ตอนที่ 11: ฉู่อี้ล่องเรือ หันหลังกลับไม่ได้
ตอนที่ 11: ฉู่อี้ล่องเรือ หันหลังกลับไม่ได้
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป
ฉู่อี้ยืนขึ้นแล้วเอ่ยถามไปทางหัวเรือ
“บนเรือมีอาหารหรือไม่?”
วินาทีต่อมา เจ้าอ้วนจางจึงโผล่หัวออกมาขณะใบหน้าขนาดใหญ่ยิ่งดูมันเยิ้มเป็นเงามากขึ้นเมื่อเทียบกับฉากหลังของราตรี
เขาโบกใบบัวในมือขณะกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของไก่ได้โชยออกมา
เดิมทีฉู่อี้เพียงหาข้ออ้าง แต่หลังจากกินปลากับกุ้งมานานเกินไป มันจึงอดไม่ได้ที่จะถูกล่อลวงด้วยความอยาก
"ราคาเท่าไหร่?"
“คุณชาย ในน้ำไม่มีไก่ เพราะงั้นขอคิดสักหนึ่งถึงสองตำลึงพอ”
เจ้าอ้วนจางเอ่ยคำพลางใช้มือที่ไม่ได้จับเสาไม้ไผ่เพื่อแกะใบบัวบนพื้นผิวออก มันเผยให้เห็นหนังไก่สีทองที่อยู่ด้านล่าง กลิ่นหอมของน้ำมันกลายเป็นน้ำที่ไหลไปทั้งสองฝั่งของชิ้นเนื้อ
ฉากนี้ทำให้ฉู่อี้นึกถึงภาพของสตรีงดงามกำลังอาบน้ำที่พยายามปกปิดเรือนร่างแต่ก็ยังรู้นึกเขินอาย
ชายชาตรีจำต้องรีบตัดสินใจ
“ข้าต้องการมัน!”
หลังจากสิ้นคำ เขาจึงหยิบเหรียญเงินตำลึงออกมา แล้วเจ้าอ้วนจางจึงโยนใบบัวไปให้โดยไม่ลืมที่จะถามอีกข้อ
“คุณชาย ข้ายังมีสุราดีอายุห้าปี ราคาเพียงสิบเหรียญเงินตำลึงเท่านั้น”
"เอามาทีเดียวเลย"
ฉู่อี้เคี้ยวปีกไก่ที่มือซ้ายแล้วคว้าไหสุราด้วยมือขวา จากนั้นเดินไปตรงกลางเรือกันสาดโดยไม่รู้ตัว
ตอนแรกเจ้าอ้วนจางค่อนข้างระแวดระวัง จนกระทั่งฉู่อี้บอกว่า “มานั่งพักกันหน่อย” เขาจึงชั่งน้ำหนักเหรียญเงินในฝ่ามือก่อนจะคลายความกังวล
“เจ้าอ้วนจาง บอกข้าที สิบเหรียญตำลึงเงินนี้สามารถนำไปทำอะไรได้บ้าง”
ฉู่อี้ดื่มสุราไปครึ่งจอกจนใบหน้าแดงเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดปากถาม
“สิบเหรียญตำลึงเงินมากพอที่จะซื้อห้าชีวิตในเมืองหลิงโซ่ว” คาดไม่ถึงว่าเจ้าอ้วนจางจะตอบเช่นนั้น จากนั้นจึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยคำ “แน่นอนว่ามันอาจสามารถซื้อสาวใช้วิญญาณวารีสองคนมานั่งให้ความเพลิดเพลินและสุขสันต์กับทุกคนได้”
“ชีวิตมนุษย์ไร้ค่าขนาดนั้นเชียวหรือ”
“หรือว่าไม่จริง? เทียบกับคนโบราณที่อาศัยอยู่ในที่โล่งแล้ว พวกเราถึงกับมีชีวิตที่แย่ยิ่งกว่า!” เจ้าอ้วนจางส่ายหน้าด้วยความขุ่นเคือง “ตราบใดที่คนโบราณระวังเสือกินคนในป่า พวกเขาย่อมหลบหนีเข้าเมืองเพื่อเอาตัวรอดได้”
“สำหรับตอนนี้ ไม่เพียงแต่มีเสืออยู่นอกเมืองเท่านั้น แต่ภายในเมืองก็มีเหมือนกัน แถมยังเป็นเสือที่สามารถกินคนโดยไม่คายกระดูกออกมาได้!”
ฉู่อี้ฟังเจ้าอ้วนจางระบายความขับข้องใจออกมาก่อนจะทราบถึงเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล
แม้วันนี้เขาจะจ่ายให้กับเจ้าอ้วนจางไปมากถึงสิบสามตำลึง แต่หลังจากถูก "เขากระบี่ผงาด" กับ "กลุ่มชิงเฉา" เอารัดเอาเปรียบ มันคงดีกว่าถ้าเหลือติดกระเป๋าไว้สักสามสิบตำลึง
นี่หมายรวมถึงส่วนที่เขามอบให้กับผู้น้อยคนนนี้ซึ่งเป็นผู้ดูแลด้วย
หากให้เจ้าอ้วนจางน้อยเกินไปก็จะกลายเป็นเก็บงำความขุ่นเคืองไว้
หากให้มากเกินไป เขาจะอดตายเสียเอง
ไม่ว่าอย่างไรในแง่หนึ่ง ผู้ดูแลนับเป็นตำแหน่งหนึ่งที่ต้องคอยรับผิดชอบทุกสิ่งอย่าง
ฉู่อี้เข้าใจถึงความพลิกผันขณะสนทนากับเจ้าอ้วนจางเกี่ยวกับ "การเอารัดเอาเปรียบ" และ "การกินเนื้อคน" อย่างไม่ใส่ใจ
เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้ฟังที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นนักวิจารณ์ที่มีระดับความหยาบคายไม่น้อยไปกว่าเจ้าอ้วนจางด้วย
ภายใต้การโน้มน้าวอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ในที่สุดฉู่อี้จึงค้นพบลักษณะกับกระบวนการทั้งต้นน้ำและปลายน้ำในการลักลอบขนของผิดกฎหมายของ "กลุ่มชิงเฉา"
คนอย่างเจ้าอ้วนจางเป็นเพียงนกต่อที่รับผิดชอบในการหลบเลี่ยงการค้นหาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเมือง
เมื่อพวกเขาเข้าไปในเมืองแล้ว กลุ่มชิงเฉาจะใช้การกระทำเพื่อพิสูจน์ว่า “คนมีเงินทำได้ทุกอย่าง”
ได้รับข้อมูลที่จำเป็นแล้ว
ฉู่อี้ค่อยเดินไปด้านหลังเจ้าอ้วนจางผู้เต็มไปด้วยกลิ่นสุรา
เจ้าอ้วนจางหันศีรษะมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นฉู่อี้จึงเผยสีหน้าแย้มยิ้มทันที "คุณชายรีบนั่งลงก่อน ข้ายังมีเรื่องราวอีกมาก พวกเรามาคุย…"
ยังไม่ทันสิ้นคำ
พลังมหาศาลพลันมาจากหลังคอของเขาขณะบดขยี้กระดูกของเจ้าอ้วนจางจนสิ้นลมในพริบตา
ฉู่อี้หยิบเสาไม้ไผ่ออกจากมือของเขาด้วยสีหน้าสงบ
“หากคุณไม่ตาย อีกไม่ช้าข้าคงได้อับอายขายขี้หน้ากันพอดี”
จากนั้น ฉู่อี้ถอดเสื้อกันฝนและหมวกฟางของเจ้าอ้วนจางออกขณะลากร่างไปวางไว้ที่กันสาดด้านหลัง ทำให้แสงเทียนตรงหน้าสะท้อนให้เห็นร่างในแนวตั้ง
เขานั่งอยู่ที่หัวเรืออย่างเงียบงันขณะขยับเสาไม้ไผ่ในมือ
การเคลื่อนไหวครั้งแรกค่อนข้างไม่คุ้นเคย แต่หลังจากการกระแทกเล็กน้อย เรือกันสาดจึงทรงตัวก่อนจะมั่นคงในไม่ช้า
ทักษะการพายเรืออันยอดเยี่ยมนี้แทบจะทัดเทียมกับคนพายเรือรุ่นเก่าที่ทำงานมานานกว่าสิบปี
นี่เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของหน้าต่างระบบ
หากพูดให้เห็นภาพชัดขึ้น ไม่ว่าฉู่อี้จะทำอะไรก็จะเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็วและสามารถเรียนรู้ได้ในทันที
ฉู่อี้ถึงกับเชี่ยวชาญทักษะมากมายเช่นนี้ซึ่งดูเหมือนไร้ประโยชน์ แต่กลับใช้ได้จริงในบางช่วงเวลา
แต่น่าเสียดาย อาจเป็นเพราะไร้ประโยชน์เกินไป ทำให้ทักษะเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ถูกนำมารวมอยู่ในหน้าต่างระบบ
ฉู่อี้นึกถึงทักษะเพียงหนึ่งเดียวอย่าง "วิชาบำเพ็ญมัจฉาวิญญาณ" ซึ่งยังอยู่ระดับพื้นฐานจนถึงทุกวันนี้ เขาจึงวางแผนที่จะศึกษามันอย่างรอบคอบหลังจากเข้าเมืองแล้ว
เขาจ้องมองดาวเดือนทั้งหลาย แม้ความเร็วของเรือจะเพิ่มขึ้น แต่มันยังถูกจำกัดด้วยความจริงที่เป็นเรือกันสาดจนมีสภาพไม่ต่างจากเด็กเล็ก
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ท้องนภาค่อยกลายเป็นสีขาว
ทันใดนั้น หมอกจึงลอยอยู่เหนือแม่น้ำจนเกิดกลุ่มควันกว้างใหญ่ที่กลืนกินหนึ่งคนและหนึ่งเรืออย่างรวดเร็ว
ด้านหลังฉู่อี้มีแสงไฟเลือนรางพร้อมกับเสียงการระบายที่ยิ่งใกล้เข้ามา
เขาลอบถอนหายใจขณะคร่ำครวญว่ายังเร็วไม่มากพอ
“เรือข้างหน้าที่มาทำธุรกิจอยู่ที่เขากระบี่ผงาด ขอให้หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงคำรามดังลั่นพร้อมกับลูกธนูจำนวนมากที่ยิงทะลุกันสาดได้อย่างง่ายดาย
นี่คือคำเตือน!
ฉู่อี้หยุดไม้พายด้วยเสาไม้ไผ่ทันที แล้วเรือขนาดกลางซึ่งขนคนมาราวยี่สิบชีวิตเข้ามาจอดเทียบด้านข้าง
ตุบ!
หนึ่งในพวกเขากระโดดตรงไปที่หัวเรือกันสาด จากนั้นเดินมาหยุดตรงหน้าฉู่อี้แล้วเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
“เจ้ามาจากตระกูลไหล? ทำตัวอวดดีเช่นนี้ ไม่ทราบหรือว่าเจ้าขุนเขามีคำสั่งว่าห้ามใครที่ไหนออกไปเป็นอันขาด!”
สิ้นคำ ฉู่อี้จึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยคำ “ข้ารู้สึกมึนงงนิดหน่อย โปรดยกโทษให้ด้วย”
เขาหยิบเหรียญเงินสิบสามตำลึงที่เพิ่งเอาคืนมาจากเจ้าอ้วนจางขณะเอ่ยคำด้วยสีหน้าประจบสอพลอ
“นายท่าน ความอยากได้นิดหน่อยไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแต่คุณชายคนนี้ให้มากเกินไป”
คนผู้นั้นอ้าปากเตรียมจะสาปแช่ง แต่เมื่อเห็นเหรียญเงินสิบสองตำลึงจึงอดไม่ได้ที่จะกลืนกลับเข้าไป จากนั้นสีหน้าจึงโอนอ่อนขึ้นมาก
"เด็กน้อยเช่นเจ้านับว่าอยู่…"
กร็อบ!
ฉู่อี้ใช้แรงกดที่คออย่างชำนาญจนบีบคนผู้นั้นจนตายในทันที สีหน้าของเขาไม่แปรเปลี่ยนขณะส่งเสียงผ่านเรืออูเผิง
“นายท่านโปรดหลีกทางด้วย แขกผู้มีเกียรติรออยู่ข้างหลัง”
สิ้นคำ เขาหยิบร่างดังกล่าวแล้วโยนไปด้านหลังราวกับทิ้งขยะ
สำหรับคนนอก พวกเขามองเห็นเพียงร่างที่ลอยผ่านไป
ชั่วพริบตา ผู้คนทั้งหลายบนเรือเริ่มถอนหายใจว่าทักษะร่างกายของนายท่านพัฒนาขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้ ฉู่อี้เดินไปที่หัวเรืออีกครั้งขณะตะโกนใส่ผู้คนทั้งหลายที่ถือคันธนู "นายท่านมาตรงนี้หน่อย"
คนเหล่านั้นไม่สงสัยอะไรขณะกระโดดไปที่หัวเรือแล้วแสร้งทำเป็นเดินถอยหลัง
ฉู่อี้ฉวยโอกาสที่นักธนูคนสุดท้ายเคลื่อนผ่านก่อนจะพลันใช้แขนขวากระแทกเข้าที่ขอของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง
ภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่
นักธนูคนอื่นต่างโดนพิษเข้าไปเช่นกัน
ผู้โชคร้ายต้องประสบกับหลอดเลือกแตกในทันที ส่วนผู้โชคดีเพียงหมดสติเท่านั้น
แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวเช่นนั้นไม่อาจปกปิดจากผู้อื่นได้อีกต่อไป
ฉู่อี้เขย่งเท้าขณะคว้าลูกธนู จากนั้นกระโดดไปทางเรือลำใหญ่พร้อมกับใช้หัวลูกธนูอันแหลมคมแทนอาวุธเพื่อแทงใส่คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่ เขาเป็นตัวปลอม...”
ในที่สุดคนที่เหลือเริ่มตอบสนอง แต่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขามีพละกำลังเพียงขอบเขตสวรรค์ประทานเท่านั้น
ประกอบกับสูญเสียการคุ้มกันจากนักธนู
ฉู่อี้จึงไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ซึ่งการต่อสู้ระยะประชิดเปรียบได้กับการเข้าสู่สถานที่รกร้าง!