ตอนที่ 320
ตอนที่ 320
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ นอกเหนือจากผู้อาวุโสเจ็ด เทียนเจิ้นแล้ว ยังมีลู่อังศิษย์สายตรงของเขาด้วย
ในบรรดาบุตรหมื่นอาคมที่เป็นศิษย์ทั้งห้าของเขา ลู่อังเชี่ยวชาญอาคมสังหาร แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่ากับจื่อหมิ่งที่เชี่ยวชาญอาคมกับดัก
แต่เขาเองก็ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษเช่นกัน
ตอนที่เขาไปนิกายวสันศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ ลู่อังก็ไปด้วยเช่นกัน และพวกเขาก็มีความสัมพันธุ์อันดีต่อกัน
“กลายเป็นว่าคือผู้อาวุโสเจ็ดเทียนเจิ้นนี่เอง” ซูจื่อหลงกล่าวอย่างเย็นชา
“เหตุใดนิกายโลหิตศักดิ์สิทธิ์จึงต้องการสั่งสอนบทเรียนให้กับบุตรแห่งสวรรค์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์” ผู้อาวุโส เทียนเจิ้น กล่าวอย่างใจเย็น
“เขาฆ่าคนของนิกายที่เกี่ยวข้องกับนิกายโลหิตศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นจะให้เราทำเช่นไรเล่า ?” ซูจื่อหลง หายใจเข้าลึกและถาม
เขาไม่ได้บอกว่าจั่วอี้หางนั้นเป็นลูกนอกสมรสของเขา
เขาละอายใจเกินกว่าจะพูดออกมาได้
“เพียงฆ่าไม่กี่คนเท่านั้นเองไม่ใช่รึ จริงๆแล้วหากมีใครกล้าทำให้บุตรแห่งสวรรค์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ขุ่นเคืองล่ะก็ นิกายแห่งนั้นคงถูกลบหายไปแล้ว นี่ก็ถือว่าเมตตาแล้ว”
ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นตอบอย่างเยือกเย็น
ในเวลาเดียวกีน แรงกดดันอันยิ่งใหญ่ระดับ 7 ก็แผ่ซ่านออกมา
“ผู้อาวุโสเทียนเจิ้น นี่เจ้าคิดจะปกป้องศิษย์ในนิกายของเจ้าสินะ ?”
“อย่าว่าแต่ปกป้องเลย ต้องถามว่านิกายหยุนหวงกล้าดียังไงมาล่วงเกินบุตรแห่งสวรรค์ของเราดีกว่า ?” ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูด
“อย่าบอกนะว่าพวกเขาทำภายใต้คำสั่งของเจ้าที่เป็นเจ้านายของพวกเขาหรอกรึ ?”
“เพ้อเจ้อ” ซูจื่อหลง ตะคอกและพูดด้วยความโกรธ
“ผู้อาวุโสเทียนเจิ้น โปรดระมัดระวังคำพูดด้วย อย่ากล่าวสิ่งใดโดยไม่มีหลักฐาน”
“ท่านหัวหน้านิกาย เขาฆ่าอี้หางก่อน ดังนั้นเราเลยจะจับเขา” หญิงในชุดคลุมสีเขียวอธิบายจากด้านข้าง
“ปั้นน้ำเป็นตัว” เทียนเจิ้นตะคอกอย่างเย็นชา
มือใหญ่ก็กำหราบลงมาโดยตรง และพลังระดับ 7 ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อมือใหญ่ฟาดลงมา หญิงในชุดคลุมสีเขียวก็กรีดร้อง
“ท่านผู้นำนิกาย ช่วยข้าด้วย”
เสียงระเบิดดังขึ้นไปทั่วบริเวณ
แล้วผู้อาวุโสเทียนเจิ้นก็ค่อยๆถอนมือกลับมาขณะที่หญิงในชุดคลุมสีเขียวกลายเป็นขี้เถ้า
“เทียนเจิ้น นี่เจ้าถึงขนาดกล้ารังแกผู้อื่นเลยรึ” ซูจื่อหลงคำรามด้วยสีหน้าอับอาย
“เรื่องนี้สมควรจบได้แล้ว” ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นพูดอย่างเรียบเฉย
“เรื่องในสันเขาไร้เสียงนั้นสำคัญยิ่งกว่า และไม่ควรมีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้น
ข้าจะไม่ทำลายนิกายหยุนหวง และปล่อยให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้
หวังหว่าเจ้าที่เป็นผู้นำนิกายโลหิตศักดิ์สิทธิ์จะไม่คิดก่อสงครามกับพวกเราหรอกนะ ? "
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเทียนเจิ้น ซูจื่อหลง ก็หายใจเข้าลึก และพูดอย่างขมขื่น: "ข้าจะจำสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไว้"
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและจากไป
ส่วนเรื่องสงครามระหว่างนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์นั้น เขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
นิกายโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาในตอนนี้ไม่มีความแข็งแกร่งมากพอ
แต่ถ้าหากมีใครสักคนในนิกายของเขาสามารถขึ้นแบกรับโชคชะตาของยุคนี้ได้ล่ะก็ เขาจะต้องชำระแค้นกับนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
-
ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นหันศีรษะ และมองไปที่เต๋าซุนแล้วพูดว่า "หลานข้า เจ้านี่อยู่ทุกที่ที่มีเรื่องเลยนะ!"
“ผู้อาวุโสเจ็ดพูดล้อเล่นแล้ว เรื่องนี้ข้าเป็นผู้ถูกกระทำนะ ” เต๋าซุนส่ายหัวแล้วพูด
“สันเขาไรเสียงใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าอยากจะเข้าไปดูกับเราหรือไม่?” ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นก็ถาม
“ย่อมไปแน่นอน บางทีข้าอาจได้รับโอกาสบางอย่างก็เป็นได้” เต๋าซุน กล่าวด้วยรอยยิ้ม
แล้วเต๋าซุนกับลู่อังก็ทักทายกัน
ทุกคนกลับมายังจุดรวมพลของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
และเฝ้ารอการมาถึงของสันเขาไร้เสียงอย่างเงียบ ๆ
ในช่วงเวลานี้ ลู่อังก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น: "ท่านอาจารย์ สันเขาไร้เสียงแห่งนี้คือสถานที่ที่บรรพบุรุษสามดาบของเราขึ้นแบกรับโชคชะตาใช่หรือไม่
ฉะนั้นแล้วท่านบรรพบุรุษก็สมควรทิ้งบางอย่างไว้บอกใบ้พวกเรามิใช่หรือ ? ”
“ท่านจะทิ้งอะไรไว้ให้เล่า” ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นถามอย่างใจเย็น
“ก็เช่นเบาะแสหรือแผนที่” ลู่อังหัวเราะเบา ๆ
“ถ้าเรามีมันจริงๆ บางทีมันอาจช่วยให้เราได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ก่อนคนอื่นก็ได้”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ผู้เฒ่าเทียนเจิ้นก็มองไปที่นิกายโดยรอบ
จากนั้นเขาก็กระซิบ: "จุดประสงค์ของเรานั้นแตกต่างจากพวกเขา
บางคนมองหาโอกาสและหวังว่าจะโชคดี
ส่วนบางคนนั้นก็ต้องการสำรวจสถานที่โบราณเพื่อตามหาสมบัติที่ถูกทิ้งไว้ ”
“แล้วพวกเราล่ะ?” ลู่อังถามด้วยความสงสัย
“ท่านบรรพบุรุษได้ปิดผนึกบางสิ่งไว้ข้างในนั้น” ผู้อาวุโส เทียนเจิ้น ตอบอย่างใจเย็น
“ประการแรก เราจำเป็นต้องเข้าไปตรวจสอบผนึกนี้
ประการที่สอง เราต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผนึกนี้โดยเร็วที่สุด
ส่วนศิษย์สายในคนอื่นๆที่มาด้วยนั้นพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่นี้ และก็มาเพื่อหาแสวงหาโอกาสที่อยู่ด้านใน ”
“เป็นเช่นนี้เอง” ลู่อังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ท่านอาจารย์ หลังจากเราไปสำรวจผนึกกันเสร็จแล้ว ข้ากับบุตรแห่งสวรรค์สามารถออกไปตามหาสมบัติได้หรือไม่ "
“เดี๋ยวก่อนพี่ลู่ ข้านั้นคุ้นเคยกับการอยู่คนเดียวมากกว่า” เต๋าซุน กล่าวพร้อมส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านก็อยู่กับผู้อาวุโสเจ็ดเถอะ
ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม ท่านอย่าคิดว่ามันง่ายเชียว”
“แล้วข้าเล่าต้องทำอะไร?” ฟานอี้ที่อยู่ข้างๆก็ถาม
“อยู่ข้างนอกนี่แหละ แต่ถ้าเจ้าอยากตายก็ตามข้าเข้าไปได้” เต๋าซุนตอบ
-
ทุกคนคุยกันสักพัก ระหว่างนั้นเต๋าซุนก็ได้พบกับคนรู้จักเก่าๆบ้าง
ตัวอย่างเช่นชีเชียนซู ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลชี และโม่ชางไห่ หัวหน้าตระกูลโม่
ท้ายที่สุดแล้ว ยังไงเขาก็เคยใช้งานอาคมเคลื่อนย้ายของอีกฝ่ายมาก่อน
นิกายระดับจักรพรรดิเหล่านี้ส่วนใหญ่พาศิษย์ของตนมาด้วย
สามวันต่อมา ในตอนรุ่งเช้า
แสงยามเช้าส่องสว่างทางทิศตะวันออก และแสงแดดอันสดใสก็สาดไปทั่วท้องฟ้าและผืนดิน
ทุกคนที่ทำสมาธิในหุบเขาก็ถูกดึงดูดด้วยเสียง "ครืนนน"
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง
พวกเขาจ้องไปยังตำแหน่งบนท้องฟ้า และพื้นที่ที่มีความผันผวนของมิติเป็นอย่างยิ่งก็ปรากฏ
เมฆบนท้องฟ้าไหลเชี่ยว
ดวงอาทิตย์ด้านบนถูกบดบัง
เสียงที่ดังก้องเหมือนฟ้าจะถล่มยังคงดังต่อไปเป็นเวลานาน
ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้ยินเพียงเสียงระเบิดที่ทำให้แผ่นสั่นไหว
พื้นที่ทั้งหมดในรัศมีร้อยไมล์ระเบิดออก และแผ่นดินสีดำก็ปรากฏลอยอยู่เหนือท้องฟ้า
ตัวตนที่แท้จริงของทวีปสีดำนี้คือภูเขา
มันปิดกั้นรังสีจากดวงอาทิตย์ทั้งหมด
ภูเขานี้กว้างใหญ่หลายร้อยไมล์
และสิ่งที่พวกเขาเห็นตอนนี้ก็เป็นเพียงบริเวณรอบนอกเท่านั้น พื้นที่ส่วนใหญ่นั้นยังคงถูกซ่อนอยู่ในพื้นที่ด้านใน
อากาศแห่งความอ้างว้างไม่มีที่สิ้นสุดปกคลุมไปทั่วบริเวณภูเขา
“มาแล้ว” ใครบางคนก็พูดอย่างตื่นเต้นและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
-
เมื่อสันเขาไร้เสียงสงบลง หมอกอากาศโดยรอบก็เริ่มสลายไปอย่างช้าๆ
ทุกคนกระโดดขึ้นไปในอากาศและบินไปยังสันเขาไร้เสียง
สันเขาไร้เสียงนั้นถูกล้อมรอบด้วยม่านพลังโปร่งใส
ม่านพลังโปร่งใสนี้มีความยืดหยุ่นสูง และไม่สามารถทำลายได้ แม้แต่ยอดฝีมือที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางอมตะเองก็ไม่สามารถทำได้
แต่ตรงจุดหนึ่งของม่านแสงโปร่งนี้กับมีทางเข้าที่คล้ายกับอาคมเคลื่อนย้ายอยู่
กองกำลังอื่นๆก็ตามมาอยู่ด้านหลัง
พวกเขาปล่อยให้นิกายเมฆาศักดิ์ที่มีจักรพรรดิเยอะที่สุดเขาไปทดสอบดูก่อน
จากนั้นกองกำลังอื่นๆ ก็ค่อยๆแย่งชิงกันเข้าไป
เต๋าซุนไม่ได้เดินทางเข้าไปพร้อมกับนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
หลังจากที่เขาก้าวเข้าไปในสันเขาไร้เสียง เขาก็รู้สึกว่าโลกตรงหน้าเขาเริ่มหมุน
เขาถูกส่งจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
สถานการณ์นี้ดำรงอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ
เพียงไม่กี่นาทีต่อมา ร่างกายของเขาก็เริ่มฟื้นตัวและการมองเห็นของเขาก็สดใสขึ้น
-
สันเขาไร้เสียงนี้กว้างใหญ่ไพศาลเป็นอย่างมาก
แม้ว่าตอนนี้จะมีคนเข้ามามากมาย แต่พวกเขาก็เป็นเหมือนกับเศษฝุ่นที่อยู่ในมหาสมุทรเท่านั้น
เต๋าซุนสังเกตฉากโดยรอบ
เขาอยู่ในป่า
ดวงอาทิตย์ไม่สามารถส่องผ่านกะบังลมต้นไม้ด้านบนลงมาได้ และสภาพอากาศที่นี่ก็มืดมนอยู่เสมอ
มีต้นไม้เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่เติบโตในป่าแห่งนี้
“ต้นไม้ผี!”