ตอนที่แล้วบทที่ 7 ผู้พิทักษ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 การแลกเปลี่ยน

บทที่ 8 ภัยพิบัติอสูรกาย


อังเกอร์จูงซอมบี้ตัวน้อยเดินลงไปตามถนน ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเห็น 'ผู้คน' มากมาย และในคนเหล่านั้นมีโครงกระดูกและซอมบี้จำนวนมาก พวกมันบ้างก็แบกตะกร้าไม้ขนของ บ้างก็หมุนเครื่องโยกน้ำ ทำงานซ้ำๆ เช่นนี้

ในร่างของโครงกระดูกและซอมบี้เหล่านี้ อังเกอร์เห็นเงาของตัวเองในนั้นด้วย เขาเองก็เป็นโครงกระดูกที่ทำงานซ้ำๆ แบบนั้น นั่นคือการปลูกผัก

ด้วยการมีอยู่ของโครงกระดูกและซอมบี้เหล่านี้ ทำให้อังเกอร์และซอมบี้ตัวน้อยดูไม่เป็นที่สะดุดตาของ 'ผู้คน' ตามท้องถนน อันที่จริงไม่แม้แต่จะมองพวกเขาเลยสักนิด ต่างคนต่างยุ่งอยู่กับตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไม ใบหน้าของทุกคนจึงฉายแววกังวลใจ

นี่เป็นครั้งแรกที่อังเกอร์พบว่าในโลกนี้มี 'คน' หลากหลายเผ่าพันธุ์ขนาดนี้ มีทั้งมนุษย์ปกติ มีคนที่มีหัวเป็นวัว มีคนถ้ำที่แขนยาวกว่าขาและเดินสี่ขา มีปีศาจสาวที่มีกีบแพะแต่รูปร่างเซ็กซี่สุดๆ มีสารพัดคนแปกประหลาดจนนับไม่ถ้วน

แน่นอนว่าจำนวนที่มากที่สุดยังคงเป็นโครงกระดูกและซอมบี้ แทบทุกงานที่ต้องทำซ้ำๆ ล้วนแล้วแต่ถูกทำโดยโครงกระดูกและซอมบี้ เช่น เครื่องโยกน้ำ แบกน้ำ และขนย้ายของ

อังเกอร์จูงมือซอมบี้ตัวน้อยเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ยิ่งเดินไปก็ยิ่งห่างเหิน ยิ่งเดินไปคนก็ยิ่งน้อยลง ในที่สุด อังเกอร์ก็พบพื้นดินนุ่มๆ แห่งหนึ่งในมุมเปลี่ยวร้างของพื้นที่ใต้ดินอันซับซ้อนแห่งนั้น จึงหยุดลงที่นั่น

สาเหตุที่หยุดลงเพราะดินที่นี่ร่วนซุย อุดมสมบูรณ์ และชุ่มชื้นมาก ในฐานะโครงกระดูกปลูกผัก อังเกอร์มีความรู้สึกไวต่อดิน เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าดินแบบไหนปลูกอะไรได้บ้าง

ดินที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก แต่เปียกชื้นเกินไป และก็ไม่มีแสงแดด

แม้แต่ฟาร์มในวังสงบจิตยังมีแสงแดด แต่ใต้ดินนี้ไม่มี อย่างไรก็ตาม การไม่มีแสงแดดไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีพืชพรรณ บนผนังหินที่ขอบพื้นราบมีมอสส์เรืองแสงชนิดหนึ่งเกาะอยู่

สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้อังเกอร์แปลกใจ ในเมื่อแม้แต่หินบนดินที่ไม่มีใครสนใจยังเกิดมอสส์ได้ นับประสาอะไรกับใต้ดินที่แค่ไม่มีแสงแดดเท่านั้น

หลังจากถูกส่งมาที่นี่นานหลายเดือน อังเกอร์ไม่ได้ปลูกอะไรมานานแล้ว พอเห็นดินร่วนซุยและพืชที่สามารถเติบโตได้ สัญชาตญาณการปลูกผักที่ฝังลึกในวิญญาณจึงอดใจไม่ไหว

ไม่มีแสงแดด ก็ไม่จำเป็นต้องหลบแดด ไม่มีลมแห่งชีวิต ก็ไม่ต้องขุดหลุม อังเกอร์ที่หยุดอยู่จึงเริ่มเล่นกับมอสส์ เก็บมอสส์ที่เรืองแสงนี้จากที่ต่างๆ

ขณะที่อังเกอร์กำลังเก็บมอสส์อยู่นั้น ห้องประชุมใต้ดินก็เกิดการโต้แย้งกันอย่างเผ็ดร้อน

ผู้ที่โต้แย้งกันหลักๆ คือสองคน นั่นคือปีศาจสาวลีน่าและคนแคระใต้ดินไคลก สาเหตุของการโต้แย้งคืออายส์เคไม่สามารถซื้อธัญพืชได้ ประชากรใต้ดินจึงต้องเผชิญกับสถานการณ์เป็นตายเท่ากัน พวกเขาจำเป็นต้องตัดสินใจครั้งสุดท้าย

ลีน่าพูดอย่างโกรธเคืองว่า "ข้อเสนอของเจ้านั่นไม่มีมนุษยธรรม ไร้มนุษยชาติ และไม่มีศีลธรรม การไล่ผู้คนเหล่านี้ออกไปในป่า พวกเขาต้องตายแน่ นี่เท่ากับการฆ่าคน!"

ไคลกพูดอย่างสบายๆ ว่า "ข้าไม่ใช่มนุษย์ แล้วจะมีมนุษยธรรมได้ยังไง การไล่คนบางส่วนออกไป ก็เพื่อให้คนอีกส่วนหนึ่งอยู่รอด นี่ไม่ใช่เรื่องที่มีศีลธรรมที่สุดหรอ ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ปีหน้าตอนนั้น พวกเราทั้งหมดจะอดตาย"

ลีน่าโกรธจัด เขาเอ่ยออกไปว่า "นี่มันแก้ตัวชัดๆ เจ้าจะไปมีสิทธิ์อะไรไปกำหนดว่าจะไล่ใครออกไป ไล่ออกไปกี่คน แล้วจะให้ใครอยู่รอด เจ้าไม่มีอำนาจแบบนั้น"

ไคลกพูดอย่างราบเรียบว่า "ไม่ใช่ข้าที่จะตัดสินใจว่าจะไล่คนออกไปเท่าไหร่ แต่เป็นอาหารต่างหากที่จะตัดสิน อาหารที่เรามีจะเลี้ยงคนได้เท่าไหร่ ที่เหลือก็ไล่ออกไปให้พวกเขาเอาตัวรอดกันเองนั่นแหละ ไม่อย่างนั้น พออาหารหมด พวกเขาทั้งหมดก็ต้องตาย"

ลีน่ากล่าวว่า "เราพยายามให้มากกว่านี้ได้ ทำให้ตะเกียงวิเศษส่องสว่างนานกว่านี้ พวกเราไปเติมพลังเวทย์ให้มันมากขึ้น ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ต้องผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้แน่"

"ปีนี้ผ่านไป แล้วปีหน้าล่ะ?" ไคลกพูดอย่างไม่ใส่ใจ "โลกนี้รองรับประชากรได้ไม่มากอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะสถานีเปลี่ยนโลกของจักรวรรดิอมตะ ความมั่งคั่งที่มันทิ้งไว้ทำให้พวกเราอยู่รอดมาได้อีกพันปี ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ไม่สามารถสู้ไหวจริงๆ แล้ว พวกเราไม่ควรต่อต้านชะตากรรมแบบนี้ ปล่อยให้มันกลับคืนสู่ชะตาดั้งเดิมที่ควรจะเป็นเถอะ"

เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ไคลกพูดเสริมว่า "ตอนนี้เราไล่ประชากรระดับล่างออกไป ยังพอคัดเลือกได้ เก็บผู้มีความสามารถระดับสูงไว้ให้มากขึ้น พอธัญพืชหมดแล้ว ต่อให้อยากคัดเลือกใครไว้ก็ทำไม่ได้แล้ว พ่อมดผู้สูงศักดิ์จะต้องอดตายเหมือนคนถ้ำ คนแคระวิศวกรผู้ฉลาดเฉลียวจะเน่าเปื่อยเหมือนปีศาจสาวที่มีดีแต่ยั่วยวนใจคน นั่นต่างหากคือการสูญเปล่าที่แท้จริง"

ถกเถียงเรื่องงานยังไม่วายเหยียบปีศาจสาวไปด้วย ลีน่าโกรธจัดจนหน้าเปลี่ยนสีไปเลย หันไปพูดกับฟิลินว่า "ท่านฟิลิน ข้อเสนอของไคลกช่างไร้สาระและโหดร้ายเกินไป ได้โปรดใช้อำนาจยับยั้งไคลก “หนึ่งเสียงของท่านปฏิเสธข้อเสนอนี้เถิด”

ฟิลินพยักหน้า "ใช่ นี่มันโหดร้ายเกินไปจริงๆ แต่ลีน่า หากเป็นข้าล่ะก็ ข้าจะแนะนำให้ปลุกวิบัติภัยอสูรกายขึ้นมานะ"

"อะไรนะ!?" เสียงของฟิลินเพิ่งจะเงียบลง ไม่ใช่แค่ลีน่าและไคลก แต่ทุกคนในที่ประชุมต่างก็ตื่นตกใจ

ตามชื่อ ภัยพิบัติอสูรกายก็คือการที่อสูรกายลุกฮือขึ้นมาทำให้ทุกคนกลายเป็นอสูรกายด้วยกันหมด นั่นก็คือการสังหารทุกสิ่งมีชีวิตในใต้ดิน ซึ่งโหดร้ายยิ่งกว่าความคิดของไคลกที่ต้องการจะไล่คนส่วนหนึ่งออกไปเสียอีก

แถมเขายังทำได้จริงๆ ด้วย สิ่งมีชีวิตไม่ตายทั้งหมดในเมืองล้วนอยู่ใต้บังคับบัญชาของฟิลิน เพียงแค่ฟิลินคิดขึ้นมานิดเดียว ภัยพิบัติอสูรกายก็เกิดขึ้นได้แล้ว

ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างคิดว่าตัวเองฟังผิด โดยเฉพาะลีน่าที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านฟิลินผู้ยิ้มแย้มใจดีและเป็นมิตรมาตลอดจะพูดเรื่องน่ากลัวเช่นนี้ออกมา ปีศาจสาวจึงพยายามหาเหตุผลให้เขาด้วยสัญชาตญาณ "ท่านฟิลินหมายความว่า จะเปลี่ยนทุกคนให้กลายเป็นผู้วิเศษใช่ไหม?"

ฟิลินส่ายหน้า "ไม่มีวัตถุดิบมากขนาดนั้นหรอก ถ้ามากที่สุดก็เปลี่ยนได้สามถึงห้าคนเท่านั้น ไม่มีความหมายอะไรนัก"

"งั้นท่านหมายความว่ายังไงเหรอครับ?" ไคลกถามอย่างระมัดระวัง เขายอมรับการขับไล่คนบางส่วนได้ เพราะยังไงก็ไม่ถึงคิวเขาอยู่ดี แต่ถ้าเป็นภัยพิบัติอสูรกาย เขาก็ต้องไปแย่งโควตาเปลี่ยนแปลงสามถึงห้าคนกับคนอื่นๆ ด้วย

ฟิลินถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหนักใจ ก่อนถามด้วยสำเนียงจริงจังว่า "พวกท่านรู้ไหมว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกใต้ดินจนถึงทุกวันนี้คืออะไร?"

หัวข้อการพูดคุยกระโดดข้ามประเด็นกันไปใหญ่ ทุกคนหน้างงส่ายหน้ากันใหญ่

"มันคือบรรยากาศแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขต่างหาก ตอนที่ทุกคนเพิ่งมาถึงที่นี่ คนหัววัวกับคนแคระยังเป็นศัตรูกัน ปีศาจสาวยังเป็นทาสของมนุษย์ หลายเผ่าพันธุ์ยังเป็นอาหารของกันและกัน พวกท่านรู้ไหมว่าเมื่ออาหารหมดแล้ว ผู้คนที่หิวโหยจะทำอะไร?"

บางคนเดาออกแล้วว่าฟิลินจะพูดอะไร สีหน้าของพวกเขาจึงดูหนักอึ้ง นี่เป็นความเป็นไปได้ที่พวกเขาไม่เคยคิดถึงมาก่อนจริงๆ

"พวกเขาจะเอาลูกวัวแรกเกิดของป้าวัวข้างบ้านมาล้างให้สะอาด แล้วโยนลงหม้อ จะเอาคนแคระมาร้อยเป็นเนื้อเสียบโรยเครื่องปรุงแล้วยัดเข้าเตาอบ จะตัดกีบเท้าปีศาจสาวมาต้มน้ำแกง"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด