บทที่ 190 พรรคดาบโลหิต
ดวงตาของเหวินจิงอวี๋เป็นประกาย เมื่อได้ยินว่าสุรานี้ ช่วยให้ใบหน้าของนางงดงามขึ้นกว่านี้ได้ นางยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ในเมื่อมันช่วยทำให้ไปหน้าของข้างดงามขึ้นได้ เช่นนั้นข้าคงต้องร่ำสุรานี้เพิ่มอีกเสียหน่อย”
ทุกคราเมื่อนางยิ้ม ดวงตาของนางจะโค้งเรียวประหนึ่งเสี้ยวจันทรา ช่างตระการตายิ่ง
“คุณชาย หากสุรานี้สามารถทำให้ผิวพรรณแลใบหน้าข้างดงามได้จริง เช่นนั้น มันคงเป็นสุราชนิดเดียวที่สรรพคุณชั้นยอดสุดในอาณาจักรเสินไห่เรา หากคุณชายเปิดโรงเตี๊ยมและเชี่ยวชาญสุราประเภทนี้อยู่แล้ว มันจะต้องเป็นที่นิยมชมชอบจากเหล่าผู้ทรงอำนาจแน่นอน”
หยางเสี่ยวเทียนส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “สุรานี้ ข้าใช้สมุนไพรมากมายในการหมัก ทั้งยังมีราคาค่อนข้างสูง แม้แต่ขุนนางธรรมดาทั่วไป ก็ยากยิ่งจะเอื้อมถึงได้”
ด้วยราคาอันสูงลิ่วของสมุนไพรหายาก จึงเป็นไปไม่ได้เลยหากคิดจะเปิดกิจการค้าขายสุรานี้
อย่างไรก็ตาม วาจาของเหวินจิงอวี๋เมื่อครู่ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เขาผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา
มิแน่ว่า ภายหน้าเขาอาจจะลองหมักสุราชนิดอื่นที่มีต้นทุนไม่สูงนัก แต่ยังคงคุณภาพเสริมแกร่งและความงามดั่งเช่นเดิม แล้วจึงค่อยเปิดโรงเตี๊ยมเพื่อจำหน่ายก็เป็นได้
แม้ตอนนี้เขาจะมิได้ขัดสนเงินทอง แต่หากภายหน้ามีผู้ใต้บัญชาเพิ่มมากขึ้น มันจะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเช่นกัน เขาไม่สามารถหลอมโอสถและขายเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ตนมีเพิ่มขึ้นทุกวันได้
“ไฉนข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยกับคุณชายนัก เราเคยพบกันที่ไหนสักแห่งมาก่อนหรือไม่” จู่ๆ เหวินจิงอวี๋ก็หัวร่อ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ไยพ่อหนุ่มน้อยผู้อยู่เบื้องหน้านางยามนี้ จึงพานให้นางรู้สึกมักคุ้นยิ่งนัก แม้นจะตะหนักนึกอยู่ในอกว่าเพิ่งเคยพบหน้าหยางเสี่ยวเทียนครั้งแรก แต่มันราวกับสนิทสนมกันมายาวนาน
คล้ายดั่งว่า ข้าเคยพบเห็นเขาที่ไหนสักแห่งมาก่อน
หยางเสี่ยวเทียนหัวร่อเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้ามาจากเมืองเสินเจี้ยน เคยค้าขายกับทางสมาคมการค้าเฟิงยวินอยู่บางครั้งบางคราว จึงมิแปลกที่เจ้าจะรู้สึกเช่นนั้น”
ทันใดนั้น เหวินจิงอวี๋ก็ช้อนตางดงามของนางขึ้นประหนึ่งรู้แจ้ง ก่อนแสดงรอยยิ้มหยาดเยิ้ม แล้วกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ที่แท้ คุณชายก็มาจากเมืองเสินเจี้ยน มิน่า ข้าถึงรู้สึกคุ้นตานัก”
ครั้นได้ทราบว่าหยางเสี่ยวเทียนเป็นคนจากเมืองเดียวกับนาง เหวินจิงอวี๋จึงเริ่มคลายความหวั่นใจ แลเริ่มสนทนากันได้อย่างเป็นกันเองมากขึ้น
ระหว่างเหวินจิงอวี๋และหยางเสี่ยวเทียนสนทนากันอย่างมีความสุข ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังก้องขึ้น ก่อนปรากฏลูกเกาทัณฑ์แหลมคมจำนวนมาก พุ่งออกมาจากป่ามืด
“ศัตรูบุก!” ใบหน้าของเหวินซิ่วหลานผันเปลี่ยน ก่อนแผดเสียงตะโกนด้วยความตระหนกตกใจ “เร็วเข้า รีบปกป้องสินค้า!”
เหล่าผู้คุ้มกันทั้งหมดของสมาคมการค้าเฟิงยวินพลันผงาดลุกขึ้นยืน และกวัดแกว่งดาบของพวกเขาปัดป้องลูกเกาทัณฑ์จากสินค้า
เหวินจิงอวี๋ก็ตกใจเช่นกัน นางขยับเรือนร่างลุกขึ้นแล้วชักกระบี่ออกมา เพื่อปกป้องลูกเกาทัณฑ์อันแหลมคม
ท่ามกลางความโกลาหลเวลานี้ มีเพียงลูกเกาทัณฑ์อันแหลมคมเท่านั้นที่พุ่งออกมาจากป่ามืดรอบด้าน แต่เงาศัตรูกลับหาได้ปรากฏออกมาไม่
เหวินซิ่วหลานตะคอกด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด “ผู้ใดกัน? ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!” ระหว่างนั้น นางก็ชี้กระบี่ยาวในมือเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนและอีกสองคน ก่อนตวาดใส่ด้วยความโกรธ
“คณะเดินทางของสมาคมเป็นความลับ ต้องเป็นเจ้า ที่ลอบสะกดรอยตามเรามา แล้วเป็นผู้เปิดเผยที่อยู่ หาไม่แล้วจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร”
หยางเสี่ยวเทียนเหลือบมองเนินอกใหญ่ของอีกฝ่าย ก่อนช้อนตายังใบหน้าแล้วกล่าวน้ำเสียงเรียบเฉย
“เจ้าควรใช้สมองไตร่ตรองให้มากกว่านี้ ไม่เช่นนั้น เจ้าจะเป็นเพียงสตรีที่มีดีแค่ใจใหญ่ แต่ไร้ซึ่งสมอง”
เหวินซิ่วหลานเดือดพล่านจนอกสั่นกระเพื่อม หลังได้ยินวาจาดูหมิ่นจากเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ทำนางได้แต่กำหมัดแน่นขณะจ้องเขม็งมองหยางเสี่ยวเทียนอย่างเหลืออด
หลังถูกโจมตีจากลูกเกาทัณฑ์อยู่หลายสิบลูก ผู้คนมากกว่าสามสิบของสมาคมการค้าเฟิงยวิน ได้รับบาดเจ็บเสียส่วนใหญ่ ในเวลานี้เอง กลุ่มคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดก็ย่างกรายออกมาเผยตน
พวกมันมีกันทั้งหมด มากกว่าห้าสิบหรือหกสิบคนเห็นจะได้
ครั้นเห็นอาภรณ์อันโดดเด่นของอีกฝ่าย ใบหน้างามสะคราญของเหวินจิงอวี๋ก็ต้องแปรเปลี่ยน
“พรรคดาบโลหิต”
หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อพบว่ากลุ่มโจรที่ซุ่มโจมตีครู่นี้ เป็นพรรคดาบโลหิต
หลังเสร็จธุระหน้าที่ยังเมืองหลวง เขาก็มีความคิดจะไปเยือนรังของพรรคดาบโลหิต เพื่อหากริชเทียนหลงอีกเล่มที่ยังคงหายสาบสูญ
แต่เขาไม่คาดคิด ว่าจะบังเอิญประสบพบกลุ่มของพรรคดาบโลหิตที่นี่
ผู้นำพรรคดาบโลหิต สวมอาภรณ์สีแดงฉานสมดั่งนามโลหิต บนหัวสวมหมวกกุยเล้ย และใบหน้ามีรอยแผลเป็น มันเดินออกมาท่ามกลางความมืดพร้อมกับถือดาบใหญ่ในมือสองเล่ม
มันเหลือบมองไปยังเหวินจิงอวี๋และเหวินซิ่วหลาน ก่อนจะกระหยิ่มยิ้มเยาะกล่าวว่า “ข้าไม่คิดเลยว่า จะได้ประสบพบพานกับสาวงามถึงสองคน ดูท่าแล้วคืนนี้ พี่น้องเราคงได้มีค่ำคืนอันน่าจดจำไม่น้อย”
ใบหน้าของเหวินซิ่วหลานเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธ “พรรคดาบโลหิตพวกเจ้ากล้าหาญมาก แต่เจ้าน่าจะรู้ ว่าเรามาจากสมาคมการค้าเฟิงยวิน!”
ผู้นำพรรคดาบโลหิตยกคางขึ้นกลอกตา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าได้ทราบภายหลังอีกว่า พี่น้องพรรคดาบโลหิตของเรา มิเพียงกล้าหาญเรื่องนี้เท่านั้น แต่ยังเก่งกาจในการดูแลเรือนร่างของสตรีอีกด้วย”
พรรคดาบโลหิตระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
สิ้นเสียง มันก็กระโจนขึ้นสูงแล้วเหวี่ยงดาบใหญ่ในมือสองเล่ม ฟาดเข้าหาเหวินจิงอวี๋และเหวินซิ่วหลาน ในเวลาเดียวกัน มันก็ตะโกนสั่งลูกน้อง
“พวกเจ้า จัดการสินค้าไร้คุณภาพทั้งสามนั้นเสีย”
หมายถึงหยางเสี่ยวเทียน อูฉีและหลัวชิง
“สินค้าไร้คุณภาพงั้นหรือ”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนทั้งสาม ว่าเป็นเพียงสินค้าไร้คุณภาพ หยางเสี่ยวเทียนจึงเหยียบยิ้มเย็นชา ก่อนเอื้อมมือคว้าท่อนฟืนที่มีไฟลุกโชติช่วง เหวี่ยงออกไปเป็นเส้นแสง พุ่งทะลวงหายเข้ายังอกของหนึ่งในพรรคดาบโลหิตทันที!