ตอนที่แล้วบทที่ 11 ผู้คุมวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 ไฟแห่งวิญญาณ

บทที่ 12 วิหารอมตะ


วันรุ่งขึ้น อังเกอร์เรียกชื่อเทพเนเกริส มังกรทองสำริดได้ฉายแสงความคิดเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา

อังเกอร์เล่าถึงการเชื่อมโยงอันมหัศจรรย์ระหว่างเขากับซอมบี้น้อยให้ฟังอีกครั้ง และถามถึงสาเหตุ

เนเกริสตะโกนขึ้นในทันทีที่ได้ยิน "เป็นไปไม่ได้ นั่นคือการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณ แต่วิธีที่เจ้าได้รับมันคือการที่มันอุทิศชีวิตให้เจ้างั้นหรือ? พ่อมดน้อยตัวใหม่ตัวหนึ่ง มันอุทิศจิตวิญญาณให้เจ้า? เจ้ากำลังล้อเล่นอะไรอยู่? เจ้าไม่ใช่ราชาสักหน่อย"

อังเกอร์เอียงศีรษะไปมา ราวกับว่าเข้าใจแล้ว แต่ก็เหมือนยังไม่เข้าใจ จากนั้นเขาก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

"เฮ้ เฮ้ เฮ้ พูดสิ ไม่ตอบคำถามหมายความว่ายังไง?" เนเกริสโมโห

อังเกอร์เอียงคอ พูดอย่างงุนงง "หนึ่งคำถาม พรุ่งนี้"

เนเกริสแทบจะพ่นเลือดออกมา "ไม่ ไม่ ไม่ นี่ไม่ใช่คำถาม ข้ากำลังถามเจ้าว่า มันอุทิศเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณให้เจ้า? ด้วยความสมัครใจ?" เนเกริสถามอย่างกระวนกระวาย

อังเกอร์พยักหน้า

"แต่ว่า...แต่ว่า..." เนเกริสไม่รู้จะพูดอะไรดี "แต่เจ้าไม่ใช่ราชานี่นา"

อังเกอร์มองเขาอย่างงุนงง

เนเกริสลังเลใจอยู่นาน และตัดสินใจว่าควรจะอธิบายให้ชัดเจนจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นพูดครึ่งๆกลางๆจะทำให้เขาหายใจไม่ออก

"เจ้ากับซอมบี้น้อย... คือ พ่อมดน้อยซีดอร์ ชุค? ความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณระหว่างซีดอร์กับเจ้า มันเรียกว่าความผูกพันทางจิตวิญญาณ ระหว่างสิ่งมีชีวิตอมตะสองตน เจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชามีความผูกพันทางจิตวิญญาณ มันไม่สามารถทรยศเจ้าได้ เจ้าสามารถควบคุมทุกอย่างของมัน รวมถึงจิตวิญญาณและความคิด และแม้กระทั่งทำลายล้างมัน"

"มีสองกรณีของการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณ กรณีหนึ่งคือจิตวิญญาณของมันถูกประทานโดยเจ้า หรือว่าจิตวิญญาณของมันเป็นสิ่งที่เจ้าประทานให้ใช่ไหม?" เนเกริสถาม

อังเกอร์ส่ายศีรษะ แต่กลับถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้อง "ทำไมถึงเรียกว่าซีดอร์ ชุค?"

เนเกริสตอบอย่างร้อนใจ "เจ้าไม่เห็นหรือไง? มันเขียนอยู่ในชายเสื้อนั่นไง"

"อีกกรณีหนึ่งคือ มันอุทิศคำสาบานทางจิตวิญญาณให้กับเจ้า มันได้อุทิศคำสาบานทางจิตวิญญาณให้เจ้าหรือไม่? หรือพูดอีกอย่างคือ พวกเจ้ารู้ไหมว่าคำสาบานคืออะไร?" เนเกริสหัวเราะเยาะ ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกอังเกอร์และซอมบี้น้อย แต่ดูจากท่าทางเซื่องซึมของอังเกอร์แล้ว จะรู้อะไรได้บ้าง? มีแต่จะทำให้คนหงุดหงิด

อังเกอร์ส่ายศีรษะ

เนเกริสส่ายศีรษะและถอนใจ "ไม่ใช่ทั้งสองกรณี ถ้างั้นก็เหลือแค่ความเป็นไปได้ที่สามเท่านั้น นั่นคือเครือข่ายจิตวิญญาณ แต่เจ้าไม่ใช่ราชานี่"

เนเกริสที่คิดไม่ตกพูดว่า "เจ้าควรลองหาดูว่ามีวิหารอมตะของผู้ศรัทธาที่ยังหลงเหลืออยู่หรือไม่ ถ้าจิตวิญญาณของเจ้าสามารถเชื่อมต่อกับมันได้ นั่นก็คือเครือข่ายจิตวิญญาณที่แท้จริง"

หลังจากเนเกริสจากไป อังเกอร์ก็ดึงซอมบี้น้อยเข้ามา ถอดเสื้อผ้าของมันออกเพื่อดู และก็เห็นตัวอักษรสองสามตัวบนชายเสื้อจริงๆ - ซีดอร์ ชุค

ในตอนแรกเมื่อมนุษย์คนนั้นอดตาย เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็เรียบร้อยดี แต่เมื่อกลายเป็นซอมบี้น้อยและวิ่งไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง ส่วนที่ถูกเสียดสีง่ายก็ฉีกขาดไปจนหมด เหลือเพียงเศษที่ขาดวิ่นติดตัวอยู่เท่านั้น

ชื่อที่เขียนอยู่บนเสื้อผ้าน่าจะเป็นชื่อเดิมของร่างที่กลายเป็นซอมบี้น้อยในตอนนี้

แม้ว่าทั้งสองจะไม่ใช่จิตวิญญาณเดียวกัน ซอมบี้น้อยก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตอมตะที่ถูกปลุกขึ้นมาจากซากศพนี้ แต่มันก็ไม่สำคัญ เป็นแค่ชื่อเท่านั้น อย่างน้อยก็ดีซอมบี้น้อย จะได้ไม่สับสนง่ายๆ

ซอมบี้น้อยเห็นอังเกอร์กำลังถอดเสื้อผ้าของมัน คิดว่าอังเกอร์ต้องการเสื้อผ้า จึงรีบถอดออกมาส่งให้อังเกอร์ จนกระทั่งอังเกอร์บอกว่าไม่ต้องการ มันถึงได้ใส่กลับคืน แต่การถอดใส่แบบนี้ทำให้เสื้อผ้ายิ่งขาดวิ่นไปกันใหญ่

ด้วยเหตุนี้อังเกอร์จึงครอบครองพื้นที่แถบนี้ บุกเบิกทำนา และขนหินมาวางเรียงเป็นแถว แล้วปูมอสส์เรืองแสงลงไปข้างบน

มอสส์เรืองแสงเป็นมอสส์ที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง เมื่อไม่มีใครดูแล มันก็สามารถเติบโตเต็มทุกซอกมุมที่ชื้นแฉะได้ ตอนนี้มีคนจัดสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตโดยเฉพาะ มันจึงเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ไม่เพียงแต่ในร่องน้ำของนาที่อังเกอร์บุกเบิกเท่านั้นที่เต็มไปด้วยมอสส์ แม้แต่ผนังหินรอบข้างก็ปกคลุมไปด้วยมอสส์ ทันทีที่เข้ามาในพื้นที่นี้ สิ่งที่มองเห็นคือแสงเรืองรองเต็มไปหมด สว่างราวกับเวลากลางวัน

หลังจากมีแสงสว่างเพียงพอ อังเกอร์ก็หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปบนแปลงที่ก่อขึ้นระหว่างแถวมอสส์เรืองแสงสองแถว

อังเกอร์อาจไม่เข้าใจเรื่องอื่น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการเพาะปลูก เขามีประสบการณ์มากมาย ประสบการณ์ในการเพาะปลูกกว่าพันปี ทำให้เขาสามารถเข้าใจคุณสมบัติของพืชได้อย่างรวดเร็วที่สุด

มอสส์ต้องการความชื้น แต่ก็ไม่ควรมีน้ำขัง ดังนั้นเขาจึงปูหินย่อยไว้ที่ก้นร่อง พืชไม่ควรชื้นเกินไป จึงต้องปลูกบนแปลง ปลูกสลับกันเป็นแถวๆ ก็เพื่อให้พืชทุกแถวได้รับแสงส่องถึง

ใช่แล้ว อังเกอร์วางแผนจะใช้แสงที่มอสส์เรืองแสงปล่อยออกมาในการให้แสงสว่างแก่พืชผล ส่วนจะได้ผลหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่รู้

ในระหว่างนั้น ฟิลินก็กลับมาอีกครั้ง หยิบเอาเกล็ดวิญญาณสิบเกล็ด เพื่อหวังมาแลกอาหารสักสี่สิบห้าถุง และเขาก็พบเข้ากับทุ่งมอสส์เรืองแสงที่อังเกอร์ทำขึ้น เขาให้ความสนใจมันในทันที

ในความคิดของฟิลิน อังเกอร์เป็นผู้พิทักษ์ เขาจะไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ มอสส์เรืองแสงยังสามารถใช้แบบนี้ได้อีกหรือ?

ปัญหาใหญ่ที่สุดของเมืองใต้ดินคือพื้นที่เพาะปลูกที่ลดน้อยลงทุกวัน จำเป็นต้องมีแสงสว่างเพียงพอ และต้องไม่ถูกลมแห่งชีวิตพัดถึง การตอบสนองเงื่อนไขทั้งสองนี้นับว่ายากมากแล้ว ในทางกลับกัน ดินอุดมสมบูรณ์หาได้ง่าย เพียงแค่ใช้ความพยายามขุดหน่อยก็พอ

หากมอสส์เรืองแสงสามารถใช้งานได้เช่นนี้ เงื่อนไข 'แสงสว่างเพียงพอ' ก็สามารถตัดออกไปได้ ในเมืองใต้ดินมีสถานที่สำหรับปลูกพืชมากมาย

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เมล็ดพันธุ์ที่หว่านไปทั้งหมดก็งอกขึ้นมา

...

ในซอกมืดแห่งหนึ่งของเมืองใต้ดิน หมอผีที่นอนอยู่บนพื้นแข็งกระด้างกลายเป็นศพมีจุดเขียวซ้ำเป็นจุดๆ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่สภาวะปกติ เมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ศพปกติน่าจะเน่าเปื่อยและเต็มไปด้วยหนอนไปแล้ว

แต่ตอนมีชีวิต เขาเป็นหมอผีปีศาจ วิธีการถนอมศพมีมากมาย เพียงแค่การแผ่ซ่านของลมหายใจแห่งความตาย ก็เพียงพอที่จะชะลอการเน่าเปื่อยของศพได้

เปลวไฟสีแดงปะทุขึ้นบนศีรษะของศพอย่างไร้ร่องรอย ศพลุกนั่งพรวดขึ้นมาทันที ลืมตาโพลง เผยให้เห็นดวงตาสีดำคู่หนึ่งที่ไร้ตาขาว

บนหน้าผาก เขางอโค้งราวกับมีเขาปีศาจงอกขึ้นมา มีเสียงต่ำดังก้อง "ไอ้ขยะไร้ประโยชน์ แค่ช่วยเก็บศพยังถูกจับได้ ท้ายที่สุดข้าผู้สูงส่ง ดีมาส จำเป็นต้องมาทำเอง"

หลังจากกระซิบด้วยเสียงปีศาจ เขาของศพก็หดตัวลง ม่านตากลับเป็นปกติ แบ่งแยกขาวดำชัดเจน แม้ผิวที่มีสีคล้ำเป็นจุดๆบนร่างกายก็หายไปจนหมดสิ้น ผิวหนังกลับมามีสีเลือดและความยืดหยุ่นของคนเป็นอีกครั้ง

หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ปีศาจดีมาสมองดูร่างกายที่ตัวเองอาศัยจากบนลงล่าง พยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วเปิดประตูแอบออกไป

หลังจากเดินไปตามทางเดินคดเคี้ยวและบันไดลาดเอียงระยะหนึ่ง ดีมาสก็โผล่ออกมาจากโลงศพหนาๆ ที่นี่มีโลงหินแบบเดียวกันนี้นับร้อย

...

ฟิลินผู้คอยจับตาดูอังเกอร์ตลอดเวลา ย่อมรู้เรื่องที่เมล็ดพันธุ์งอก เขาที่มีรายรับไม่พอรายจ่ายอยู่แล้ว ยังรวบรวมเกล็ดวิญญาณมาอีกสิบก้อน อ้างว่าจะมาแลกอาหาร เพื่อมาดูให้เห็นกับตาของตัวเอง

หลังจากดูแล้ว ฟิลินก็ตื่นเต้นมาก ที่แท้มอสส์เรืองแสงสามารถให้แสงแก่พืชผลได้จริงๆ นี่มันดีกว่าตอนนี้ที่พวกเขาต้องพึ่งแรงงานคนให้พลังเวทแก่ตะเกียงวิเศษ แล้วใช้ตะเกียงวิเศษส่องสว่างมากโข

ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด แค่ใช้นิดหน่อยเท่านั้น พวกเขาก็ประหยัดแรงงานคนได้มาก

"ท่านเจ้าข้า วิธีนี้พวกเราใช้ได้หรือไม่?" ฟิลินถามอย่างคาดหวัง

อังเกอร์ไม่เข้าใจความหมายของเขา เอียงศีรษะมองเขาอยู่

ท่าทางนี้ทำเอาฟิลินตกใจอีกแล้ว เขารีบควักเกล็ดวิญญาณออกมาอีกหนึ่งเกล็ดอย่างเจ็บปวด "ขอท่านอนุญาตให้พวกข้าใช้วิธีที่ท่านคิดค้นขึ้นด้วยเถอะ พวกข้าจะจ่ายค่าธรรมเนียมการใช้งานให้ท่านในราคาหนึ่งเกล็ดวิญญาณต่อหนึ่งเดือน"

คราวนี้อังเกอร์เข้าใจแล้ว ที่แท้การใช้วิธีการที่คนอื่นคิดค้นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการใช้งานด้วย อังเกอร์รับเกล็ดวิญญาณมา แล้วพยักหน้า

หนึ่งเกล็ดวิญญาณไม่น้อยเลย ในแต่ละครั้งของการค้า อังเกอร์จะดูดซับพลังงานจากครึ่งเกล็ดวิญญาณเข้าไปในจิตวิญญาณของตัวเองตามนิสัยครั้งแรก ครั้งแรกเป็นไปแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่สองครั้งหลังกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว หนึ่งเกล็ดวิญญาณเทียบเท่ากับปริมาณของการค้าได้ถึงสองครั้งเลยทีเดียว

อังเกอร์ร้องถามฟิลินว่ามีวิหารอมตะอยู่ที่นี่หรือไม่ หลังนึกถึงข้อเสนอที่มังกรทองสำริดเคยพูดไว้ ฟิลินที่เพิ่งรู้สึกโล่งใจจากเรื่องก่อนหน้า พอได้ยินคำถามนี้ก็ตกใจราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด