยคน เขาต้องการทำเรื่องใหญ่!
มิฉะนั้น คงไม่ซื้อเรือบรรทุกทาสโดยเฉพาะจากร้านค้าต่อเรือตระกูลหยางหรอก!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินเซียนเหอก็ลังเลเล็กน้อย
ในที่สุดตระกูลก็กำลังจะเก็บหินจิตวิญญาณได้เพียงพอสำหรับการสร้างเส้นพลังปราณ ตอนนี้ซื้อทาสหญิงและเรือบรรทุกทาสจำนวนมาก บวกกับเงินทุนในการซื้อแร่จิตวิญญาณและซื้อค่ายกลรวบรวมปราณจากโรงประมูล
แม้ว่าหินจิตวิญญาณหลายหมื่นก้อนในถุงเก็บของจะมีมาก แต่ก็ทนการใช้จ่ายแบบนี้ไม่ไหว
เมื่อเห็นเฉินเซียนเหอลังเล เฉินเต้าเสวียนก็ทำหน้าบึ้งตึง “ท่านอาสิบสาม ท่านอย่ากลับคำสิ!”
เฉินเซียนเหอมึนงงกับคำพูดของเฉินเต้าเสวียน เงยหน้าขึ้น “ข้ากลับคำตรงไหน?”
“ท่านลืมไปแล้วเหรอ? ท่านเคยสัญญากับข้าว่า ตราบใดที่ตระกูลเฉินของเรามีกำไร 3,000 หินจิตวิญญาณต่อปี ท่านจะอนุญาตให้ข้าบ่มเพาะลูกหลานของตระกูลเฉิน ตอนนี้ท่านจะกลับคำได้อย่างไร?”
ได้ยินดังนั้น เฉินเซียนเหอก็แทบจะพ่นเลือดออกมา
เขาสัญญากับเฉินเต้าเสวียนว่า ตราบใดที่รายได้ต่อปีของตระกูลถึง 3,000 หินจิตวิญญาณ เขาจะพิจารณาเรื่องการบ่มเพาะลูกหลานของตระกูลเฉิน แต่เขาไม่คิดว่าเฉินเต้าเสวียนจะใช้วิธีการบ่มเพาะแบบนี้
ถ้าเขารู้ว่าเฉินเต้าเสวียนหมายถึงแบบนี้ เขาจะไม่ตกลงเด็ดขาด
เมื่อเห็นเฉินเซียนเหอหน้าดำคล้ำ เฉินเต้าเสวียนก็พูดต่อ “ท่านอาสิบสาม ลองคิดดูสิ ตอนนี้หินจิตวิญญาณ 100,000 ก้อนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตระกูลเฉินของเราหรือไง? ท่านรู้หรือไม่ว่าโรงงานกระบี่บินหงอินของตระกูลเราสามารถผลิตกระบี่บินได้กี่เล่มต่อวัน? ห้าเล่มต่อวัน! และนี่เป็นเพียงผลผลิตของข้าเพียงคนเดียวในหนึ่งวัน หากตระกูลเฉินของเรามีช่างหลอมอาวุธวิเศษสิบคนจะเป็นอย่างไร?”
ได้ยินดังนั้น เฉินเซียนเหอก็หัวเราะเยาะ “อย่ามาหลอกข้า ช่งหลอมอาวุธวิเศษนั้นฝึกฝนได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ? แม้ว่าจะมีทรัพยากรเพียงพอ ผู้ฝึกตนสิบคนสามารถกลายเป็นช่างหลอมอาวุธวิเศษได้หนึ่งคน มันก็นับว่าโชคดีมากแล้ว”
“ถูกต้อง! เพราะอัตราการฝึกฝนช่างหลอมอาวุธวิเศษนั้นต่ำมาก พวกเราจึงต้องขยายจำนวนผู้ฝึกตนของตระกูล แล้วจะขยายจำนวนผู้ฝึกตนของตระกูลได้อย่างไร? มันก็ต้องพึ่งพาคนธรรมดาของตระกูลเฉิน! ดังนั้น การซื้อเรือบรรทุกทาสและทาสหญิงจากอาณาจักรฉู่หยุนจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!”
เฉินเต้าเสวียนไม่ได้พูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงปรึกษาหารือ แต่พูดด้วยฐานะผู้นำตระกูลเฉิน
เมื่อมองไปที่เด็กหนุ่มที่กำลังพูดอย่างฉะฉานตรงหน้า เฉินเซียนเหออ้าปากค้าง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
“ช่างเถอะ”
เฉินเซียนเหอถอนหายใจ “ในเมื่อข้ามอบตระกูลให้เจ้าแล้ว เรื่องเหล่านี้ก็ให้เจ้าตัดสินใจเองเถอะ!”
“ขอบคุณท่านอาสิบสาม ที่สนับสนุน!”
เฉินเต้าเสวียนลุกขึ้น โค้งคำนับเฉินเซียนเหอ
เฉินเซียนเหอโบกมือ “แม้ว่าข้าจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการเรื่องต่างๆ ของเจ้า แต่ข้าเห็นว่าตระกูลมีความเจริญรุ่งเรืองภายใต้การนำของเจ้า เต้าเสวียน เจ้าเก่งกว่าข้ามาก!”
เฉินเซียนเหอมองเข้าไปในดวงตาของเฉินเต้าเสวียน พลางกล่าวด้วยความโล่งใจ
เมื่อได้ยินคำชมนี้ เฉินเต้าเสวียนกลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย…