ตอนที่ 12 โอรสบุญธรรมของไท่โฮ่ว
ตอนที่ 12 โอรสบุญธรรมของไท่โฮ่ว
“การฝึกตนของซื่อหลินมีปัญหา จากนั้นเขายังโดนฝ่ามือของหลี่เต๋อเฉวียนซ้ำ ทำให้พลังวิญญาณในร่างกายของเขาผันผวนและเสียชีวิตกะทันหัน”
“วิญญาณของซื่อหลินแตกกระจายโดยสมบูรณ์ ไม่สามารถอัญเชิญวิญญาณมาสอบถามได้อีก”
“มันเป็นความผิดของตระกูลเสิ่นโดยเจตนาหรือโดยบังเอิญกันแน่?” จี้อู๋ฉางวางมือของเขาที่มุมโต๊ะพลางเอ่ยด้วยความลังเล
เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็เป็นเรื่องบังเอิญ
เหตุใดจี้ซื่อหลินซึ่งกำลังมีปัญหากับการฝึกตนจึงวิ่งไปที่หอเซียวเซียงเพื่อดื่มสุราเคล้านารีในวันนั้น มิหนำซ้ำเขายังเมามายจนวิ่งไปหาเรื่องหลี่เต๋อเฉวียนจนถูกทำร้ายเสียชีวิต
ปัง!
“ตระกูลเสิ่นรังแกกันเกินไปแล้ว!” ผู้อาวุโสที่มีหนวดเครารุงรังและมีรูปลักษณ์ที่ทรงพลังคนหนึ่งยกมือตบโต๊ะด้วยความโกรธ
“พี่รองโปรดใจเย็นก่อนเถอะ นี่อาจไม่ใช่ฝีมือของตระกูลเสิ่นก็ได้” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งที่ดูอ่อนโยนและสง่างามรีบพูดเกลี้ยกล่อมทันที
“ยังไม่ใช่อีกหรือ ตระกูลเสิ่นเป็นศัตรูของตระกูลจี้มาโดยตลอด ไม่มีสิ่งใดที่ตระกูลเสิ่นไม่กล้าทำหรอก”
“เหล่าชี เจ้ากลัวหรือ?” ผู้อาวุโสที่โกรธเกรี้ยวอยู่นั้นเอ่ยถามและยังตะโกนก้องว่า “หลี่เต๋อเฉวียนคนนี้ไม่ได้ฆ่าทายาทตระกูลจี้ของข้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการตบหน้าตระกูลจี้! เขาและตระกูลเสิ่นจะต้องชดใช้!”
ผู้อาวุโสที่ดูอ่อนโยนทำได้เพียงส่ายหัวและยิ้มด้วยขมขื่น “ไม่ใช่ว่าข้ากลัว แต่ข้าต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น”
“พอได้แล้ว!” สุดท้ายจี้อู๋ฉางหยุดการทะเลาะในหมู่ผู้อาวุโสทั้งหลาย เขากวาดสายตามองทุกคนและด้วยพลังเวทที่ฝ่ามือของเขาจึงทำให้มุมโต๊ะถูกบดขยี้ “ไม่ว่าหลินเอ๋อร์จะทำตัวเหลวไหลแค่ไหนก็ตาม เขายังเป็นทายาทตระกูลจี้ของข้า แม้จะเป็นตระกูลเสิ่น ถึงอย่างไรก็ต้องให้คำอธิบายแก่เรา มิฉะนั้น...”
นัยน์ตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความเย็นชา แม้พวกเขารู้ว่าอาจมีคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่ตระกูลจี้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง
สำหรับตระกูลใหญ่ สิ่งที่พวกเขาสนใจคือศักดิ์ศรี
หากทายาทสายตรงของตนถูกทำร้ายจนตายแล้วยังสามารถนิ่งเฉยได้ ถ้าเช่นนั้นตระกูลจี้ก็ไม่เอาไหนและทำให้ทุกคนกล้าเหยียบย่ำโดยไม่ไว้หน้า
เลือดต้องล้างด้วยเลือด เพื่อทำให้พวกกระจอกและคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้ตื่นตระหนก
“ถูกต้อง”
……
ในฐานะตระกูลขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งครอบครัวตั้งอยู่ในเมืองหลวง พวกเขาอยู่แทบพระบาทของจักรพรรดินี โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาไม่สามารถก่อความวุ่นวายเหมือนยุคบ้านป่าเมืองเถื่อนได้
เจ้าตีข้า ข้าตีเจ้า
ทำเช่นนั้นไม่ได้
เรื่องแบบนี้ต้องแอบทำเท่านั้น
ทั้งสองตระกูลจึงเริ่มโจมตีกันในราชสำนัก
วันนี้เจ้ายื่นฎีกาฟ้องข้า พรุ่งนี้ข้าก็ยื่นฎีกาฟ้องเจ้า
วันนี้ผู้ตรวจการเสิ่นถูกย้ายไปฮวงโจว พรุ่งนี้ผู้บังคับการจี้ถูกจับในข้อหาทุจริต
สรุปได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก
แม้เสิ่น-จี้ทั้งสองตระกูลไม่เคยญาติดีต่อกัน ทว่าไม่เคยมีการเผชิญหน้ากันดุเดือดถึงขั้นทำลายศัตรูได้หนึ่งพัน แต่ฝั่งตนสูญเสียไปแปดร้อยเช่นนี้มาก่อน
ครานี้แม้แต่ขุนนางหลายคนที่สังกัดทั้งสองตระกูลก็ถูกหางเลขไปด้วย
สำหรับพวกขุนนางคนอื่นๆ ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน จึงทำแค่เฝ้ามองความสนุกเงียบๆ เท่านั้น
แม้แต่จักรพรรดินียังเป็นเช่นนี้ ทำเพียงเฝ้ามองทั้งสองตระกูลต่อสู้กันด้วยความเพลิดเพลิน
ปล่อยให้ส่งเสียงรบกวนมากเท่าที่ต้องการ อยากจะสร้างปัญหาก็สร้างไป ขอแค่ตราบใดไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของราชสำนักก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
หากสองตระกูลกล้าล้ำเส้น ย่อมมีคนจัดการกับพวกเขาโดยธรรมชาติ
สำหรับหลี่เต๋อเฉวียนซึ่งอยู่ในคุกหลวงได้รับความเดือดร้อนจากอาชญากรรมตั้งแต่สมัยอดีตของตระกูลเสิ่น ในทุกวันจะมีคนจากทุกแผนกมาสอบปากคำและทรมานเขา
ทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่งตระกูลเสิ่นทนไม่ไหวอีกต่อไป
ไม่ใช่ว่าตระกูลเสิ่นด้อยกว่าตระกูลจี้ เพราะทั้งสองตระกูลมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความแข็งแกร่งและอิทธิพลโดยรวมในราชสำนัก
เมื่อไตร่ตรองให้ดีแล้ว ถึงอย่างไรหลี่เต๋อเฉวียนก็ไม่มีสายเลือดตระกูลเสิ่น
แต่เพราะหลี่เต๋อเฉวียนจึงทำให้สมาชิกหลายคนของตระกูลเสิ่นถูกลดตำแหน่งหรือถูกเนรเทศ
สิ่งนี้ทำให้เกิดการร้องเรียนภายในตระกูลเสิ่นมากมาย
การที่ตระกูลเสิ่นต้องตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ สาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะหลี่เต๋อเฉวียนทำร้ายบุตรชายของตระกูลจี้จนเสียชีวิต ดังนั้นคนตระกูลเสิ่นย่อมไม่มีความสุขเป็นธรรมดา
ในยามนี้หลี่จื่อซวงบุตรสาวของหลี่เต๋อเฉวียนกำลังวิ่งเต้นเพื่อช่วยเหลือบิดาสุดกำลัง
แต่บรรดาสหายของบิดาที่เคยกระตือรือร้นเหล่านั้นกลับหลีกเลี่ยงนางไปหมด คนที่มีมารยาทหน่อยแค่ปฏิเสธด้วยความสุภาพ ในขณะที่พวกคนไร้มารยาทจะปิดประตูใส่นางทันที ซึ่งทำให้หลี่จื่อซวงรู้สึกแย่มาก
คนยังไม่ทันจากไป ชาก็เย็นชืดแล้ว
หลี่จื่อซวงรู้สึกหงุดหงิดจึงเผลอคิดถึงซูอันโดยไม่มีเหตุผล
ในความทรงจำของนางคือเขาถือแส้ยาวราวกับราชาปีศาจ ช่างน่ากลัวจนทำให้คนตัวสั่น
ทว่า...
“ถ้าเป็นเขาก็น่าจะมีวิธี”
……
เวลานี้ซูอันเดินทางเข้าวังหลวงอีกครั้ง
ด้วยฐานะของหนึ่งในแปดองครักษ์วิหคดำ เขาไม่จำเป็นต้องรายงานให้ทราบก่อนเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดินี
และตอนนี้เขาเดินไปที่วังหลังโดยไม่ลังเล
แม้ว่าตามสามัญสำนึกแล้วบุรุษไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวังหลัง แต่ซูอันไม่มีสามัญสำนึก
อย่างไรก็ตาม วังหลังมีเพียงนางกำนัลเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เพราะอดีตจักรพรรดิให้ความสำคัญกับการฝึกตนจึงแทบไม่รับสนมเลย หลังจากสวรรคตแล้วเหล่าสนมเพียงไม่กี่พระองค์ได้ติดตามพระโอรสไปอาศัยอยู่นอกวัง ส่วนจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเป็นสตรี ดังนั้นวังหลังจึงใกล้เคียงคำว่าถูกทิ้งร้างโดยไม่มีการวางอุบายและความตื่นเต้นมากนัก
ปัจจุบันผู้สูงศักดิ์เพียงพระองค์เดียวที่ประทับอยู่ในวังหลังคือไท่โฮ่ว (ไทเฮา) พระราชมารดาของจักรพรรดินีซูรั่วซีและมีพระธิดาเพียงองค์เดียวเท่านั้น
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ซูรั่วซีสามารถครองบัลลังก์เหนือองค์ชายทั้งปวงได้
“ต้องไปเข้าเฝ้าไท่โฮ่วสักหน่อย ไม่ได้เจอพระนางนานมากแล้วคิดถึงจริงๆ”
เมื่อตัดสินใจแล้วซูอันจึงเดินไปที่พระตำหนักฉือหนิง
ในพระตำหนักฉือหนิงมีสตรีที่สง่างามและรูปโฉมไม่เป็นรองใครกำลังวาดภาพอยู่
เป็นการวาดภาพด้วยหมึก จังหวะที่พู่กันแตะหมึกพริ้วไหวลงไปนั้นราวกับว่ามันมีความหมายพิเศษแฝงอยู่
ไท่โฮ่วก็อยู่ในระดับหยางบริสุทธิ์ ดังนั้นภาพวาดฝีมือนางจึงมีความมหัศจรรย์อยู่ด้วย
คิ้วสว่างเย็นชื่นตา ผิวละเอียดดุจหยกอุ่น
นางเป็นมนุษย์ที่เหมือนอยู่ในภาพวาดเสียมากกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างอวบอ้วนนั้น คงไม่มีใครรู้ว่านี่คือสตรีที่ผ่านการให้กำเนิดบุตรมาแล้ว
มีนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่ารบกวนในขณะที่ข้ากำลังวาดภาพ?” เห็นได้ชัดว่าไท่โฮ่วไม่พอใจที่ถูกรบกวน
“ทูลไท่โฮ่วเหนียงเหนียง ท่านโหวซูมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“โอ้ อันเอ๋อร์มาแล้ว” ไท่โฮ่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นความไม่พอใจบนใบหน้าหายไปและโยนพู่กันทิ้งด้วย
เมื่อนางกำนัลพาซูอันเข้ามา ไท่โฮ่วก็ก้าวไปข้างหน้าและจับมือของเขาไว้ ก่อนจะพามานั่งข้างๆ ด้วยความเมตตา และนางกำนัลถอยออกไปอย่างรู้งาน
“ซูอันถวายพระพรไท่โฮ่ว” ซูอันทูลด้วยความเคารพ
“เจ้าเด็กคนนี้ บอกแล้วว่าอย่าสุภาพกับข้า” ไท่โฮ่วตำหนิด้วยความโกรธ แต่นัยน์ตามีความรักลึกซึ้ง “ให้เรียกข้าว่าอย่างไร เจ้าลืมแล้วหรือ?”
ซูอันรู้สึกอบอุ่นในใจเช่นกัน “หมู่โฮ่ว”
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือซูอันยังเป็นโอรสบุญธรรมของเยวี่ยหรูไท่โฮ่วอีกด้วย
ถ้าพูดให้ถูกต้อง ซูอันสามารถเรียกซูรั่วซีว่าพี่สาวได้
เพียงแต่เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับอดีตจักรพรรดิ เพราะเมื่อเขากลายเป็นโอรสบุญธรรมของกงเยวี่ยหรู ตอนนั้นอดีตจักรพรรดิได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
ซูรั่วซีค่อนข้างโตเกินวัยและรู้ความตั้งแต่เด็ก ทำให้ไท่โฮ่วแทบไม่ต้องกังวลสิ่งใดเลย
ซูอันร้องไห้เพราะมักถูกซูรั่วซีรังแกบ่อยครั้ง เขาจึงหันไปฟ้องผู้ปกครองในตอนนั้นซึ่งก็คือกงเยวี่ยหรูพระมารดาของซูรั่วซี
กงเยวี่ยหรูมีพระธิดาเพียงหนึ่งเดียวและซูรั่วซีทำตัวมีเหตุผลมากเกินไป จึงทำให้นางไม่เคยได้รับความสุขจากการเป็นแม่ทั่วๆ ไปเลย
ในเวลานั้นซูอันยังไม่ฟื้นความทรงจำ อีกทั้งบิดามารดาเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและเป็นช่วงที่ขาดความรักมากที่สุด
นอกจากนี้ซูอันวัยเยาว์ยังดูน่ารักมากๆ เขาเป็นเพียงเด็กน้อยขี้แยคนหนึ่ง
หลังจากนั้น ซูอันได้เข้ามาเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างในใจของกงเยวี่ยหรูซึ่งมักจะเรียกซูอันเข้าวังเพื่อให้การอบรมสั่งสอน อาจกล่าวได้ว่านางใกล้ชิดกับซูอันมากกว่าซูรั่วซีและปฏิบัติต่อซูอันเหมือนพระโอรสโดยสายเลือด
ซูอันก็ถือว่ากงเยวี่ยหรูคือผู้ปกครองของตน
นับจากนั้นมา เรื่องราวก็เป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้เอง