ตอนที่แล้วบทที่ 36 ผลผลิตกระบี่บินต่อวัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 38  กฎของตระกูล

บทที่ 37 บุตรอนุ…


บทที่ 37 บุตรอนุ…

ณ เมืองฉางผิง

ขณะนี้เป็นเวลายามซวี เทียบเท่ากับเวลาประมาณหนึ่งทุ่มของโลกก่อน

แตกต่างจากเมืองผู้ฝึกตนกวนอันที่สว่างไสวตลอดทั้งคืน  แม้เมืองฉางผิงจะไม่มีการประกาศห้ามออกจากเคหสถานในยามวิกาล  แต่เมื่อถึงยามราตรี ก็มีเพียงเฉพาะบ้านไม่กี่หลังเท่านั้น ที่ยังคงจุดโคมไฟส่องสว่าง

แน่นอนว่า บ้านของเฉินเหลียงยวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

รถม้าสุดหรูเคลื่อนมาหยุดลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่โต

สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เฉินเต้าเสวียนที่ก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างาม

“จวนเฉิน”

เฉินเต้าเสวียนเงยหน้าขึ้นมองป้ายไม้ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา  สองอักษรขนาดใหญ่บนป้ายไม้  เขียนด้วยลายมือพู่กันที่พลิ้วไหวดุจมังกรทะยาน  เขาพยักหน้าชื่นชม “ลายมือเยี่ยมมาก”

ได้ยินคำชมของเฉินเต้าเสวียน  เฉินเหลียงยวี่ก็เผยสีหน้าภาคภูมิใจออกมาทันที “นี่เป็นลายมือของเฉินเติงหย่วน  บรรพบุรุษของตระกูลเฉินเรา  ป้ายไม้ผืนนี้ท่านบรรพบุรุษมอบให้กับท่านปู่ของข้าน้อย”

“โอ้?”

เมื่อรู้ว่าเป็นลายมือของเฉินเติงหย่วน บรรพบุรุษของตระกูลเฉิน  เฉินเต้าเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะมองอีกสองสามครั้ง

“แอ๊ด”

ขณะที่เขากำลังชื่นชมป้ายไม้อยู่  ประตูจวนเฉินก็เปิดออกอย่างกะทันหัน

กลุ่มคนเดินออกมาจากด้านใน  มุ่งหน้ามาทางนี้

เมื่อมองดูอย่างละเอียด

กลุ่มนี้นำขบวนโดยสตรีวัยกลางคน  อายุเกือบสี่สิบปี  ข้างกายมีบ่าวไพร่ของจวนเฉินติดตามมา  ทั้งหญิงรับใช้และบ่าวรับใช้ชาย

เมื่อเห็นภาพนี้  เฉินเต้าเสวียนนิ่งเงียบ  ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

แต่ในสายตาของทุกคน  ผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์คือผู้ฝึกตน  เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ฝึกตนจะมีท่าทางเฉยเมยและสูงส่ง  หากวันใดผู้ฝึกตนมาตีสนิทกับมนุษย์  มนุษย์คงจะหวาดกลัวมากกว่า

สตรีวัยกลางคนที่เป็นผู้นำโค้งคำนับเล็กน้อย  กล่าวด้วยความเคารพ “หญิงชาวบ้าน(หมินหนี่)… เฉินซื่อ  คารวะผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์”

ส่วนหญิงรับใช้และบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลัง  ต่างคุกเข่าลงกับพื้น  ก้มหน้าลงต่ำ  ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น

เห็นภาพนี้  เฉินเต้าเสวียนก็เผยสีหน้าไม่พอใจออกมา

เฉินเหลียงยวี่ช่างสังเกต  รู้ได้ทันทีว่าเฉินเต้าเสวียนต้องเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง  จึงรีบก้าวไปข้างหน้า  อธิบายด้วยน้ำเสียงเบา  “ผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์  หญิงรับใช้และบ่าวรับใช้เหล่านี้  ไม่ใช่คนของตระกูลเฉิน  แต่เป็นทาสที่ท่านปู่ซื้อมาจากเมืองกวงอัน”

ได้ยินเช่นนี้  เฉินเต้าเสวียนก็อดนึกถึงทาสที่สวมตรวน  แบกข้าวสาร  ที่ท่าเรือเมืองกวงอันไม่ได้

“เจ้าหมายความว่า  พวกเขาล้วนเป็นทาสจากเมืองฉู่หยุน?”

“ถูกต้อง”

เฉินเหลียงยวี่พยักหน้า

ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เฉินเต้าเสวียนจึงถามว่า “ในเกาะซวงหูของเรา มีทาสแบบนี้เยอะไหม?”

“ไม่น้อย”

  

เฉินเหลียงยวี่ครุ่นคิด “จวนเฉินของข้าน้อยมีหญิงรับใช้ที่ซื้อมาสี่สิบหกคน บ่าวรับใช้ชายสามสิบเจ็ดคน รวมแล้วเกือบร้อยคน เท่าที่ข้าน้อยทราบ ตระกูลเฉินของเรามีบ้านแบบนี้อยู่สามถึงสี่หลัง”

  

ได้ยินเช่นนั้น เฉินเต้าเสวียนก็พยักหน้าเข้าใจ “ไม่แปลกใจเลยที่ตระกูลเฉินของเรามีที่ดินมากมาย แต่ชาวนาแค่ร้อยเจ็ดสิบเจ็ดครัวเรือน พวกเจ้าคงใช้ให้พวกเขาทำไร่ไถนาทั้งหมดสินะ?”

  

เฉินเหลียงยวี่เห็นเฉินเต้าเสวียนชี้ไปที่กลุ่มบ่าวรับใช้ที่กำลังคุกเข่าอยู่ เขาก็ยิ้มแห้งๆ ออกมา

  

ในใจเขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

  

จริงอยู่ สำหรับตระกูลเฉินในปัจจุบัน การยึดครองที่ดินเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่

  

ยิ่งไปกว่านั้น คนในตระกูลเฉินหลายคนไม่เต็มใจทำไร่ไถนา เพราะตระกูลจะประกันความเป็นอยู่ขั้นต่ำให้กับคนในตระกูล

  

กล่าวคือ หากเจ้าเป็นคนของตระกูลเฉิน แม้จะไม่ทำงาน ตระกูลก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าอดตาย

  

สิ่งนี้นำไปสู่ความเกียจคร้านของคนในตระกูลเฉินบางส่วน

  

ข้อบกพร่องเหล่านี้ คือสิ่งที่เฉินเต้าเสวียนต้องการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน

  

แต่เนื่องจากการสำรวจประชากร พื้นที่เพาะปลูก และที่ดินของตระกูลยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ประกอบกับเฉินเต้าเสวียนยุ่งอยู่กับโรงงานผลิตอาวุธวิเศษตลอดเดือนที่ผ่านมา

  

ทำให้เขาไม่มีเวลาดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

  

แต่การที่เขายุ่ง ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจ

  

ในฐานะคนที่เดินทางข้ามเวลามา เฉินเต้าเสวียนรู้ดีว่าระบบการกระจายผลประโยชน์ที่ค่อนข้างยุติธรรมนั้นสำคัญเพียงใดต่ออำนาจ

  

ไม่ว่าจะเป็นในโลกยุคโบราณของโลกเก่า หรือในโลกแห่งการบ่มเพาะอย่างโลกนี้ การยึดครองที่ดินเป็นเหมือนมะเร็งร้าย

  

แต่ต่างจากโลกที่ไม่มีผู้ฝึกตน โลกแห่งการบ่มเพาะนี้มีผู้ฝึกตนอยู่ และผู้ฝึกตนก็ต้องพึ่งพาคนธรรมดาจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อความขัดแย้งของคนธรรมดารุนแรงขึ้น

  

เหล่าผู้ฝึกตนจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแก้ไขปัญหา บังคับให้กลุ่มผลประโยชน์ของคนธรรมดาแตกสลาย ปล่อยให้คนธรรมดาที่อยู่ระดับล่างสุดได้มีโอกาสหายใจ

  

แต่เฉินเต้าเสวียนไม่ต้องการทำเช่นนั้น

  

เพราะตระกูลเฉินอ่อนแอเกินไป และเขากำลังจะพัฒนาตระกูลอย่างก้าวกระโดด ก่อนหน้านั้น เขาต้องกำจัดข้อเสียต่างๆ ของตระกูลก่อน

  

หรือพูดอีกอย่างก็คือ กำจัดความคิดที่ไม่เป็นธรรมในการแบ่งปันผลประโยชน์นั่นเอง

  

“ไปกันเถอะ เข้าไปข้างในกัน”

  

“ผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์ เชิญด้านนี้”

  

เฉินเหลียงยวี่รีบทำท่าเชื้อเชิญ

  

ทุกคนรีบหลีกทางให้เฉินเต้าเสวียนเดินนำหน้า

  

หลังจากเฉินเต้าเสวียนเดินผ่านไป ชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาสตรีวัยกลางคนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านแม่!”

  

สตรีวัยกลางคนเห็นบุตรชายก็ดีใจและสงสาร รีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเฉินหยุนเฉิง พลางพูดด้วยความเป็นห่วง “ดูสิ ทำไมถึงดูเหนื่อยขนาดนี้ เหงื่อออกเต็มตัวเลย”

  

“แค่นี้เอง”

  

เฉินหยุนเฉิงไม่ใส่ใจ “เอ๊ะ ทำไมไม่เห็นน้องสาวกับน้องชายเลย?”

  

“พวกเขาอยู่กับมารดารองและมารดาสามที่สวนหลัง วันนี้ที่บ้านมีแขก ไม่สะดวกให้พวกเขาออกมา”

  

สตรีวัยกลางคนพูดอย่างสุขุม

  

เฉินหยุนเฉิงยังเด็ก ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเหมือนมารดาของเขา

  

เขาเพียงถามไปงั้นๆ แฃ้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

  

นางเห็นเฉินหยุนเฉิงยังจะพูดต่อ สตรีวัยกลางคนก็ผลักเขาเบาๆ ส่งสายตาเป็นนัยๆ “ยังไม่รีบไปช่วยบิดาเจ้าต้อนรับผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์อีก”

  

“โอ้!”

  

เฉินหยุนเฉิงเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาเกาหัว พลางยิ้ม “ท่านแม่ งั้นข้าไปช่วยท่านพ่อต้อนรับผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์ก่อนนะ เดี๋ยวค่อยมาหาท่านแม่อีกที”

  

“รีบไปเถอะ”

  

พูดจบ เฉินหยุนเฉิงก็รีบเดินตามเฉินเหลียงยวี่และเฉินเต้าเสวียนไป ราวกับเป็นผู้ติดตาม

  

ในงานเลี้ยง

  

เฉินเหลียงยวี่และบุตรชายคนโตของเขา… เฉินหยุนเฉิง นั่งร่วมโต๊ะกับเฉินเต้าเสวียน เสียงหัวเราะดังขึ้นตลอดเวลา

  

เฉินเต้าเสวียนมองเฉินเหลียงยวี่และเฉินหยุนเฉิงด้วยความรู้สึกพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว

  

ทุกคนดื่มกินกันอยู่ครึ่งชั่วยาม เฉินเต้าเสวียนมองท้องฟ้า พลางพูดว่า “เอาเป็นว่า วันนี้เราพอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ยังต้องทำงานที่โรงงานต่อ การดื่มจนเมามายไม่ใช่เรื่องดี”

  

ได้ยินดังนั้น เฉินเหลียงยวี่ก็รู้สึกเสียดาย แต่ก็ยังยิ้มและเห็นด้วย “ผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์พูดถูก”

  

“โครม!”

  

“นังคนชั้นต่ำ! เจ้ากับลูกนอกคอกกล้ามาแกล้งบุตรสาวข้า ข้าจะตีนังคนชั้นต่ำอย่างเจ้า!”

  

“ข้าไม่ได้แกล้งนาง นางต่างหากที่แย่งตุ๊กตาไม้ของข้าไป แล้วยังมาด่าข้าอีก”

  

“ลูกนอกคอก! ยังกล้าเถียงอีก! นังคนชั้นต่ำ เจ้าไม่สั่งสอนลูกนอกคอกของเจ้าบ้างหรือ?”

  

“...”

  

ทุกคนที่นั่งอยู่ ต่างก็เป็นนักรบหรือผู้ฝึกตน ยกเว้นมารดาของเฉินหยุนเฉิง

  

เสียงทะเลาะวิวาทจากสวนหลังบ้าน แม้ว่ามารดาของเฉินหยุนเฉิงจะไม่ได้ยิน แต่เฉินเหลียงยวี่และเฉินเต้าเสวียนกลับได้ยินอย่างชัดเจน

  

เฉินเต้าเสวียนจิบสุราเงียบๆ ไม่พูดอะไร

  

เฉินเหลียงยวี่เห็นดังนั้นก็รู้สึกอับอายอย่างมาก ในใจเดือดดาลยิ่งนัก

  

อีนังผู้หญิงสารเลว ไร้มารยาท! รอดูเถอะ ข้าจะจัดการเจ้า!

  

เฉินเหลียงยวี่สบถอยู่ในใจ

  

เดิมทีคิดว่าเป็นแค่การทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัว แต่เสียงด่าทอกลับดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมารดาของเฉินหยุนเฉิงก็ได้ยิน

  

“ผู้นำตระกูลรุ่นเยาว์ ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องมาพบกับเรื่องน่าอับอายเช่นนี้”

  

เฉินเหลียงยวี่กล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ

  

เฉินเต้าเสวียนยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร

  

ครู่หนึ่ง เขานึกอะไรขึ้นได้ “ไปเถอะ ไปดูกัน”

  

พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ

  

เขาเพิ่งใช้จิตสำนึกตรวจสอบสวนหลังบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น และพบเรื่องที่น่าสนใจ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด