ตอนที่แล้วบทที่ 16 คุณหนูลั่วเหยา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 18 พี่สาวข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!

บทที่ 17 ปีศาจน้อยแห่งตระกูลฉี


ครั้นหลัวเฉิงเข้าไปในโรงเตี๊ยม เขาก็กวาดสายตามองหาห้าคนนั้น ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับโต๊ะหนึ่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง

ที่นั่นมีชายหนุ่มห้าคน ซึ่งเป็นคนของตระกูลหลินและตระกูลฉี กำลังสนทนากันอย่างสนุกสนานพร้อมหัวร่อเสียงดังสนั่นโรงเตี๊ยม

“ฮ่าฮ่า เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าตอนที่หลัวอวิ๋นถูกทุบตี เขาไม่กล้าแม้แต่จะโต้ตอบ กลับนอนอยู่กับพื้นให้เราทุบตีราวกับสุนัข เกรงว่าทุกคนในตระกูลหลัวก็คงมิแตกต่างจากเขานัก!”

“เมื่อก่อน ข้าเคยกังวลเกี่ยวกับตระกูลจี มิเช่นนั้นตระกูลหลัวคงถูกกวาดล้างออกจากเมืองฉีซาน ไปนานแล้ว นับแต่นี้ ข้าจะสั่งสอนบรรดาศิษย์ของตระกูลหลัว ทุกเมื่อที่ข้าเห็นพวกเขา!”

ทั้งห้าคนหัวเราะเสียงดังจนได้ยินกันอย่างถ้วนทั่ว ทำราวกับไม่มีผู้ใดของตระกูลหลัวอยู่แถวนี้ หรือต่อให้มีพวกเขาก็หาได้ใส่ใจไม่

หลังได้ฟังวาจาเช่นนั้น แสงเย็นวาบก็ทอประกายในดวงตาของหลัวเฉิง เขาก้าวเดินเข้าไปทีละก้าวอย่างสุขุมเยือกเย็น ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนในโรงเตี๊ยมก็พลันเหลือบมองยังสองโต๊ะด้านข้าง พวกเขารับรู้ได้ว่า ต้องมีอะไรดีๆ ให้ดูชมเป็นแน่!

ระหว่างที่ทั้งห้ากำลังสนทนาอย่างเพลิดเพลิน จู่ๆ ก็รู้สึกถึงแววตาไม่เป็นมิตรมองตรงมายังพวกเขา พานให้หนาวสันหลังเล็กน้อย จึงขมวดคิ้วหันกลับไปมองยังโต๊ะข้างๆ

ชายหนุ่มในอาภรณ์งดงามตรงกลาง คราได้เห็นหลัวอวิ๋นนั่งอยู่ด้านข้างของหลัวเฉิง จึงเหยียดยิ้มเยาะกล่าวว่า “พวกเจ้าดูสิ ว่าผู้ใดกันที่กลับมา ทั้งยังพากำลังเสริมมาอีกต่างหาก เจ้าขยะนี่คือกำลังเสริมของเจ้ากระนั้นหรือ เจ้าอยากจะแก้แค้นหรืออยากถูกทุบตีอีกกันแน่”

เขามองดูหลัวเฉิงพลางกล่าวแกมหัวร่อ เห็นได้ชัดว่ากำลังดูถูกเหยียดหยามหลัวเฉิงอยู่ในตอนนี้

อีกสี่คนระเบิดเสียงหัวเราะจนตัวโยน พวกเขาคิดว่า ช่างเป็นกำลังเสริมที่ไม่ได้ความเอาเสียเลย ไฉนจึงไปเชิญคนไร้ค่าที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมากัน!

หลัวอวิ๋นผู้นั่งอยู่ที่นั่น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เพราะไม่รู้ว่าตนนั้นจะโต้ตอบเช่นไรดี เขารู้สึกโกรธเล็กน้อยที่หลัวเฉิงประมาทเยี่ยงนี้ ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หลัวเฉิงมิได้แสดงอารมณ์โกรธ เขาเพียงถามหลัวอวิ๋นอย่างใจเย็น “หลัวอวิ๋น ผู้ใดกันที่ตบหน้าเจ้าเมื่อครู่”

หลัวอวิ๋นตกตะลึงอยู่ครู่ ก่อนสายตาเขาจะทอดยาวไปยังบุรุษหนุ่มผู้สวมอาภรณ์งดงาม สีหน้าเขาแสดงออกถึงความกังวล จนมิกล้ากล่าวนามออกมาด้วยซ้ำ

“ฮ่าฮ่า! ข้าเอง!” ชายหนุ่มกล่าวพลางลุกขึ้นยืน ใบหน้าเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

หลัวเฉิงเหลือบมองชายหนุ่มผู้ขานรับคำถามตน ก่อนรอยยิ้มจะปรากฏขึ้นที่มุมปาก “เป็นเจ้าเองงั้นหรือ”

บุรุษหนุ่มผู้สวมอาภรณ์งดงามนี้มีนามว่าฉีตง เขาเป็นนายน้อยของตระกูลฉี เมื่อปีที่แล้ว เขาได้ปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับสามดาวขึ้นมา และเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับห้าไปไม่นานนี้

พรสวรรค์ของฉีตงนั้นมิได้มีสิ่งใดโดดเด่น แต่พี่สาวของเขาเป็นอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงในเมืองฉีซาน ซึ่งนางปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับห้าดาว และได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปดเมื่ออายุครบสิบห้าปี!

ด้วยการที่พี่สาวของตนคอยปกป้อง ฉีตงจึงข่มเหงผู้คนไปทั่วเมืองฉีซาน มิต่างอันใดกับสุนัขอวดอ้างบารมีเสือ ทั้งยังมักจะทำร้ายคนของตระกูลหลัวอยู่เป็นประจำ

ฉีตงมองไปยังหลัวเฉิงก่อนเหยียดยิ้มอย่างดูถูก “เป็นข้าแล้วอย่างไรเจ้าคนไร้ค่า เจ้าต้องการล้างแค้นแทนเขากระนั้นหรือ”

“ฮึ่ม! เพียงเพราะก่อนหน้าเจ้ามีตระกูลจีคอยหนุนหลัง ข้าจึงมิได้ลงมือกับเจ้า แต่ตอนนี้มันต่างออกไป”

“หากเจ้ารู้ตัวว่ากระทำการสิ่งใดผิดพลาดในตอนนี้ ก็จงคุกเข่าลงต่อหน้าข้าแล้วยอมรับผิดเสีย บางที ข้าอาจจะใจดีละเว้นชีวิตเจ้า ไม่เช่นนั้น อย่าได้ตำหนิที่ข้าไร้เมตตา!”

เพียะ!

ทันทีที่ฉีตงกล่าวจบ เสียงตบก็พลันดังขึ้นอย่างกะทันหัน

ส่งร่างของฉีตงปลิวออกไปราวสิบฉื่อ ก่อนจะกระแทกเข้าที่โต๊ะแล้วล้มลงไปกองบนพื้น ฉีตงผลักร่างตนลุกขึ้นนั่ง ครั้นเปิดปากก็คายเลือดออกมาคำใหญ่

ทั่วทั้งโรงเตี๊ยมเวลานั้น ล้วนแต่ได้ยินเสียงแสบระแคะระคายหู พานให้สีหน้าของผู้คนโดยรอบต่างเปลี่ยนไปเป็นตกใจในทันที

ไฉนคุณชายผู้ไร้ค่าของตระกูลหลัว จึงกล้าตบปีศาจน้อยฉีตงแห่งตระกูลฉีต่อหน้าธารกำนัล!

“เจ้าตีข้า! เจ้ากล้าตีข้า!” ฉีตงตะคอกด้วยความโกรธ จนร่างเขาสั่นเทา

ใบหน้าเขาขณะนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ด้วยเลือดที่เดือดพล่านในกายพลันปะทุ เขายกมือขึ้นชี้นิ้วไปยังหลัวเฉิง แล้วคำรามดังลั่นด้วยบันดาลโทสะ “ทุบตีเขาให้ตาย! อย่าให้เขามีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่เป็นอันขาด”

จะมีผู้ใดบ้างในเมืองฉีซาน ที่กล้าลงมือกับเขา!

แม้แต่บิดาของเขาเอง ก็ยังมิเคยตบตีเขาเลยสักครั้ง! แต่หลัวเฉิงผู้นี้เป็นเพียงขยะของเมืองฉีซาน กลับกล้ากระทำการล่วงเกินต่อเขา ด้วยเรื่องเช่นนี้ เขาจะทนนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร

อีกสี่คนที่เหลือ พลันกระโจนเข้าหาปิดล้อมหลัวเฉิงจากทั้งสี่ทิศพร้อมกันในทันที

“คุณชายผู้นี้ช่างโชคร้ายนัก ต่อให้เขาไม่ตาย ก็คงถูกถลกหนังจนหมดร่างเป็นแน่” ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่ง กล่าวพึมพำกับตนเอง

ที่เขากล่าวเช่นนั้นเนื่องจากว่า ทั้งสี่คนได้ปลุกวิญญาณยุทธ์มานานแล้ว และผู้ที่แข็งแกร่งสุดก็อยู่ในขั้นหลอมกายาระดับหก ไม่มีทางที่หลัวเฉิงจะหนีรอดกลับไปได้อย่างแน่นอน

ในตาของหลัวอวิ๋นเบิกกว้าง ยืนร่างแข็งทื่ออยู่ที่นั่นด้วยความตกตะลึง

เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่า หลัวเฉิงจะกล้าตบปีศาจน้อยของตระกูลฉีต่อหน้าธารกำนัล!

“อย่าได้กังวลไป พวกเจ้าทุกคนต่างก็มีส่วนรู้เห็นกันทั้งนั้น รีบเข้ามาพร้อมกัน ข้าจะได้จัดการในครั้งเดียว” หลัวเฉิงเหลือบมองพวกเขาทั้งสี่คนพลางกล่าวน้ำเสียงเย็นชา

ด้วยวาจาท้าทายเช่นนี้ ทำให้พวกเขาทั้งสี่เดือดดาลจนถึงขีดสุด

“ข้าอยากจะเห็นนักว่า กระดูกของเจ้าจะแข็งเหมือนปากหรือไม่!” หนึ่งในนั้นคำรามด้วยความโกรธ ก่อนพุ่งหมัดชกเข้าหาหลัวเฉิงทันทีที่สิ้นเสียง

ขณะที่หมัดของชายผู้นั้นใกล้บรรลุถึงตัวเขา หลัวเฉิงก็สะบัดหลังมือฟาดใบหน้าของชายผู้นั้น ส่งร่างลอยลิ่วไปทางด้านหลัง ก่อนกระแทกเข้าที่โต๊ะจนแตกกระจาย

“นี่มัน!” ทั้งสามคนอุทานด้วยความตกใจเกือบจะพร้อมกัน

ไม่เพียงแต่สามคนนี้เท่านั้น แต่ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ไฉนผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นหลอมกายาระดับห้า กลับถูกกระแทกลอยออกไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้!

“บุกเข้าไปพร้อมกัน!” สิ้นวาจาทั้งสามคนก็โผเข้าหาหลัวเฉิงพร้อมกันในทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด