บทที่ 38 กฎของตระกูล
บทที่ 38 กฎของตระกูล
ลานด้านหลังจวนเฉิน
เมื่อเฉินเต้าเสวียนและกลุ่มคนมาถึง ลานด้านหลังจวนเฉินก็วุ่นวายไปหมดแล้ว
ตรงด้านหน้า
เด็กชายวัยแปดเก้าขวบถูกหญิงสาววัยยี่สิบกว่าปีโอบกอดไว้ในอ้อมแขน
ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือด ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางค์เพียงเล็กน้อย เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แต่แขนทั้งสองข้างกลับกอดร่างของเด็กชายไว้แน่น กลัวว่าหญิงใจร้ายที่กำลังอาละวาดจะทำร้ายบุตรชายของนาง
ส่วนเด็กชายในอ้อมแขนของหญิงสาว จ้องมองหญิงใจร้ายด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว เขาอยากจะดิ้นรน แต่ถูกมารดาควบคุมตัวเอาไว้
ผู้ที่ด่าทอ ซึ่งก็คือหญิงใจร้าย มีรูปร่างหน้าตาไม่เลว แต่กลับเผยให้เห็นท่าทางแข็งกร้าวและใจแคบ
เห็นเพียงนางเท้าสะเอว ใช้นิ้วชี้ไปที่หญิงสาวที่ล้มลงกับพื้น ปากก็พ่นคำพูดหยาบคายออกมาไม่หยุด
ด่าว่าเป็นทาสจากเมืองฉู่หยุน เป็นคนชั้นต่ำ บุตรที่คลอดออกมาก็เป็นแค่บุตรของคนชั้นต่ำ
สรุปคือ คำพูดหยาบคายและแทงใจดำ ถูกนางด่าออกมาไม่หยุด
เมื่อด่าจนสะใจ นางถึงกับไม่รู้ว่ามีคนมาที่ลานด้านหลังแล้ว
“ทำไมไม่มีใครพูดเลย?เป็นใบ้กันหมดหรือไง?”
หญิงใจร้ายกวาดสายตามองบ่าวไพร่รอบๆ ราวกับแม่ทัพที่ได้รับชัยชนะ
ใครจะรู้ว่าบ่าวไพร่กลับทำท่าทางหวาดกลัว ราวกับเห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว ต่างคุกเข่าลงกับพื้น ร้องเรียกพร้อมกัน “นายท่าน นายหญิงใหญ่”
ได้ยินคำพูดนี้ หญิงใจร้ายก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง หันหลังกลับไปอย่างเก้ๆกังๆ พบว่าเป็นนายหญิงใหญ่ที่นางหวาดกลัวและอิจฉาที่สุด และนายท่านที่ท่าทางกำลังโกรธจัด
“นาย… นายท่าน!”
หญิงใจร้ายราวกับเล่นละคร เปลี่ยนท่าทางแข็งกร้าวและใจแคบเป็นท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูทันที
นางกล่าวออดอ้อนว่า “นายท่าน ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้า สองแม่ลูกชั้นต่ำนี่ แอบรังแกบุตรสาวข้า ตอนที่ข้าไม่ทันระวังตัว”
"เจ้าโกหก! ข้าไม่ได้รังแกนาง นางต่างหากที่แย่งตุ๊กตาไม้ของข้าไป แล้วก็ด่าข้าด้วย"
เด็กชายในอ้อมแขนของหญิงสาวไม่ยอม ขณะกำลังจะโต้แย้งต่อ แต่ถูกมารดาปิดปากเอาไว้
ดวงตาของเด็กชายจ้องมองหญิงใจร้ายด้วยความโกรธเคือง น่าเสียดายที่เขามีเรี่ยวแรงน้อยเกินไป สู้แรงของมารดาไม่ได้
ทำได้เพียงจ้องมองหญิงใจร้ายใส่ร้ายป้ายสีด้วยสายตาอาฆาต
“เพี๊ยะ”
ใครจะรู้ว่าเฉินเหลียงยวี่ที่โกรธจัด ไม่ยอมให้นางแก้ตัว ตบหน้าอนุภรรยาของเขาเข้าอย่างจัง
พอฝ่ามือนี้ตบลงไป
ลานด้านหลังจวนเฉินก็วุ่นวายไปหมด
เสียงร้องไห้ของเด็กหญิง เสียงร้องโหยหวนของหญิงใจร้าย ทั้งหมดดังไม่หยุดหย่อน
“พอได้แล้ว!”
เฉินเหลียงยวี่ตะโกนเสียงดัง จ้องมองคนที่กำลังทะเลาะกันด้วยความโกรธ
ถูกอำนาจของเขาข่มขู่ รวมถึงเด็กหญิง ทุกคนไม่กล้าร้องไห้อีก
หญิงใจร้ายยิ่งทนไม่ได้ หน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
เฉินเหลียงยวี่เห็นว่าควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว จึงโค้งคำนับให้เฉินเต้าเสวียน “ผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์ ข้า… ข้าน้อยขออภัย”
“ผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์?”
ได้ยินคำเรียกขานของเฉินเหลียงยวี่ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
ส่วนเฉินเต้าเสวียนก็ยกมือขึ้น ขัดจังหวะคำขอโทษของเฉินเหลียงยวี่
เห็นเพียงเขาก้าวไปข้างหน้า นั่งยองๆลงตรงหน้าหญิงสาว “ให้ข้าดูเด็กคนนี้หน่อยได้หรือไม่?”
ได้ยินเช่นนี้ หญิงสาวก็กอดบุตรชายแน่นขึ้นโดยสัญชาตญาณ แต่เมื่อนึกถึงสถานะของอีกฝ่าย นางก็อดไม่ได้ที่จะคลายอ้อมกอดลง
เด็กชายดิ้นหลุดจากมือเล็กๆ ที่บอบบางของมารดา สูดหายใจเข้าลึกๆ “ท่านแม่ ท่านเกือบจะทำให้เนี่ยนฉูหายใจไม่ออกแล้ว”
“เจ้าชื่อเฉินเนี่ยนฉู ใช่หรือไม่?”
ได้ยินดังนั้น เด็กชายจึงหันไปมองเฉินเต้าเสวียน ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านคือใคร ข้าชื่ออะไร เกี่ยวอะไรกับท่าน? ท่านก็มาเพื่อรังแกพวกเราใช่หรือไม่?”
พูดจบ เขาก็กางมือเล็กๆออก บังมารดาเอาไว้
“ข้ามาช่วยพวกเจ้าต่างหาก”
เขาส่ายหน้า “มาใกล้ๆ ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
ได้ยินเช่นนี้ เด็กชายก็มองมารดาด้วยสายตาสอบถาม หลังจากได้รับคำตอบที่แน่ชัด เขาจึงเดินเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ
“ท่านต้องการทำอะไร?”
เฉินเต้าเสวียนยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
เขาใช้มือขวาที่ขาวผ่องลูบศีรษะของเด็กชายเบาๆ
ครู่หนึ่ง
เมื่อพลังปราณแก่นท้ในตันเถียนของเฉินเต้าเสวียนเริ่มเคลื่อนไหว แสงสีแดงก็ปกคลุมศีรษะของเด็กชายทันที
แสงสีแดงนี้สว่างไสวเป็นพิเศษในยามราตรี แม้จะอยู่ห่างไกล ทุกคนก็ยังรู้สึกแสบตา
“นี่มัน…”
เมื่อเห็นแสงสีแดงนี้ เฉินเหลียงยวี่ก็นึกถึงบันทึกในตำราโบราณของตระกูลขึ้นมาทันที
แสงสีแดงปกคลุม ลักษณะของผู้ฝึกตน!
เฉินเหลียงยวี่ไม่เคยคิดเลยว่า บุตรชายของเขาจะมีลักษณะของผู้ฝึกตน เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการบ่มเพาะ
แต่เมื่อนึกถึงบางอย่าง สีหน้าของเฉินเหลียงยวี่ก็ซีดเผือดลง
และแล้ว…
หลังจากตรวจสอบคุณสมบัติรากจิตวิญญาณของเฉินเนี่ยนฉูเสร็จ เฉินเต้าเสวียนก็หันไปมองเฉินเหลียงยวี่และหญิงใจร้ายที่กำลังเอามือปิดใบหน้าที่ถูกตบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำผิดผลาด?”
แม้หญิงใจร้ายจะโอ้อวดเบ่งใส่หน้ามารดาของเด็กชาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์ที่น่ากลัวกว่าสามีของนาง นางก็ไม่กล้าโต้แย้ง คุกเข่าลงกับพื้นทันที และไม่กล้าพูดอะไร
“เฉินเหลียงยวี่”
เห็นหญิงใจร้ายไม่พูด เฉินเต้าเสวียนจึงหันไปทางเฉินเหลียงยวี่
“ช้าน้อยรู้ความผิด!”
เฉินเหลียงยวี่คุกเข่าลงทันที หน้าก้มหน้า
“กฎของตระกูลเฉินข้อที่สามคืออะไร?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ก่อนที่เฉินเหลียงยวี่จะอ้าปาก หญิงใจร้ายก็ตกใจจนทรุดลงกับพื้น
เฉินเหลียงยวี่เม้มปากแน่น ทันใดนั้น เขาก็ยืนขึ้นอย่างกะทันหัน เตะไปที่อนุภรรยาของเขา ตะโกนร้องด่าทอ “นางชั่ว เจ้ามันนางชั่วช้า ชอบไปรังแกผู้อื่น เจ้าทำให้บ้านช่องไม่สงบสุข เจ้ามันนางชั่วจริงๆ”
เฉินเหลียงยวี่ทั้งตบทั้งด่า จนกระทั่งอีกฝ่ายกอดขาเขา และขอร้องให้หยุด
เมื่อเห็นท่าทางของนาง เฉินเหลียงยวี่ก็ใจอ่อน แต่แล้วก็ตัดสินใจ ตบตีด่าทอต่อไป
“พอได้แล้ว!”
เฉินเต้าเสวียนกล่าว “เฉินเหลียงยวี่ ข้าถามเจ้าอีกครั้ง กฎของตระกูลเฉินข้อที่สามคืออะไร?”
ได้ยินดังนั้น เฉินเหลียงยวี่ก็เหมือนลูกโป่งที่แฟบแบน ทรุดลงกับพื้นทันที
เขากล่าวด้วยสีหน้าสิ้นหวัง “ผู้ใดก็ตามที่เป็นคนของตระกูลเฉิน งแกคนในตระกูลโดยไม่มีเหตุผล จะถูกลงโทษให้ทำงานหนักเป็นเวลาสองปี รังแกคนธรรมดาที่มีรากจิตวิญญาณโดยไม่มีเหตุผล จะต้อง… จะต้อง”
“จะต้องอะไร?”
“จะต้องประหาร!”
การพูดประโยคสุดท้ายนี้ ราวกับใช้พลังงานทั้งหมดของเฉินเหลียงยวี่
เขามองเฉินเต้าเสวียนด้วยสีหน้าสิ้นหวัง หวังว่าเฉินเต้าเสวียนจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
แต่เฉินเหลียงยวี่รู้ดีว่า ผู้นำตระกูลที่ดี จะต้องบังคับใช้กฎของตระกูลอย่างเคร่งครัด
เขาเชื่อมาตลอดว่า เฉินเต้าเสวียนเป็นผู้นำตระกูลที่ดี
และแล้ว…
เฉินเต้าเสวียนใช้นิ้วชี้ไปที่หญิงใจร้าย มองไปที่เด็กชาย “บอกข้ามา นางรังแกเจ้าหรือไม่?”
ขณะเด็กชายกำลังจะพูด แต่ถูกมารดาดึงเอาไว้
เห็นเพียงหญิงสาวส่ายหน้าใส่เด็กชายอย่างบ้าคลั่ง ขอร้องด้วยน้ำเสียงเบา “ฉูเอ๋อร์ อย่า”
เด็กชายกัดฟันแน่น มองมารดา แล้วก็มองหญิงใจร้ายที่กำลังสิ้นหวัง สูดหายใจเข้าลึกๆ “นางไม่ได้รังแกข้า ข้าแค่เล่นกับน้องสาวเท่านั้น”
ได้ยินเช่นนี้ หญิงใจร้ายก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณได้กลับเข้าร่าง นั่งทรุดลงกับพื้นทันที
ได้ยินเด็กชายเอ่ย
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างโล่งใจ
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว เฉินเต้าเสวียนก็เดินไปที่หน้าหญิงใจร้าย “บอกข้ามา ทำไมเจ้าถึงเลือกรังแกสองแม่ลูกนี้ในคืนนี้? เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าจะมาเป็นแขกที่จวนเฉินในคืนนี้?”
ได้ยินเช่นนี้ เฉินเหลียงยวี่จึงได้สติ
ใช่แล้ว!
เขาบอกภรรยาทั้งหมดของเขาอย่างชัดเจนว่า จะเชิญผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์มาเป็นแขกที่บ้านในวันนี้ ให้นางเตรียมตัวให้พร้อม
ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้?
เว้นแต่…
เขามองภรรยาที่อยู่กินกันมานานหลายปี ความคิดที่ไม่น่าเชื่อผุดขึ้นมาในใจ แต่เขาไม่กล้าเชื่อว่าความคิดนี้จะเป็นจริง
“เป็นเจ้า!”
อนุภรรยาไม่โง่ นางรู้ทันทีว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
เห็นเพียงนางใช้นิ้วชี้ไปที่นายหญิงใหญ่ “เป็นเจ้าใช่ไหม?ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ! เจ้ากลัวว่าเนี่ยนฉูจะแย่งชิงสถานะบุตรชายคนโตของหยุนเฉิง จึงต้องการกำจัดเขา! ไม่สิ ต้องการกำจัดพวกเราสองคน เจ้าใจร้ายมาก!”
ได้ยินคำกล่าวหานี้ นายหญิงเฉินซื่อจะยอมรับได้อย่างไร
เห็นเพียงนางกล่าวด้วยสีหน้าซีดเผือด “อย่าใส่ร้ายข้า เจ้ารังแกสองแม่ลูก เกี่ยวอะไรกับข้า? หรือว่าข้าเป็นคนสั่งให้เจ้ารังแกพวกเขา?”
เมื่อเห็นละครฉากนี้ เฉินเต้าเสวียนก็มีสีหน้าเย็นชาทันที
เดิมทีเขาคิดว่า ตระกูลเฉินมีผู้ฝึกตนน้อย มีผู้นำตระกูลที่ทำงานหนักเพื่อตระกูล ยอมสละเส้นทางแห่งเต๋า และมีเฉินเป่ยหวัง คนของตระกูลที่เต็มใจทุ่มเท ยอมตายเพื่อตระกูล
ตระกูลเฉินต้องเป็นตระกูลที่ไม่มีมลทิน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ทุกที่ล้วนมีด้านมืดที่แสงส่องไม่ถึง
ที่สำคัญคือ…
เฉินซื่อทำแบบนี้ แม้แต่เฉินเต้าเสวียนก็พูดไม่ออก นางใช้ประโยชน์จากความอิจฉาและนิสัยใจแคบของอนุภรรยาของเฉินเหลียงยวี่อย่างเต็มที่
ถ้าใช้คำพูดของโลกก่อน นี่คือการยืมดาบฆ่าคนอย่างชาญฉลาด
เขามองเฉินเหลียงยวี่ แล้วมองเฉินหยุนเฉิง เฉินซื่อ และอนุภรรยาของเฉินเหลียงยวี่ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้ายังจำกฎของตระกูลเฉินได้หรือไม่?”
“จำได้หรือไม่?”
เมื่อเห็นทุกคนไม่พูด เฉินเต้าเสวียนก็โกรธจัด ตะโกนดุ ออกมาอย่างรุนแรง
“ข้า… ข้า”
เฉินเหลียงยวี่คุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้าลง
เมื่อเฉินหยุนเฉิงเห็นดังนั้น เขาก็คุกเข่าลงข้างๆ บิดา ในที่สุด ทุกคนในจวนเฉิน รวมถึงนายหญิงใหญ่ อนุภรรยา และแม้แต่บุตรสาวของเฉินเหลียงยวี่ ต่างก็คุกเข่าลงทั้งหมด
ในที่สุด เฉินเหลียงยวี่ก็รู้สึกราวกับมีไฟกำลังลุกไหม้อยู่ในใจ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ กฎของบรรพบุรุษที่เก่าแก่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาอย่างช้าๆ
“ผู้ใดก็ตามที่เป็นคนของตระกูลเฉิน ล้วนเป็นคนของตระกูลข้า!”
“ผู้ใดก็ตามที่เป็นคนของตระกูลเฉิน ล้วนเป็นคนของตระกูลข้า! ถูกต้อง เฉินเหลียงยวี่ บอกข้ามา คนของตระกูลเฉินแบ่งแยกเป็นบุตรชายคนโตและบุตรอนุได้อย่างไร?”
เฉินเต้าเสวียนจ้องมองเขา และจ้องมองเฉินซื่อ
ทั้งสองก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาเขา
เฉินเนี่ยนฉูมองดูภาพตรงหน้า มีแสงไฟริบหรี่ลุกไหม้อยู่ในดวงตา
เขากำหมัดเล็กๆ แน่น รู้สึกราวกับว่ามีกระแสน้ำอุ่นไหลเวียนอยู่ในอก นั่นคือสายเลือดอันร้อนแรงของตระกูลเฉิน มันกำลังไหลเวียน!
เฉินเต้าเสวียนเดินไปที่ข้างๆ เขา ล่าวด้วยน้ำเสียงที่เขาได้ยินเท่านั้น “เจ้าชอบตระกูลเฉินแบบนี้หรือไม่?”
คำถามนี้ ราวกับทำให้เด็กชายนึกถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนัก
เขาส่ายหน้า “ไม่ชอบ!”
“งั้นพวกเราลองเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแบบที่เจ้าชอบ ดีหรือไม่?”
เฉินเต้าเสวียนก้มหน้าลง สบตากับดวงตาเล็กๆ ของเฉินเนี่ยนฉูพอดี
เฉินเนี่ยนฉูมองเห็นบางสิ่งที่แตกต่างในดวงตาของพี่ชายคนนี้ นั่นคือสิ่งที่เขารอคอยมานาน แต่ไม่เคยได้มา
เขาพยักหน้าอย่างลืมตัว “ดี”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ข้าก็มีข้อเรียกร้อง”
“อะไร?”
“ไม่เช่นนั้น ขอให้ท่านเป็นบิดาของข้าเถอะ”
เฉินเต้าเสวียน “....”