ตอนที่แล้วตอนที่ 11 ไม่เหมือนที่คุยกันไว้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 13 กระหม่อมถูกใส่ร้าย

ตอนที่ 12 โอรสบุญธรรมของไท่โฮ่ว


        ตอนที่ 12 โอรสบุญธรรมของไท่โฮ่ว

“การฝึกตนของซื่อหลินมีปัญหา จากนั้นเขายังโดนฝ่ามือของหลี่เต๋อเฉวียนซ้ำ ทำให้พลังวิญญาณในร่างกายของเขาผันผวนและเสียชีวิตกะทันหัน”

“วิญญาณของซื่อหลินแตกกระจายโดยสมบูรณ์ ไม่สามารถอัญเชิญวิญญาณมาสอบถามได้อีก”

“มันเป็นความผิดของตระกูลเสิ่นโดยเจตนาหรือโดยบังเอิญกันแน่?” จี้อู๋ฉางวางมือของเขาที่มุมโต๊ะพลางเอ่ยด้วยความลังเล

เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็เป็นเรื่องบังเอิญ

เหตุใดจี้ซื่อหลินซึ่งกำลังมีปัญหากับการฝึกตนจึงวิ่งไปที่หอเซียวเซียงเพื่อดื่มสุราเคล้านารีในวันนั้น มิหนำซ้ำเขายังเมามายจนวิ่งไปหาเรื่องหลี่เต๋อเฉวียนจนถูกทำร้ายเสียชีวิต

ปัง!

“ตระกูลเสิ่นรังแกกันเกินไปแล้ว!” ผู้อาวุโสที่มีหนวดเครารุงรังและมีรูปลักษณ์ที่ทรงพลังคนหนึ่งยกมือตบโต๊ะด้วยความโกรธ

“พี่รองโปรดใจเย็นก่อนเถอะ นี่อาจไม่ใช่ฝีมือของตระกูลเสิ่นก็ได้” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งที่ดูอ่อนโยนและสง่างามรีบพูดเกลี้ยกล่อมทันที

“ยังไม่ใช่อีกหรือ ตระกูลเสิ่นเป็นศัตรูของตระกูลจี้มาโดยตลอด ไม่มีสิ่งใดที่ตระกูลเสิ่นไม่กล้าทำหรอก”

“เหล่าชี เจ้ากลัวหรือ?” ผู้อาวุโสที่โกรธเกรี้ยวอยู่นั้นเอ่ยถามและยังตะโกนก้องว่า “หลี่เต๋อเฉวียนคนนี้ไม่ได้ฆ่าทายาทตระกูลจี้ของข้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการตบหน้าตระกูลจี้! เขาและตระกูลเสิ่นจะต้องชดใช้!”

ผู้อาวุโสที่ดูอ่อนโยนทำได้เพียงส่ายหัวและยิ้มด้วยขมขื่น “ไม่ใช่ว่าข้ากลัว แต่ข้าต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น”

“พอได้แล้ว!” สุดท้ายจี้อู๋ฉางหยุดการทะเลาะในหมู่ผู้อาวุโสทั้งหลาย เขากวาดสายตามองทุกคนและด้วยพลังเวทที่ฝ่ามือของเขาจึงทำให้มุมโต๊ะถูกบดขยี้ “ไม่ว่าหลินเอ๋อร์จะทำตัวเหลวไหลแค่ไหนก็ตาม เขายังเป็นทายาทตระกูลจี้ของข้า แม้จะเป็นตระกูลเสิ่น ถึงอย่างไรก็ต้องให้คำอธิบายแก่เรา มิฉะนั้น...”

นัยน์ตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความเย็นชา แม้พวกเขารู้ว่าอาจมีคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่ตระกูลจี้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง

สำหรับตระกูลใหญ่ สิ่งที่พวกเขาสนใจคือศักดิ์ศรี

หากทายาทสายตรงของตนถูกทำร้ายจนตายแล้วยังสามารถนิ่งเฉยได้ ถ้าเช่นนั้นตระกูลจี้ก็ไม่เอาไหนและทำให้ทุกคนกล้าเหยียบย่ำโดยไม่ไว้หน้า

เลือดต้องล้างด้วยเลือด เพื่อทำให้พวกกระจอกและคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้ตื่นตระหนก

“ถูกต้อง”

  ……

ในฐานะตระกูลขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งครอบครัวตั้งอยู่ในเมืองหลวง พวกเขาอยู่แทบพระบาทของจักรพรรดินี โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาไม่สามารถก่อความวุ่นวายเหมือนยุคบ้านป่าเมืองเถื่อนได้

เจ้าตีข้า ข้าตีเจ้า

ทำเช่นนั้นไม่ได้

เรื่องแบบนี้ต้องแอบทำเท่านั้น

ทั้งสองตระกูลจึงเริ่มโจมตีกันในราชสำนัก

วันนี้เจ้ายื่นฎีกาฟ้องข้า พรุ่งนี้ข้าก็ยื่นฎีกาฟ้องเจ้า

วันนี้ผู้ตรวจการเสิ่นถูกย้ายไปฮวงโจว พรุ่งนี้ผู้บังคับการจี้ถูกจับในข้อหาทุจริต

สรุปได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก

แม้เสิ่น-จี้ทั้งสองตระกูลไม่เคยญาติดีต่อกัน ทว่าไม่เคยมีการเผชิญหน้ากันดุเดือดถึงขั้นทำลายศัตรูได้หนึ่งพัน แต่ฝั่งตนสูญเสียไปแปดร้อยเช่นนี้มาก่อน

ครานี้แม้แต่ขุนนางหลายคนที่สังกัดทั้งสองตระกูลก็ถูกหางเลขไปด้วย

สำหรับพวกขุนนางคนอื่นๆ ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน จึงทำแค่เฝ้ามองความสนุกเงียบๆ เท่านั้น

แม้แต่จักรพรรดินียังเป็นเช่นนี้ ทำเพียงเฝ้ามองทั้งสองตระกูลต่อสู้กันด้วยความเพลิดเพลิน

ปล่อยให้ส่งเสียงรบกวนมากเท่าที่ต้องการ อยากจะสร้างปัญหาก็สร้างไป ขอแค่ตราบใดไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของราชสำนักก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

หากสองตระกูลกล้าล้ำเส้น ย่อมมีคนจัดการกับพวกเขาโดยธรรมชาติ

สำหรับหลี่เต๋อเฉวียนซึ่งอยู่ในคุกหลวงได้รับความเดือดร้อนจากอาชญากรรมตั้งแต่สมัยอดีตของตระกูลเสิ่น ในทุกวันจะมีคนจากทุกแผนกมาสอบปากคำและทรมานเขา

ทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่งตระกูลเสิ่นทนไม่ไหวอีกต่อไป

ไม่ใช่ว่าตระกูลเสิ่นด้อยกว่าตระกูลจี้ เพราะทั้งสองตระกูลมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความแข็งแกร่งและอิทธิพลโดยรวมในราชสำนัก

เมื่อไตร่ตรองให้ดีแล้ว ถึงอย่างไรหลี่เต๋อเฉวียนก็ไม่มีสายเลือดตระกูลเสิ่น

แต่เพราะหลี่เต๋อเฉวียนจึงทำให้สมาชิกหลายคนของตระกูลเสิ่นถูกลดตำแหน่งหรือถูกเนรเทศ

สิ่งนี้ทำให้เกิดการร้องเรียนภายในตระกูลเสิ่นมากมาย

การที่ตระกูลเสิ่นต้องตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ สาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะหลี่เต๋อเฉวียนทำร้ายบุตรชายของตระกูลจี้จนเสียชีวิต ดังนั้นคนตระกูลเสิ่นย่อมไม่มีความสุขเป็นธรรมดา

ในยามนี้หลี่จื่อซวงบุตรสาวของหลี่เต๋อเฉวียนกำลังวิ่งเต้นเพื่อช่วยเหลือบิดาสุดกำลัง

   แต่บรรดาสหายของบิดาที่เคยกระตือรือร้นเหล่านั้นกลับหลีกเลี่ยงนางไปหมด คนที่มีมารยาทหน่อยแค่ปฏิเสธด้วยความสุภาพ ในขณะที่พวกคนไร้มารยาทจะปิดประตูใส่นางทันที ซึ่งทำให้หลี่จื่อซวงรู้สึกแย่มาก

คนยังไม่ทันจากไป ชาก็เย็นชืดแล้ว

หลี่จื่อซวงรู้สึกหงุดหงิดจึงเผลอคิดถึงซูอันโดยไม่มีเหตุผล

ในความทรงจำของนางคือเขาถือแส้ยาวราวกับราชาปีศาจ ช่างน่ากลัวจนทำให้คนตัวสั่น

ทว่า...

“ถ้าเป็นเขาก็น่าจะมีวิธี”

  ……

เวลานี้ซูอันเดินทางเข้าวังหลวงอีกครั้ง

ด้วยฐานะของหนึ่งในแปดองครักษ์วิหคดำ เขาไม่จำเป็นต้องรายงานให้ทราบก่อนเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดินี

และตอนนี้เขาเดินไปที่วังหลังโดยไม่ลังเล

แม้ว่าตามสามัญสำนึกแล้วบุรุษไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวังหลัง แต่ซูอันไม่มีสามัญสำนึก

อย่างไรก็ตาม วังหลังมีเพียงนางกำนัลเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เพราะอดีตจักรพรรดิให้ความสำคัญกับการฝึกตนจึงแทบไม่รับสนมเลย หลังจากสวรรคตแล้วเหล่าสนมเพียงไม่กี่พระองค์ได้ติดตามพระโอรสไปอาศัยอยู่นอกวัง ส่วนจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเป็นสตรี ดังนั้นวังหลังจึงใกล้เคียงคำว่าถูกทิ้งร้างโดยไม่มีการวางอุบายและความตื่นเต้นมากนัก

ปัจจุบันผู้สูงศักดิ์เพียงพระองค์เดียวที่ประทับอยู่ในวังหลังคือไท่โฮ่ว (ไทเฮา) พระราชมารดาของจักรพรรดินีซูรั่วซีและมีพระธิดาเพียงองค์เดียวเท่านั้น

นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ซูรั่วซีสามารถครองบัลลังก์เหนือองค์ชายทั้งปวงได้

“ต้องไปเข้าเฝ้าไท่โฮ่วสักหน่อย ไม่ได้เจอพระนางนานมากแล้วคิดถึงจริงๆ”

เมื่อตัดสินใจแล้วซูอันจึงเดินไปที่พระตำหนักฉือหนิง

ในพระตำหนักฉือหนิงมีสตรีที่สง่างามและรูปโฉมไม่เป็นรองใครกำลังวาดภาพอยู่

เป็นการวาดภาพด้วยหมึก จังหวะที่พู่กันแตะหมึกพริ้วไหวลงไปนั้นราวกับว่ามันมีความหมายพิเศษแฝงอยู่

ไท่โฮ่วก็อยู่ในระดับหยางบริสุทธิ์ ดังนั้นภาพวาดฝีมือนางจึงมีความมหัศจรรย์อยู่ด้วย

คิ้วสว่างเย็นชื่นตา ผิวละเอียดดุจหยกอุ่น

นางเป็นมนุษย์ที่เหมือนอยู่ในภาพวาดเสียมากกว่า

ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างอวบอ้วนนั้น คงไม่มีใครรู้ว่านี่คือสตรีที่ผ่านการให้กำเนิดบุตรมาแล้ว

มีนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามา

“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่ารบกวนในขณะที่ข้ากำลังวาดภาพ?” เห็นได้ชัดว่าไท่โฮ่วไม่พอใจที่ถูกรบกวน

“ทูลไท่โฮ่วเหนียงเหนียง ท่านโหวซูมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”

“โอ้ อันเอ๋อร์มาแล้ว” ไท่โฮ่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นความไม่พอใจบนใบหน้าหายไปและโยนพู่กันทิ้งด้วย

เมื่อนางกำนัลพาซูอันเข้ามา ไท่โฮ่วก็ก้าวไปข้างหน้าและจับมือของเขาไว้ ก่อนจะพามานั่งข้างๆ ด้วยความเมตตา และนางกำนัลถอยออกไปอย่างรู้งาน

“ซูอันถวายพระพรไท่โฮ่ว” ซูอันทูลด้วยความเคารพ

“เจ้าเด็กคนนี้ บอกแล้วว่าอย่าสุภาพกับข้า” ไท่โฮ่วตำหนิด้วยความโกรธ แต่นัยน์ตามีความรักลึกซึ้ง “ให้เรียกข้าว่าอย่างไร เจ้าลืมแล้วหรือ?”

ซูอันรู้สึกอบอุ่นในใจเช่นกัน “หมู่โฮ่ว”

สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือซูอันยังเป็นโอรสบุญธรรมของเยวี่ยหรูไท่โฮ่วอีกด้วย

ถ้าพูดให้ถูกต้อง ซูอันสามารถเรียกซูรั่วซีว่าพี่สาวได้

เพียงแต่เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับอดีตจักรพรรดิ เพราะเมื่อเขากลายเป็นโอรสบุญธรรมของกงเยวี่ยหรู ตอนนั้นอดีตจักรพรรดิได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว

ซูรั่วซีค่อนข้างโตเกินวัยและรู้ความตั้งแต่เด็ก ทำให้ไท่โฮ่วแทบไม่ต้องกังวลสิ่งใดเลย

ซูอันร้องไห้เพราะมักถูกซูรั่วซีรังแกบ่อยครั้ง เขาจึงหันไปฟ้องผู้ปกครองในตอนนั้นซึ่งก็คือกงเยวี่ยหรูพระมารดาของซูรั่วซี

กงเยวี่ยหรูมีพระธิดาเพียงหนึ่งเดียวและซูรั่วซีทำตัวมีเหตุผลมากเกินไป จึงทำให้นางไม่เคยได้รับความสุขจากการเป็นแม่ทั่วๆ ไปเลย

ในเวลานั้นซูอันยังไม่ฟื้นความทรงจำ อีกทั้งบิดามารดาเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและเป็นช่วงที่ขาดความรักมากที่สุด

นอกจากนี้ซูอันวัยเยาว์ยังดูน่ารักมากๆ เขาเป็นเพียงเด็กน้อยขี้แยคนหนึ่ง

หลังจากนั้น ซูอันได้เข้ามาเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างในใจของกงเยวี่ยหรูซึ่งมักจะเรียกซูอันเข้าวังเพื่อให้การอบรมสั่งสอน อาจกล่าวได้ว่านางใกล้ชิดกับซูอันมากกว่าซูรั่วซีและปฏิบัติต่อซูอันเหมือนพระโอรสโดยสายเลือด

ซูอันก็ถือว่ากงเยวี่ยหรูคือผู้ปกครองของตน

นับจากนั้นมา เรื่องราวก็เป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้เอง