บทที่ 18 พี่สาวข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีพร้อมกันทั้งสามคน เขาก็ก้าวไปข้างหน้ายังไม่มีหวั่นเกรง พร้อมสีหน้าของเขาที่ยังคงมิเปลี่ยนแปลง
อ๊าก! อ๊าก! อ๊าก!
เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทั้งสามก็ปลิวออกไปกระแทกเข้าที่โต๊ะจนหักครึ่งทีละคน
ครั้นทุกคนได้เห็นกันอย่างประจักษ์ชัด ก็ต่างมีสีหน้าตกตะลึงไปตามกันในทันที
นี่ใช่คนไร้ค่าที่ปลุกได้วิญญาณยุทธ์ขยะจริงหรือ? ใช่ขยะอันดับหนึ่งของเมืองฉีซานแน่หรือ?
หลังจากจัดการกับทั้งสี่คนแล้ว หลัวเฉิงก็สืบเท้าเข้าหาฉีตงด้วยแววตาอันเย็นชา เมื่อบรรลุถึงก็ยกเท้าเหยียบเข้าที่หน้าเขาจนแก้มแนบลงไปกับพื้นอย่างแรง
ฉีตงตกใจกลัวพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หลัว... หลัวเฉิง! เจ้า! เจ้าจะทำอะไรข้า?”
หลัวเฉิงหันศีรษะไปหาหลัวอวิ๋นแล้วกล่าวว่า “พวกเขาทุบตีเจ้าอย่างไรเมื่อครู่ เจ้าสามารถเอาคืนเพื่อล้างแค้นได้ในตอนนี้”
หลัวอวิ๋นเพิ่งได้สติกลับคืน เขามองไปยังฉีตงที่นอนหน้าแนบพื้นภายใต้ฝ่าเท้าของหลัวเฉิง ราวกับสุนัขที่ตายแล้ว ทันใดนั้น ดวงตาเขาก็ทอประกายแสงเย็นเยียบ
“เจ้ากล้าหรือ! ถ้าเจ้าแตะต้องข้า! พี่สาวของข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน!” ฉีตงพลันตวาดข่มขู่พร้อมสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
แต่ทว่า หลัวอวิ๋นหาได้ใส่ใจในคำขู่ไม่ เขารีบรุดไปข้างหน้า แล้วปาดมือตบหน้าฉีตงไปหลายฉาด จนกระทั่งใบหน้าของเขาบวมปูดเต็มไปด้วยเลือด
“เมื่อครู่เจ้าเก่งนักหนามิใช่หรือ! ลองลุกขึ้นมาอีกครั้งสิ! ลุกมาตบตีข้าสิ!” หลัวอวิ๋นตะคอกฉีตงด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
แม้นกระนั้นแล้ว ความอัดอั้นในใจเขาก็ยังมิคลายหายไป หลัวอวิ๋นสืบเท้าเข้าหาอีกสี่คน ก่อนทุบตีพวกเขาทีละคน ยามนี้ทั้งโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวน ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
หลังจากที่หลัวอวิ๋นทุบตีพวกเขาระบายความโกรธแค้นในใจจนหมดสิ้น หลัวเฉิงก็พาเขาออกไปจากโรงเตี๊ยมทันที
ครั้นทั้งสองคนจากไปแล้ว บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมก็เงียบสงัดลงจนน่าขนลุก
ทุกคนมิปริปากเอ่ยคำใด เพียงมองไปยังห้าร่างที่ส่งเสียงสะอื้นคร่ำครวญอยู่บนพื้น ก่อนหันซ้ายแลขวามองหน้ากันไปมา
“หรือว่าข่าวลือไม่เป็นความจริง” หนึ่งในนั้นเลียริมฝีปากของเขาอันแห้งเผือด ก่อนเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบงัน
จากนั้น เสียงสนทนาก็เริ่มดังไปทั่วโรงเตี๊ยม ด้วยความฉงนสงสัยของผู้คนที่เริ่มถกเถียงกันไปมา เกี่ยวกับความจริงที่ว่า หลัวเฉิงเป็นขยะดังข่าวลือหรือไม่
“ข่าวลือนั้นเป็นจริงอย่างแน่นอน” จู่ๆ ก็พลันมีเสียงแหบห้าวดังก้องขึ้น พานให้ผู้คนในโรงเตี๊ยมถึงกับเงียบฟัง ครั้นหันไปมองก็พบว่าเป็นชายชราผู้หนึ่งที่เอ่ยขึ้นเมื่อครู่
จากนั้น ชายชราส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ขั้นหลอมกายา เป็นเพียงขั้นที่ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของผู้ฝึกยุทธ์ แม้นวิญญาณยุทธ์จะไร้ซึ่งดาว แต่ก็ยังคงสามารถใช้โอสถในการทะลวงระดับพลังยุทธ์ได้อยู่”
“หลัวเฉิงคงอาศัยโอสถในการทะลวงระดับ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว แต่วิญญาณยุทธ์เขานั้นเป็นขยะ เมื่อระดับพลังยุทธ์สูงขึ้นในภายหน้า วิญญาณยุทธ์จะกลายเป็นตัวกำหนดความสำเร็จ แม้นจะใช้โอสถมากเพียงใด ก็มิอาจเลื่อนระดับพลังยุทธ์ให้สูงขึ้นได้”
หลังได้ฟังวาจาของชายชรา ทุกคนก็ล้วนคิดว่ามันสมเหตุสมผลที่สุด ตลอดทั้งอดีตและปัจจุบัน ไม่เคยมีผู้ใดประสบความสำเร็จได้โดยอาศัยวิญญาณยุทธ์ขยะ
บนถนนแห่งหนึ่ง ณ เมืองฉีซาน
“ฮ่าฮ่าฮ่า... ท่านเห็นข้าตบตีพวกเขาเมื่อครู่หรือไม่! มันสุดยอดมาก!” หลัวอวิ๋นเปิดปากกล่าวอย่างตื่นเต้นมาตลอดทางระหว่างเดิน
ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดียิ่ง และเขายังคงจมอยู่กับความสำราญ ที่สามารถเอาชนะคนพวกนั้นได้
ในช่วงเวลานี้ ตระกูลหลินและตระกูลฉีร่วมมือกันหมายทำลายตระกูลหลัว ทำให้คนของตระกูลหลัวมักถูกรังแกอยู่หลายครั้งหลายครา นั่นทำให้หลัวอวิ๋นรู้สึกอัดอั้นอยู่ในใจเป็นที่สุด
วันนี้ ในที่สุดข้าก็ได้ระบายมันออกไปจนหมดสิ้นแล้ว!
“พี่หลัวเฉิง ท่านทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับหกแล้วงั้นหรือ” หลัวอวิ๋นรีบเอ่ยถามทันทีที่ตระหนักนึกขึ้นได้
การที่หลัวเฉิงสามารถเอาชนะฉีตงและคนอื่นๆ ได้ง่ายดายเช่นนี้ มาตรว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับหกเป็นแน่
สำหรับขั้นหลอมกายาระดับเจ็ด เขาไม่กล้าคิดเกี่ยวกับมัน
ขั้นหลอมกายาแบ่งเป็นสามช่วงคือ ระดับหนึ่งถึงสามเป็นช่วงต้น สี่ถึงหกเป็นช่วงกลาง เจ็ดถึงเก้าเป็นช่วงปลาย
เนื่องจาก หลัวเฉิงเพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น การจะทะลวงผ่านระดับสี่ที่เป็นช่วงกลาง เข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเจ็ดที่เป็นช่วงปลาย มันจะเป็นไปได้อย่างไร!
หลัวเฉิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย โดยมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“จริงงั้นหรือ! พี่หลัวเฉิงท่านฝึกฝนอย่างไร” หลัวอวิ๋นรีบถามอย่างกระตือรือร้น
“ข้าแค่โชคดีเท่านั้นเอง” หลัวเฉิงแค่ตอบไปตามมารยาท แต่สีหน้าของหลัวอวิ๋นก็เอาจริงเอาจัง
ก่อนหน้านี้ หลัวอวิ๋นได้ยินข่าวลือมาว่า หลัวเฉิงออกไปฝึกฝนอยู่ในหุบเขาเมฆาทมิฬ และคงได้รับโอสถวิเศษบางอย่าง จึงทำให้เขาก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
“ภายหน้า ข้าอยากออกไปผจญภัยกับท่านสักครั้ง!” หลัวอวิ๋นแอบคิดอยู่ในใจตนเงียบๆ
จากนั้น เขาก็รู้สึกเสียใจที่หลัวเฉิงถูกจำกัดการฝึกฝนด้วยวิญญาณยุทธ์
ในแง่ของการเป็นผู้ฝึกฝน หลัวเฉิงคือบุคคลที่เขาชื่นชมมากที่สุด ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ด้วยกัน!
แต่ช่างน่าเสียดาย ที่สวรรค์กลับมอบโชคชะตาอันโหดร้ายต่อเขา ทำให้หลัวเฉิงปลุกได้วิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา
ระหว่างที่ทั้งสองเดินสนทนากันมาตามทาง ไม่ช้า พวกเขาก็กลับมาถึงจวนตระกูลหลัว
ครั้นคนของตระกูลหลัวเห็นหลัวเฉิง ก็มีสีหน้าไม่ชอบใจนัก พวกเขาต่างหันไปกระซิบกระซาบกัน พานให้รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก แต่หลัวเฉิงก็หาได้ใส่ใจ เขายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ด้วยใบหน้าอันเรียบเฉย
หลัวอวิ๋นจึงกระซิบบอกหลัวเฉิง “ตอนนี้ ตระกูลของพวกเราถูกรังควานโดยตระกูลหลินและฉี ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก หลายคนจึงโยนความผิดมาใส่ท่าน โดยกล่าวหาว่าท่านเป็นผู้นำพาให้ตระกูลตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
หลังกล่าวจบ หลัวอวิ๋นก็ตะคอกอย่างไม่พอใจ “ข้าอยากบอกพวกเขานักว่า ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมการตื่นขึ้นของวิญญาณยุทธ์ได้ แล้วจะมาตำหนิพี่หลัวเฉิงได้อย่างไร”
เมื่อหลัวเฉิงได้ยินดังนั้น เขาก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงคิดว่าผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ แม้นอธิบายอะไรไปในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์