ตอนที่ 47 ทำได้ไม่ยาก
ตอนที่ 47 ทำได้ไม่ยาก
“ลงมือได้แล้ว ข้าจะเฝ้ามองอยู่เคียงข้าง หากเกิดอะไรผิดพลาดจะได้ช่วยชี้แนะ” บางทีอาจเพราะตระหนักได้ว่าท่าทีเมื่อครู่นี้ดูแห้งแล้งไปบ้าง น้ำเสียงของซูลั่วจึงเริ่มโอนอ่อนลง
จี้เตี๋ยไม่ได้ตอบกลับคำใด เพียงแค่รับวัตถุดิบปรุงยารวบรวมลมปราณมา เพราะไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไร มันก็คงไม่ดีเท่าการแสดงให้เห็น
ภายใต้สายตาจ้องมองของซูลั่ว เขานำเอาหม้อปรุงยาสีดำออกมาจากถุงมิติ ก่อนจะพลิกนิ้วขยับเคลื่อนไหวตามคำชี้แนะ อัคคีที่เกิดขึ้นโดยวิชานาคาอัคคีเริ่มเผาไหม้ที่ด้านล่างของก้นหม้อ
ขณะอุณหภูมิของตัวหม้อสูงขึ้น เขาเริ่มนำสมุนไพรวิญญาณสำหรับใช้ปรุงยารวบรวมลมปราณใส่เข้าสู่หม้อทีละหนึ่งไล่เรียง
เนื่องจากไม่ใช่การปรุงยาขั้นต้นระดับหนึ่งครั้งแรก นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เคล็ดวิชาจากซูลั่วมาตลอดช่วงหลายวัน รวมถึงได้รับชมการปรุงยาของนางกับตาตนเอง ความรู้ความเข้าใจในวิชาปรุงยาของเขาจึงเพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อย
จี้เตี๋ยมีความมั่นใจ ว่าแม้เป็นยาขั้นกลางระดับหนึ่งก็สามารถปรุงได้
ทว่าตอนนี้เขาต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่าน เพราะต้องใช้พลังจิตตรวจจับอุณหภูมิของอัคคีเพลิง ขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมการปอกเปลือกของสมุนไพรวิญญาณ แม้เป็นขั้นตอนที่ง่าย แต่สีหน้าของเขาก็ค่อนข้างจริงจัง
กระบวนการที่ดำเนินไปอย่างเชี่ยวชาญ เป็นเหตุให้เด็กสาวที่รับชมอยู่ข้างเคียงต้องประหลาดใจ
แม้ว่าฝีมือของจี้เตี๋ยจะด้อยกว่าตนเอง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่านักปรุงยาขั้นต้น หรือบางทีอาจเทียบเคียงกับนักปรุงยาขั้นกลาง
‘ชายผู้นี้ ข้าประมาทเกินไป เพียงแต่ในกระบวนการปรุงยา ไม่ว่าระหว่างดำเนินการจะสวยหรูแค่ไหน ตราบเท่าที่สุดท้ายไม่เกิดผลลัพธ์ก็ไม่อาจวัดผลอะไรได้…’
นางแค่ครุ่นคิดในใจและรับชมต่อเนื่อง ไม่ช้าสมุนไพรวิญญาณจึงถูกหลอมภายในหม้อด้วยอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง
พลังจิตของจี้เตี๋ยยังคงจดจ่ออยู่กับความเคลื่อนไหวภายใน พลังวิญญาณเริ่มโคจรเพื่อคัดแยกเอาแก่นของตัวยาออกมา สุดท้ายกลิ่นหอมของยาจึงเริ่มลอยฟุ้งในอากาศ
ยิ่งซูลั่วได้รับชมมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะยาที่ปรุงหม้อนี้มันไม่มีอะไรผิดพลาดที่เกินคาดให้พบเห็น
หากว่าเป็นคนอื่นที่เคยปรุงยามาสักหลายปี มันคงไม่ใช่เรื่องที่นางต้องประหลาดใจ
เพียงแต่คนตรงหน้าเพิ่งเริ่มศึกษาวิถีแห่งการปรุงยาเมื่อสองเดือนก่อน…
สองเดือนอาจฟังดูยาวนาน แต่สำหรับนักปรุงยาแล้ว มันเป็นแค่ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น แค่ช่วงเวลาสองเดือนนั้น บางคนอาจยังไม่สามารถจำแนกสมุนไพรวิญญาณด้วยซ้ำไป
การจะให้ปรุงยาด้วยตนเองยิ่งเป็นเรื่องแล้วใหญ่…
จี้เตี๋ยที่ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ เวลานี้จึงพยายามสงบใจเอาไว้
ยามที่ความไม่บริสุทธิ์ทั้งหมดในตัวสมุนไพรวิญญาณถูกกำจัด ให้เหลือเพียงแค่แก่นแท้ที่ควบแน่นขึ้นจากยาเหลว เขาเริ่มใช้วิชาการควบแน่นเม็ดยาที่เรียนรู้มาจากซูลั่ว นอกจากนี้ยังมีการยกมือขึ้นตบลงที่หม้อปรุงยาเป็นครั้งคราว
เวลาผันผ่านเชื่องช้า แต่ก็เหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้การบีบอัดของพลังที่ไม่อาจมองเห็น ยาเหลวภายในหม้อจึงเริ่มก่อตัวเกิดขึ้นเป็นเม็ดยาทรงกลมทั้งสี่!
ได้ยาเม็ดแล้ว!
จี้เตี๋ยเร่งรีบดับเปลวเพลิงและใช้พลังวิญญาณควบคุมยาทั้งสี่เม็ดให้ลอยขึ้น เพื่อนำพวกมันออกมาจากหม้อและส่งไปยังมือของซูลั่ว
“ศิษย์พี่หญิงซู เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” จี้เตี๋ยมีสภาพลมหายใจค่อนข้างปกติ เพราะภายหลังพลังจิตได้รับการเสริมกำลัง เขาจึงแทบไม่รู้สึกเหนื่อยล้า
“อ้อ…” ซูลั่วที่ถูกถามต้องใช้เวลานานกว่าจะตอบสนอง
“นี่เจ้าเพิ่งเคยปรุงยาครั้งแรกงั้นหรือ?”
“ก่อนขอให้ท่านสอน อัตราสำเร็จการปรุงยาขั้นต้นระดับหนึ่งของข้าคือแปดในสิบขอรับ ภายหลังเรียนรู้และฟังคำอธิบาย รวมถึงได้รับชมท่านปรุงยาจึงได้ความรู้เพิ่มเติมไม่น้อย ตอนนี้มั่นใจว่าหากเป็นยาขั้นต้นระดับหนึ่งน่าจะมีอัตราสำเร็จที่เก้าในสิบขอรับ” จี้เตี๋ยยิ้มตอบ
สายตาของซูลั่วทั้งอับอายและโกรธเคือง เพราะตอนนี้นางเพิ่งได้ตระหนัก ว่าที่จี้เตี๋ยกล่าวว่าต้องการปรุงยาขั้นกลางระดับที่หนึ่งนั้นมีเหตุผล เพราะการปรุงยาขั้นต้นระดับที่หนึ่งแทบไม่ใช่เรื่องยากสำหรับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
ทั้งที่ในตอนนั้นนางเคยคิด ว่าเด็กหนุ่มถือดีและทะเยอทะยานจนเกินไป
“แม้ว่าเจ้าปรุงยาขั้นต้นระดับที่หนึ่งได้แล้ว แต่ก็อย่าเพิ่งถือดีจนเกินไป การปรุงยาไม่ได้ง่ายดายดังเช่นที่คิด ดังนั้นจึงไม่ควรรีบร้อนปรุงยาขั้นกลางระดับที่หนึ่ง สิ่งสำคัญคือการวางรากฐานให้ดีตั้งแต่แรก สำหรับวันนี้ถือว่าทำได้ดีมาก กลับไปก่อนได้” เด็กสาวฮึมฮัมตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาและกล่าวเตือน ทั้งยังราวกับว่าไม่คิดอยากเห็นหน้าเด็กหนุ่มต่อ เวลานี้จึงโบกมือเป็นการไล่
“ขอรับ ขอตัวลาศิษย์พี่หญิงซูขอรับ” จี้เตี๋ยทราบดีว่าเพื่ออนาคตที่สว่างสดใสควรตอบรับเช่นไร เวลานี้จึงเกาแก้มตนเองแก้เขินโดยไม่ตอบรับคำอื่นใด จนสุดท้ายออกมาจากถ้ำของนาง และตอนนี้เองที่ได้ยินเสียงอันราบเรียบดังขึ้น
“ศิษย์น้องหญิงซูลั่ว… ไม่สิ เจ้าเป็นใคร? เพราะอะไรถึงออกมาจากถ้ำถึงศิษย์น้องหญิงซูลั่ว? หรือคิดมาลักขโมยสิ่งของ?” ผู้ที่ตั้งคำถามเป็นเด็กหนุ่มร่างอ้วนเตี้ย ขณะนี้อีกฝ่ายยืนอยู่ไม่ไกลจากปากถ้ำด้วยสีหน้าท่าทีเป็นปรปักษ์อย่างเด่นชัด
จี้เตี๋ยที่ได้ยินเสียงจึงหันมองไป ตอนนี้เองที่ได้ตระหนักถึงวิกฤตจากผู้มาเยือนซึ่งไม่เคยคาดคิด กระทั่งลอบประหลาดใจ!
เพราะหากจะมีผู้ที่สามารถมอบความรู้สึกถึงวิกฤตเช่นนี้ให้แก่เขาได้ ก็มีแต่ต้องเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณระดับสูง!
ถ้าเช่นนั้นสถานะตัวตนของอีกฝ่ายตรงหน้าก็คงพอจำแนกได้ ว่าเป็นศิษย์จากฝั่งเหนือ!
“ตอบมา เจ้าเป็นใครและทำไมถึงออกมาจากถ้ำของศิษย์น้องหญิงซูลั่ว”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนท้วนจับจ้องมองมาไม่วางตา และขณะจี้เตี๋ยกำลังจะอธิบาย เด็กสาวที่ได้ยินเสียงจึงวิ่งออกมาจากถ้ำพร้อมเสียงฝีเท้าดัง
“เป็นสหายข้า! เซี่ยปิน ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า จงออกไปเดี๋ยวนี้!” นางหยุดยืนที่ตรงหน้าจี้เตี๋ยด้วยร่างเล็กจ้อย ทั้งยังกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงดุดัน เป็นการบ่งบอกว่าไม่พอใจผู้มาเยือนตรงหน้า
“ที่แท้ก็เป็นมิตรสหายของศิษย์น้องหญิงซูลั่ว งั้นก็ไม่เป็นไร ศิษย์น้องหญิงซูลั่วอย่าเพิ่งโกรธไป ข้าเพียงแค่ห่วงหาถึงความปลอดภัยของเจ้า กลัวว่ามันจะเป็นคนมีเจตนาคิดร้าย…” เด็กหนุ่มร่างอ้วนท้วนยิ้มตอบขณะนำขวดหยกออกมาพลางเอ่ยคำเยินยอ
“นี่คือยาย้อนฝัน ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องหญิงซูกำลังจะทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่หกแล้ว ดังนั้นจึงนำมามอบให้เป็นการเฉพาะ”
จี้เตี๋ยเผยสีหน้าแปลกประหลาดใจ ขณะเดียวกันก็มองเรื่องราวตรงหน้าพลางรู้สึกได้ ว่าเด็กหนุ่มอ้วนท้วนตรงหน้าเหมือนจะพยายามตามจีบและเอาใจซูลั่ว…
และก็เป็นดังที่คาดเอาไว้ คำถัดมาของซูลั่วเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาให้ชัดเจน
“เฮอะ! บอกต่อเจ้าก็แล้วกัน ข้าไม่ได้ชอบอะไรในตัวเจ้า ดังนั้นจงยอมแพ้และละทิ้งความคิดเหล่านั้นไปเสีย! ส่วนเรื่องยาย้อนฝัน ข้าไม่ได้ต้องการ ดังนั้นนำมันกลับไปด้วย!”
หาได้คาดคิดไม่ว่าแม้เผชิญกับคำปฏิเสธที่ตรงจนไม่มีอะไรตรงกว่านี้ เด็กหนุ่มร่างอ้วนท้วนจะยังไม่ยอมถอย
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ความชอบที่ข้ามีให้คือเรื่องของข้า! ตราบเท่าที่ศิษย์น้องหญิงซูยังไม่ตอบตกลง ข้าก็ยังสามารถตามจีบได้เรื่อยไป… จนเมื่อใดตกลง… และหากวันนี้ศิษย์น้องหญิงซูไม่ต้องการรับยานี้เอาไว้ ข้าก็จะยืนกรานมอบให้ไม่จากไปไหน!” เด็กหนุ่มร่างอ้วนท้วนแสดงท่าทีเด็ดเดี่ยวและเชื่อมั่นในตนเองเต็มประดา
“แค่ก แค่ก!” จี้เตี๋ยกระแอมไอออกมา เพราะเดิมเขาคิดว่าตนเองก็หน้าหนามากพอแล้ว
ผู้ใดกันคาดคิด ว่าอีกฝ่ายจะหน้าหนายิ่งกว่าจนเขาไม่อาจเทียบได้
“ส่งยามา!” ซูลั่วเกิดรู้สึกรำคาญกับความหน้าด้านนี้ สุดท้ายจึงยอมยื่นมือออกไป
“ศิษย์น้องหญิงซูเปลี่ยนใจแล้วหรือ?!” เด็กหนุ่มร่างท้วนแทบจะร่ำร้องออกมาด้วยความยินดี เพราะเขาไล่ตามจีบซูลั่วมานานไม่น้อย เพียงแต่ไม่เคยมีครั้งใดที่นางจะตอบรับ
และตอนนี้ในที่สุดนางก็ตอบรับเขาแล้ว!
การที่นางเปลี่ยนใจ ก็หมายถึงยอมรับตัวเขาแล้วใช่หรือไม่?!
ขณะเด็กหนุ่มร่างท้วนกำลังครุ่นคิดว่าพวกตนจะได้เป็นคู่รักผู้ฝึกตนและได้ร่วมกระทำเรื่องราวในภายภาคหน้าต่อกัน ตอนนี้เองที่ซูลั่วแค่นเสียงขึ้นจมูกดังขึ้น ก่อนจะส่งขวดหยกที่รับมาแล้วให้กับจี้เตี๋ย “เจ้ารับเอาไป!”
ไม่เพียงแต่เด็กหนุ่มร่างท้วนที่ชะงัก แต่จี้เตี๋ยเองก็เผยท่าทีสับสนออกมา
และไม่ช้า ความเงียบอันน่าอึดอัดจึงดำเนิน
“ไอ้หนู หากเจ้ากล้ารับยานั่น ข้าจะให้เจ้าได้ชดใช้!”
จี้เตี๋ยที่ได้ยินคำข่มขู่จึงขมวดคิ้ว ก่อนจะหันสายตากลับไปมองซูลั่วด้วยความลังเล “ศิษย์พี่หญิงซู เกรงว่านี่จะไม่ใช่เรื่องดี ท่านควรรับยานี้เอาไว้เอง…”
“เหอะ! อย่างน้อยก็รู้ตัวดีนี่!” เด็กหนุ่มร่างท้วนที่พบเห็นคำปฏิเสธจึงเกิดพึงพอใจขึ้นมา
“หากข้ามอบให้ก็จงรับเอาไว้ ข้าอยากได้เห็นนักว่ามันจะกล้าทำอะไรเจ้า!” ซูลั่วฮึมฮัมพร้อมกอดอกและยืนกราน
เพียงนางเอ่ยคำจบ สีหน้าของเด็กหนุ่มร่างท้วนพลันดำมืด ขณะที่สายตาจับจ้องจี้เตี๋ยเขม็ง
“ไอ้หนู ขอแนะนำให้คิดอย่างถี่ถ้วน รู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร? หากกล้ารับเอาของของข้าไป ต่อให้ศิษย์น้องหญิงซูปกป้องแค่ไหน พึงตระหนักว่าข้าพร้อมจะทำให้เจ้ายากจะมีชีวิตรอดในสำนักเจ็ดลึกล้ำแห่งนี้ต่อได้…”