ตอนที่แล้วบทที่ 8 ภัยพิบัติอสูรกาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 10 มังกรทองสำริด

บทที่ 9 การแลกเปลี่ยน


สถานการณ์ที่ฟิลินกล่าวทำให้ทุกคนขนลุกซู่ พวกเขารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นจริง สัตว์ที่หิวโซจะเริ่มกินกันเอง ยิ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นอาหารให้แก่กันและกันมาก่อน

เพียงแต่ประวัติศาสตร์เช่นนี้ห่างไกลพวกเขาเกินไป มีแต่ฟิลินซึ่งเป็นแม่มดผู้เป็นอมตะเท่านั้นที่จะจดจำเหตุการณ์เมื่อพันปีก่อนได้

"หากพวกเจ้าเริ่มสังหารกันเอง พวกอสูรวูเจี่ยวที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงไม่เชื่อในสันติสุขอีกต่อไป ตอนนั้นที่นี่ก็จะกลายเป็นเหมือนหุบเขาปีศาจ มนุษย์จะถูกกดขี่และฆ่าอย่างโหดร้าย หรือไม่ก็เหมือนเมืองฮันตุน ที่ชนเผ่าโคว์เทากลายเป็นแค่พวกลากรถ ส่วนปีศาจสาวถูกขังเอาไว้คอยรองรับลูกค้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น หากพวกเขาปลุกวิบัติภัยจะเป็นการดีกว่า วิญญาณของผู้คนนับพันน่าจะช่วยให้เกิดอสูรหรือแม่มดขึ้นมาสักสิบกว่าตน อย่างน้อยพวกเราก็อาจจะเหลือจิตวิญญาณอันสงบสุขไว้ได้สักสิบกว่าดวง"

ท้ายที่สุด ฟิลินก็ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย เสบียงยังพอเลี้ยงไปได้อีกครึ่งปี ในช่วงครึ่งปีนี้ ไม่ต้องพูดถึงการขับไล่ประชากรระดับต่ำอีกแล้ว ทุกคนกินได้ตามต้องการได้เลย หากกินอาหารจนหมดแล้ว ถ้ายังหาทางแก้ไม่ได้ ก็ตายไปด้วยกัน เขาได้แต่แอบภาวนาว่าตัวเองจะสามารถเก็บความทรงจำก่อนตายไว้ได้ แล้วเกิดใหม่เป็นแม่มดหรืออสูรก็แล้วกัน

ฟิลินได้กำหนดเส้นเวลาที่โหดร้ายสำหรับทุกคน แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากเห็นสถานการณ์บานปลายไปถึงขั้นนั้น ดังนั้นหลังจากประชุมเสร็จ เขาก็แอบมาหาอังเกอร์อย่างเงียบๆ

แม้ว่าอังเกอร์จะหลบมาอยู่ในมุมที่ห่างไกลผู้คน สำหรับฟิลินแล้วการค้นหาเขาไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะทั่วทั้งเมืองใต้ดินมีสายลับของเขาอยู่ทุกหนทุกแห่ง เขาเอาวิญญาณหลายดวงกระจายไปทั่วเมือง ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในการดูแลความสงบเรียบร้อย หากปราศจากวิธีการที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ฟิลินจะบริหารเมืองใต้ดินที่มีหลากเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่รวมกันนี้ให้กลายเป็นสถานที่ที่ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และมีชีวิตที่มั่นคงและเป็นสุข

ทันทีที่เห็นอังเกอร์ ใบหน้าของฟิลินก็แสดงสีหน้าเสแสร้งและยิ้มอย่างประจบประแจงออกมาทันที เขาสาวเท้าเล็กๆ วิ่งอย่างรวดเร็วมาหยุดตรงหน้าอังเกอร์ และพูดอย่างกระตือรือร้นว่า "ท่านเจ้าข้า ท่านเจ้าข้า ขออภัยที่มารบกวน ข้าน้อยก็ไม่มีทางเลือกจริงๆ จึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากท่าน ก็เพราะสถานีส่งต่อระหว่างโลกปิดตัวลง พวกเราเลยไม่มีช่องทางซื้อเสบียง พยายามประคับประคองมาเกือบพันปีแล้ว อีกไม่นานคงจะสู้ไม่ไหว ข้าน้อยจึงมาเพื่อซื้อเสบียง หวังว่าท่านจะยอมขายอาหารให้พวกเราบ้าง"

ฟิลินค้อมตัว ยกมือขึ้นพนม ท่าทางระมัดระวังเจียมตัว ชี้ไปที่กำไลหนังของอังเกอร์ ไม่เหลือภาพลักษณ์ผู้มีอำนาจในที่ประชุมเมื่อสักครู่แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ไม่รู้สึกว่าเป็นการฝืนทำแต่อย่างใด คนตรงหน้านี้มีตำแหน่งเป็นถึงเทพผู้พิทักษ์ และมีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นร่างประกายของราชาแห่งความเป็นอมตะผู้ปกครองหมื่นภพ ตามตำนาน การถ่อมตัวลงมาสักหน่อยจะเป็นอะไรไป แค่ได้พูดคุยด้วยก็ถือเป็นเกียรติอันสูงสุดแล้ว

อังเกอร์เอียงคอ มองอีกฝ่ายอย่างงงๆ

ฟิลินนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ จึงพูดต่ออย่างกระจ่างแจ้ง "แลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม แลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม นี่ๆ สิบเม็ดหินวิญญาณ ช่องทางเดินทางไม่ได้เปิดมาตั้งพันปีแล้ว ไม่รู้ว่ายังเป็นราคาเดิมอยู่หรือเปล่า แต่ก่อนเคยเป็นเม็ดหินหนึ่งเม็ดแลกอาหาร 200 กิน"

ฟิลินพูดไปด้วยหยิบเม็ดคริสตัลสีดำสิบเม็ดจากอกในเสื้อยื่นให้อังเกอร์ไปด้วย

หินวิญญาณ? นั่นคืออะไรกัน เหมือนกับหินคริสตัลที่ใช้เปิดเสากระโดงหรือเปล่า อังเกอร์คิดอย่างสงสัย พร้อมยื่นมือรับมันมา

พอเอามาถือไว้ อังเกอร์ก็รู้ทันทีว่ามันใช้ทำอะไร

หินวิญญาณ ผลึกที่รวมพลังงานของวิญญาณ เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันในหมู่เหล่าอสูร

สิ่งของที่ใช้แลกเปลี่ยน สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะใช้ต่างกัน มนุษย์ชอบใช้โลหะมีค่า นักเวทย์ชอบใช้คริสตัลเวทมนตร์ ส่วนเหล่าคนที่เป็นอมตะชอบใช้หินวิญญาณ เพราะหินวิญญาณถูกรวมขึ้นจากพลังงานวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีไว้ใช้จ่ายและยังกินได้ด้วยเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณ

แน่นอนว่าพลังวิญญาณใช้ได้เฉพาะกลุ่มคนที่เป็นอมตะ ดังนั้นหินวิญญาณจึงหมุนเวียนเฉพาะในหมู่คนที่เป็นอมตะเท่านั้น

อังเกอร์พอจับแล้วก็รู้วิธีใช้ทันที เหมือนที่มนุษย์เห็นน้ำก็รู้ว่าดื่มได้ อังเกอร์มองหินวิญญาณในมือ แล้วหันไปมองสายรัดข้อมือหนังบ้าง จากนั้นบีบหินวิญญาณ ใช้สัมผัสกับสายรัดแล้วเริ่มหลอมรวม

หินวิญญาณสิบเม็ดกลายเป็นพลังวิญญาณ โดยส่วนใหญ่ถูกสายรัดดูดซึม พอดูดซึมพลังงานเสร็จ สายรัดก็เปล่งแสง ดวงจิตของอังเกอร์ถูกดึงไปยังอีกที่หนึ่งอย่างฉับพลัน

พอได้สติ ปรากฏว่าตัวเองมาอยู่ตรงซุ้มประตูใกล้ๆ ฟาร์มที่วิหารอันเซียน อังเกอร์ถูกส่งตัวกลับมาแล้ว

แต่สิ่งที่กลับมาคือดวงจิตเท่านั้น ไม่มีร่างกาย ใจคิดตามจิตปรารถนา อังเกอร์นึกถึงทุ่งนาในใจ เพียงแวบเดียวดวงจิตก็ไปโผล่ที่ทุ่งนาแล้ว

ท้องทุ่งว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย แม้แต่เสียงนกร้องที่เคยดังจ้อกแจ้กก็ไม่มี นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ไม่มีอะไรแตกต่างจากตอนที่เขาจากไป

พอนึกถึงยุ้งฉาง ดวงจิตก็วูบไปที่ยุ้งฉางทันที มองดูยุ้งฉางที่เต็มไปด้วยเมล็ดพืช อังเกอร์นึกถึงฟิลินขึ้นมา เขาใช้หินวิญญาณมาแลกอาหาร จะเอาอาหารพวกนี้ออกไปให้เขาได้อย่างไร

เพียงคิดเท่านั้น ถุงเมล็ดพืชที่อยู่ในสายตาก็หายไปทีละถุงๆ หนึ่งถุง สองถุง สามถุง... กระทั่งหายไปถึง 45 ถุงเต็ม อังเกอร์จึงรู้สึกถึงแรงต้าน ถุงเมล็ดพืชจึงหยุดหายไป

พวกมันหายไปไหน? อังเกอร์ขยับความคิด ดวงจิตก็ถอยกลับมา พอได้สติ เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่ในวงกลมที่เกิดจากถุงเมล็ดพืช ล้อมรอบตัวเขาไว้ ด้านนอกวงกลมคือฟิลินที่หัวเราะจนตาหยี

"45 ถุงเต็มๆ แม้จะน้อยกว่าแต่ก่อน 5 ถุง แต่ก็ถือว่าปกติมาก เวลาผ่านไปตั้งพันปี ขึ้นราคาแค่ 10% เอง ช่างใจดีจริงๆ ข้าจะให้คนมาขนกลับไปเดี๋ยวนี้"

ฟิลินกลัวจะพลาดโอกาส จึงเรียกโครงกระดูกมาหนึ่งทีม มาขนคนละหนึ่งถุง แล้วอัดเมล็ดพืชทั้ง 45 ถุงไปในครั้งเดียว

บรรยากาศรอบข้างที่กลับมาเงียบสงบ อังเกอร์นึกถึงคำพูดของฟิลินขึ้นมา น้อยไป 5 ถุงงั้นหรือ?

หินวิญญาณส่วนใหญ่ถูกสายรัดดูดซับไป แต่ก็มีส่วนน้อยที่อังเกอร์ดูดไป หรือเพราะขาดส่วนนี้ไป จึงได้น้อยกว่า 10 ถุง? เขาสำรวจวิญญาณของตัวเองดู ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นนิดหน่อย

อังเกอร์เอียงคอ โยนความสงสัยนี้ทิ้งไปก่อน เขารวมดวงจิตกลับไปที่สายรัดอีกครั้ง ตามความปรารถนาของเขา สายรัดก็เปล่งแสงอีกครั้ง แล้วดูดดวงจิตของเขาเข้าไปอย่างรวดเร็ว

หรือเพราะสายรัดดูดซับพลังงานจากหินวิญญาณไป เขาถึงได้กลับมาที่นี่ได้ตลอดเวลา?

ดวงจิตของอังเกอร์กลับไปที่ฟาร์มและยุ้งฉางอีกครั้ง แต่เขาไม่สามารถเอาถุงเมล็ดพืชออกไปได้อีกแล้ว แต่ก้อนหินบางอันสามารถเอาออกไปได้ หลังจากทดลองไปหลายครั้ง เขาตระหนักว่า พลังงานจากหินวิญญาณที่ฝังเข้ากับสายรัด น่าจะสัมพันธ์กับน้ำหนัก เมื่อเคลื่อนย้ายน้ำหนักที่สอดคล้องกันแล้ว ก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้อีก

แต่หากเหลืออีกไม่ถึงถุงเดียว จึงสามารถเคลื่อนย้ายหินที่มีน้ำหนักน้อยกว่าได้

อังเกอร์เดินไปๆ มาๆ รอบๆฟาร์มอันที่จริงมันก็มีแค่นี้ ในช่วงพันกว่าปีนี้ เขาได้สำรวจทุกซอกทุกมุมจนคุ้นเคยดี เล่นแค่พักเดียวก็เบื่อแล้ว พอคิดจะถอยออกมา สายตาของเขาก็เหลือบไปมองวิหารสงบจิตตามความเคยชิน

วิหารสงบจิตนั้นยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ แม้องค์จักรพรรดิจะหายสาบสูญไปกว่าพันปีแล้ว ที่นั่นก็ยังคงเป็นดินแดนต้องห้ามที่อังเกอร์ไม่อยากย่างกรายเข้าไป ที่ผ่านมาเพราะถูกบีบจนหมดหนทาง เขาจึงจำต้องเข้าไปตามหาซากศพที่ใช้ได้ แต่ก็ยังคงกล้าๆ กลัวๆ ค้นหาแค่บริเวณชายขอบ ไม่กล้าเข้าไปลึกเลย

แต่ตอนนี้เขาสามารถควบคุมความคิดให้เคลื่อนที่ไปไหนก็ได้แล้ว งั้นลองเข้าไปในห้องลับของวิหารสงบจิตดูหน่อยดีไหมนะ? ความคิดท้าทายผุดขึ้นในใจอังเกอร์

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด