ตอนที่ 48 กล้าแข่งปรุงยากับข้าหรือไม่
ตอนที่ 48 กล้าแข่งปรุงยากับข้าหรือไม่
ของก็ยังไม่ทันรับมาด้วยซ้ำ ไฉนโวยวายประหนึ่งไปฆ่าคนตาย?!
หากว่ากล้าดีถึงขนาดนั้น เหตุใดไม่ข่มขู่ซูลั่วไปเสียให้สิ้นเรื่องราว!
“ขอบคุณศิษย์พี่หญิงซูขอรับ” จี้เตี๋ยที่ถูกกระตุ้นให้โมโห เวลานี้เลือกเมินเฉยสายตาฆ่าฟันพร้อมประสานหมัดกับฝ่ามือให้ซูลั่ว สุดท้ายจึงรับเอายามา แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่บ่มเพาะความเกลียดชังแก่ศิษย์ฝั่งเหนือก็ตาม
“ดี ทำได้ดี” เซี่ยปินโกรธเกรี้ยว เขาสูดลมหายใจเข้าจนอกแทบระเบิด และถ้อยคำที่กล่าวออกมายังเป็นการกัดฟันพูด
“ศิษย์ตัวจ้อยจากฝั่งใต้เช่นเจ้า นับว่าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง”
จี้เตี๋ยเลือกแสร้งทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยินเสียงข่มขู่อันเย็นชาเหล่านี้
“เซี่ยปิน หากว่าเจ้าเป็นบุรุษก็จงตระหนักว่าไม่ควรใช้ฝีมือที่เหนือกว่าข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า หากไม่แล้วข้าจะยิ่งดูแคลนเวทนาเจ้ามากกว่านี้!”
ซูลั่วเผยสายตาเย็นเยือกมองตอบ ตอนนี้เองที่เซี่ยปินเผยสีหน้าซีดเผือด เพราะเขาไม่กล้าระบายโทสะที่มีต่อซูลั่ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือกล่าวโทษจี้เตี๋ย
“ไอ้หนู เป็นนักปรุงยาใช่หรือไม่?! ในเมื่อศิษย์น้องหญิงซูกล่าวเช่นนั้น ข้าก็จะไม่ขอพึ่งพาการฝึกตนข่มเหงเจ้า! หากว่ายังมีความกล้า ข้าขอท้าประลองการปรุงยา หากเจ้าแพ้จงคุกเข่าและส่งยานั้นกลับคืน ขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ให้ห่างจากศิษย์น้องหญิงซูไปตลอดชั่วชีวิตด้วย!”
เขาได้ตระหนักเห็น ว่าซูลั่วคล้ายจะเอ็นดูจี้เตี๋ยเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ่งเกลียดชังอีกฝ่าย
เนื่องจากเขาไล่ตามจีบซูลั่วมาก็ยาวนาน แต่กลับไม่เคยพิชิตใจของนางได้ และในเมื่อเขาไม่ได้ ผู้อื่นก็ต้องไม่ได้!
“ปรุงยา!” จี้เตี๋ยมองอีกฝ่ายด้วยคิ้วขมวด เพราะไม่ทราบว่าควรตอบรับอย่างไรดี
อีกฝ่ายคือผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณระดับสูง ดังนั้นฝีมือการปรุงยาย่อมไม่ใช่เลวร้าย
“เหอะ เซี่ยปิน เจ้ายังมีความละอายอยู่บ้างหรือไม่? เขาเพิ่งฝึกปรุงยาได้เพียงแค่สองเดือน เจ้าที่เป็นนักปรุงยาขั้นกลางระดับหนึ่งกลับจะเอาตัวเองไปเทียบกับเขางั้นหรือ? ไร้ยางอายสิ้นดี!”
ซูลั่วกลัวว่าจี้เตี๋ยจะหุนหัน ดังนั้นจึงหันมาบอกกล่าว “เจ้ากลับไปก่อน หากว่ามีอะไรไม่เข้าใจก็มาสอบถามภายหลัง ส่วนเรื่องมันไม่ต้องกังวล ข้าจะคอยจับตามองให้”
“ขอรับ” จี้เตี๋ยประสานมือตอบรับ เพราะทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่ควรบุ่มบ่าม
“เจ้าคนขี้แพ้ดีแต่หลบหลังสตรี ชักสงสัยแล้วว่าจะมีปัญญาหลบไปตลอดหรือไม่! ถือว่าข้าฝากคำเตือนด้วยความหวังดี แนะนำให้เจ้าคอยอยู่กับศิษย์น้องหญิงซูเอาไว้ตลอดเวลา หากไม่แล้ว ขอเพียงศิษย์น้องหญิงซูคลาดสายตาจากเจ้าเมื่อใด ข้าจะทำให้ได้ทราบว่าหาเรื่องเซี่ยปินคนนี้แล้วจะต้องพบเจอกับอะไร!”
จี้เตี๋ยที่กำลังจะเดินกลับ พอได้ยินคำข่มขู่รอบใหม่ เขาถึงกับหยุดเท้าและหันมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“คิดแข่งขันการปรุงยาใช่หรือไม่? หากว่าเจ้าแพ้เล่าจะเป็นอย่างไร?”
“แพ้หรือ ข้าจึงไม่แพ้! เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไร!” เซี่ยปินชะงัก ยามนี้ที่พบเห็นอีกฝ่ายคล้ายจะติดกับดักยั่วยุจึงเริ่มหาเรื่องต่อ
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” จี้เตี๋ยตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เหอะ! ข้ายังมียาย้อนฝันอยู่ หากว่าแพ้ อย่างเลวร้ายก็แค่มอบให้เจ้าเพิ่ม!”
“เรื่องราวไร้สาระอันใด ข้าเพิ่งฝึกปรุงยามาได้เพียงสองเดือน ขณะที่เจ้าอยู่ตรงนี้มานานกี่ปีแล้ว เห็นได้ชัดว่าข้าคือฝ่ายเสียเปรียบ และหากว่าแพ้ก็ไม่เพียงแต่ต้องคืนยาให้ แต่ยังต้องคุกเข่า เงื่อนไขเช่นนี้มีแต่คนบ้ากับคนโง่จึงตอบรับคำท้าของเจ้า” จี้เตี๋ยยักไหล่
“ข้ามีธงวายุที่สำนักมอบให้ผืนหนึ่ง ภายหลังขัดเกลามันสักหน่อยเจ้าจะสามารถใช้ล่องไปตามสายลมได้ หากว่าเอาชนะข้าได้ เช่นนั้นยกให้เจ้า!” เซี่ยปินยอมเสี่ยงนำเอาธงยาวสูงขนาดราวตัวคนออกมาใช้เดิมพัน
เพราะอย่างไรแล้วจี้เตี๋ยก็เพิ่งศึกษาการปรุงยา ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้!
“ขอข้าเสริมเงื่อนไขอีกสักหน่อย หากว่าเจ้าพ่ายแพ้จงหยุดคุกคามและเข้าใกล้ศิษย์พี่หญิงซูไปตลอดชั่วชีวิต ส่วนกำหนดการแข่งขันเอาเป็นอีกสามวันนับจากนี้เป็นไร?” จี้เตี๋ยพยักหน้ารับขณะมองธงผืนยาวในมือของอีกฝ่าย
“บ้ากันไปใหญ่แล้ว!” ซูลั่วที่พบเห็นทั้งสองฝ่ายตกลงกันถึงขั้นต้องขมวดคิ้ว
เพียงแต่จี้เตี๋ยไม่ได้มีท่าทีร้อนรน กระทั่งหันมาลูบศีรษะนางที่เตี้ยกว่าเป็นการตอบรับ แม้ว่าสุดท้ายจะถูกมือของนางปัดทิ้ง แต่เขาก็ยังคงบอกด้วยความตั้งใจ “ศิษย์พี่หญิงซู เชื่อมั่นในศิษย์ที่ท่านสอนสิขอรับ”
“ไอ้เจ้านี่มันไม่ใช่แค่นักปรุงยาขั้นกลางระดับหนึ่งธรรมดา อย่าอวดดีจนเกินไป” ซูลั่วจ้องมองมาและย้ำเตือน
“ข้ามีความมั่นใจจึงตัดสินใจเช่นนั้นขอรับ” จี้เตี่ยยิ้มสว่างเจิดจ้าเป็นการตอบรับ
“สามวัน ได้ ข้าจะให้เวลาเจ้าสามวัน ศิษย์น้องหญิงซูเองก็ได้ยินแล้ว มันเป็นฝ่ายท้าทายข้าก่อน! ไม่ใช่ข้าบีบบังคับให้มันตอบรับ! หากว่าถึงตอนนั้นมันพ่ายแพ้ คาดหวังว่าศิษย์น้องหญิงซูจะหยุดให้การปกป้องคนเช่นมัน!”
เซี่ยปินที่พบเห็นพฤติกรรมดูสนิทสนมระหว่างคนทั้งสอง เวลานี้จึงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
“จะแข่งกับมันจริงหรือเนี่ย…” ซูลั่วยังคงลังเล
“ข้ากล่าวไปแล้วขอรับ หากคืนคำพูดคงเป็นเรื่องน่าขายหน้า ศิษย์พี่หญิงซูไม่เกลี้ยกล่อมข้าต่ออาจจะดีกว่า ตอนนี้ข้าขอตัวกลับไปฝึกฝนขอรับ” จี้เตี๋ยยิ้มให้พร้อมประสานมือ สุดท้ายแล้วจึงเดินลงจากเขาไป
“หึ! อีกสามวันข้าจะมารอเจ้าที่นี่! หวังว่าจะไม่หนีหายหางจุกก้นไปเสียก่อน”
เสียงข่มขู่และเย้ยหยันยังคงดังตามมา
จี้เตี๋ยไม่ได้เผยท่าทีอะไรตอบรับ ขณะร่างของเขาเริ่มเลือนหายลับระยะสายตา และภายหลังออกจากยอดเขาโอสถแล้ว เขาจึงกลับถ้ำของตนเองที่อยู่ใกล้พื้นที่โรงนา ก่อนจะนำเอายาย้อนฝันออกมาและส่งเข้าปากของตนเอง
ภายหลังขัดเกลาสรรพคุณยา การฝึกตนของเขาจึงก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ
“ขอแค่มียานี่อีกเพียงแค่สองหรือว่าสามเม็ด เราน่าจะไปถึงการกลั่นลมปราณขั้นที่หกจุดสูงสุดได้!”
จี้เตี๋ยครุ่นคิดและสงสัยถึงการแข่งขันในอีกสามวันให้หลังจนสายตาเผยประกาย สุดท้ายจึงหาใบไม้ใหญ่ใบหนึ่งเพื่อเขียนรายนามสมุนไพรวิญญาณ ก่อนจะเรียกอู๋ฮั่นมาและขอให้ช่วยเดินทางไปซื้อหามาจากศาลาปราณสมบัติ
“ศิษย์พี่จี้ ท่านคิดนำสมุนไพรวิญญาณมากมายเหล่านี้ไปใช้ทำอะไรกันหรือขอรับ” อู๋ฮั่นรับใบไม้รายการมาอ่านทวนรายชื่อสมุนไพรวิญญาณ สุดท้ายจึงถามออกมาด้วยความสงสัย
“ปรุงยา…”
“ปรุงยา? ศิษย์พี่จี้เป็นนักปรุงยาตั้งแต่เมื่อใดกันขอรับ?” อู๋ฮั่นเกิดประหลาดใจ
“นั่นไม่ใช่สาระ รีบไปได้แล้ว” จี้เตี๋ยส่งศิลาวิญญาณให้อีกฝ่ายสี่สิบก้อน
รอคอยเพียงไม่นาน อู๋ฮั่นจึงกลับมาพร้อมสมุนไพรวิญญาณทั้งหลาย
จี้เตี๋ยส่งผลยกวิญญาณห้าผลให้อีกฝ่ายเพื่อช่วยส่งเสริมการฝึกตน ภายหลังจากนั้นจึงขอให้อู๋ฮั่นเก็บเรื่องราวเอาไว้ให้มิดและส่งอีกฝ่ายกลับไป
จี้เตี๋ยมองสมุนไพรวิญญาณหลายสิบรายการตรงหน้า
รากไขกระดูกหยก รากเมฆาม่วง ดอกตะวันม่วง…
สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้หาได้ไม่ยาก และทั้งหมดมีบันทึกเอาไว้ในบันทึกนักปรุงยา พวกมันสามารถใช้เพื่อปรุงเป็นยาทุ่งสมุทร ทั้งยังมีราคาไม่แพง แต่ละรายการมีราคาเพียงแค่ไม่กี่ศิลาวิญญาณ
เขาขอให้อู๋ฮั่นช่วยซื้อพวกมันมารวมทั้งหมดสามชุด
“นักปรุงยาขั้นกลางระดับหนึ่ง” จี้เตี๋ยตั้งสมาธิขณะนำเอาหม้อปรุงยาออกมา ก่อนจะดีดนิ้วเพื่อจุดอัคคีเพลิงให้ลุกโชน
สุดท้ายจึงนั่งขัดสมาธิตรงหน้าหม้อปรุงยา สายตาจ้องมองมันขณะควบคุมอุณหภูมิของอัคคีเพลิงและเริ่มนำสมุนไพรวิญญาณใส่เข้าไปด้านในหม้อ
สมุนไพรวิญญาณที่จำเป็นสำหรับใช้ปรุงยาขั้นกลางระดับหนึ่ง ย่อมมีความต้องการมากกว่ายาขั้นต้นระดับหนึ่ง นอกจากนี้ความซับซ้อนในกระบวนการ ก็ยังมากกว่ายาขั้นต้นระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ภายหลังศึกษากับซูลั่วอยู่หลายวัน มันทำให้เขาได้รับความมั่นใจมาไม่น้อย
เวลาผันผ่านอย่างรวดเร็ว สมุนไพรวิญญาณแต่ละอย่างเริ่มถูกส่งเข้าหม้อปรุงยาเพื่อกำจัดความไม่บริสุทธิ์
อุณหภูมิโดยรอบเริ่มสูงขึ้นทีละน้อย ชุดเครื่องแบบศิษย์สำนักสีเขียวเริ่มพลิ้วไหวเพราะคลื่นความร้อนที่อัคคีเพลิงแผดเผาแผ่ออกมา
เพียงแต่จี้เตี๋ยไม่ได้สนใจเรื่องราวเหล่านี้ จิตของเขายังตั้งมั่นอยู่กับความเคลื่อนไหวภายในหม้อปรุงยา และไม่ช้าทัศนการมองเห็นของเขาก็เริ่มพร่าเลือน
มันคือสัญญาณบ่งบอกถึงการใช้พลังจิตที่เกินตัว
เขาพยายามกัดฟันตั้งใจให้มั่น เพื่อควบคุมอุณหภูมิของอัคคีเพลิงและดำเนินการสกัดยาน้ำ
ภายหลังเวลาผันผ่านไปเท่าใดไม่ทราบ สมุนไพรวิญญาณทั้งหมดในหม้อถูกหลอมรวม เหลือไว้เพียงแต่แก่นแท้และกลิ่นหอมของตัวยาที่ฟุ้งกระจาย
ตอนนี้เองที่จี้เตี๋ยแสดงสีหน้าแห่งความยินดีออกมา แม้กระนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเสียสมาธิ เขาใช้พลังวิญญาณเพื่อควบคุมและบีบอัดพวกมันจนเกิดเป็นเม็ดยา
จนกระทั่งเม็ดยาสีดำทั้งสี่ลอยล่องออกมาจากหม้อปรุงยา ตอนนี้เองที่สายตาของเขาเกิดประกายเจิดจ้า ความอ่อนเพลียก่อนหน้านี้เลือนหายจนหมดสิ้น กระทั่งว่าตื่นเต้นยินดีขณะใช้พลังวิญญาณควบคุมให้ยาทั้งสี่เม็ดลอยล่องเข้ามาอยู่ในฝ่ามือ