ตอนที่แล้วบทที่ 6 เมืองใต้ดิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 8 ภัยพิบัติอสูรกาย

บทที่ 7 ผู้พิทักษ์


"ผู้พิทักษ์" งั้นหรอ? มันมาจากไหนกันล่ะ? อังเกอร์เอียงศีรษะมองแม่มดเฒ่าฟิลินด้วยสายตาที่งุนงง

อังเกอร์กำลังรู้สึก 'งุนงง' แต่เขาเป็นเพียงโครงกระดูก ดวงตาของเขาไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ แต่ในเวลาเดียวกันในสายตาของแม่มดเฒ่าฟิลินท่าทาง ‘เอียงศีรษะมองมนุษย์' ของอังเกอร์ดูเหมือน 'กำลังโกรธ’ มากกว่า ทำเอาแม่มดเฒ่าฟิลินตกใจปฎิกิริยาของตอบสนองทันที รีบปิดปากตัวเองแน่น

"ข้าไม่ได้พูดอะไร ข้าไม่รู้อะไรเลย" พลันเอามือปิดปากเอาไว้ เสียงของฟิลินเลยฟังดูอู้อี้ แต่ดวงตาที่เคยหมองคล้ำกลับฉายแววระยิบระยับ ราวกับมีแสงแห่งความหวังส่องประกาย

พฤติกรรมประหลาดของฟิลินทำให้อังเกอร์ยิ่งงงงวย เขายืนอึ้งอยู่ที่เดิมมองท่าทีประหลาดนี้

ท่าทาง'อึ้ง' นี้ กลับมีความหมายอีกอย่างในสายตาของฟิลิน นั่นคือ ความไม่พอใจ ท่านผู้พิทักษ์กำลังไม่พอใจอย่างยิ่ง

ใจของฟิลินหวั่นไหว เขารู้ตัวว่าเสียกิริยาไป รีบขยี้ใบหน้าให้สีหน้าท่าทางกลับมาปกติ แล้วเก็บไม้เท้าวิเศษที่ตกอยู่บนพื้น จัดเรียงเสื้อผ้าให้เข้าที่ ท้ายที่สุดเขายืดหลังตรงขึ้น แม้สีหน้าจะยังดูประหม่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นท่าทีที่เสียกิริยาเมื่อครู่แล้ว

ขณะเดียวกันอายส์เคที่กลับมาจากทางเข้า อุทานด้วยความประหลาดใจ "เกิดอะไรขึ้น? แม่มดเฒ่า นี่ก็แค่เด็กน้อยนะ อย่าบอกนะว่าท่านถึงกับตกใจ?"

เด็กน้อย? ในใจฟิลินระส่ำ เขาแอบมองอังเกอร์อย่างระวัง เมื่อเห็นว่าอังเกอร์ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก พลันปากก็พูดออกไปว่า "เป็นเพียงโครงกระดูกเงียบๆ ตนหนึ่งงั้นหรอ"

เขาพูดพลางถอยไปข้างๆ แล้วตะโกนในใจว่าเด็กน้อยหรอ? อายุเขาอาจจะมากกว่าปู่ทวดของแกหลายชั่วโคตรเลยนะ แกยังกล้าเรียกเขาว่าเด็กน้อยอีก!!

พฤติกรรมประหลาดของฟิลินทำให้ซอมบี้น้อยรู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบเดินไปหาอังเกอร์

อายส์เคจับตามองฟิลินอย่างสงสัย แต่ไม่พบอะไรผิดปกติ จึงหันไปพูดกับอังเกอร์ว่า

"ไม่ต้องกลัว แม่มดเฒ่าฟิลินเป็นคนดี แต่พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์จึงมีการกดดันจิตวิญญาณระหว่างกัน แค่ต้องทำตัวให้เคยชิน ผ่านประตูนี้เข้าไป ก็จะพบกับเมืองใต้ดินของพวกเรา ที่นี่ปลอดภัยมาก ไม่มีผู้ล่าอะไรนัก ตราบใดที่เจ้าไม่เข้าไปโจมตีคนอื่น ก็จะไม่มีปัญหา และอยู่ที่นี่ได้จนกระดูกผุพัง หาที่เหมาะๆที่เจ้าชอบแล้วอยู่เองเถอะ มีอะไรก็มาหาข้า..."

อายส์เคพูดรัวยาวเหยียด พร้อมพาอังเกอร์เดินไปในระยะทางที่ไกลพอสมควร

ฟิลินปาดเหงื่อเย็นๆที่อยู่บนหน้าผาก ถอนหายใจยาวๆ แต่อีกไม่นานก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาอีกครั้ง ผู้พิทักษ์ปรากฏตัวแล้ว เมืองใต้ดินของพวกเรายังมีหวังรอด!

หากฟิลินไม่ใช่แม่มดเฒ่าที่มีชีวิตมานับพันปี หากเขาไม่เคยทำงานในสถานีส่งต่อระหว่างโลก อาจจะไม่รู้จักผู้พิทักษ์เลย

ผู้พิทักษ์เป็นผู้ดูแลช่องทางส่งผ่าน เป็นผู้สังเกตการณ์และผู้ปกป้องโลก นี่ไม่ใช่ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงคำเรียกที่พวกผู้รู้เรื่องในสถานีส่งต่อระหว่างโลกใช้เรียกกันตามสะดวก และยังไม่ได้รับการยอมรับจากผู้พิทักษ์

ท่านผู้พิทักษ์ไม่มีรูปลักษณ์ตายตัว บางครั้งเป็นโครงกระดูก บางครั้งเป็นซอมบี้ หรือแม้กระทั่งวิญญาณ แต่ลักษณะร่วมคือ พวกเขาทุกคนมีเครื่องประดับหนังวิเศษหนึ่งชิ้น

รูปลักษณ์ไม่คงที่ หมายความว่ารูปร่างเหล่านั้นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผู้พิทักษ์ แต่เป็นการฉายจิตสำนึก ผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังฉายภาพจิตสำนึกไปยังร่างชั่วคราวที่อื่น เพื่อสังเกตและปกป้องสถานีส่งต่อระหว่างโลก

ด้วยเหตุนี้ลักษณะของร่างชั่วคราว และพลังของผู้พิทักษ์จึงไม่ได้แข็งแกร่งมาก บางครั้งจะถูกพวกกลุ่มพ่อค้าปีศาจจอมซนสังหารและเอาชีวิต แต่ไม่เป็นไร นั่นเป็นแค่ร่างชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้พิทักษ์ กลับกลายเป็นพวกที่คิดจะสังหารร่างชั่วคราวต้องเผชิญกับความโกรธแค้นของผู้พิทักษ์

แต่เรื่องที่น่าโมโหที่สุดคือครั้งหนึ่งเมื่อประตูระหว่างโลกถูกเชื่อมต่อ ทีมอัศวินดำที่แข็งแกร่งถูกส่งมาถึงสิบสองคน พวกเขาฆ่าล้างบางกลุ่มพ่อค้าปีศาจจอมซนทั้งสี่ร้อยคนจนหมดสิ้น

หลังจากนั้น ไม่มีใครกล้าฆ่าโครงกระดูกและซอมบี้ทั้งที่ดูไม่มีพิษมีภัยอย่างไม่ยั้งคิดอีกเลย เว้นแต่โครงกระดูกและซอมบี้จะเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน ผู้คนจำนวนมากพูดว่า ผู้พิทักษ์นั้นน่าจะเป็นภาพสะท้อนของฝ่าบาท ไม่อย่างนั้นแล้วจะสั่งการอัศวินดำทั้งหมดได้อย่างไร

แน่นอน เรื่องนั้นเกิดขึ้นเกือบพันปีมาแล้ว นับตั้งแต่โลกแห่งการสัญจรปิดตัวลง โลกแห่งความตายที่แห้งแล้งและรกร้างนี้ก็ค่อย ๆ กลับสู่ระดับที่ควรจะเป็น

เมื่อไม่มีการค้าผ่านจักรวรรดิอมตะ เศรษฐกิจที่นี่ก็ถดถอย ผลผลิตอาหารลดลง ประชากรลดลงอย่างฮวบฮาบ ผู้คนที่เหลืออยู่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองใต้ดินไม่กี่แห่งเพื่อยื้อชีวิต

แต่ตอนนี้ แม้แต่การยื้อชีวิตก็อาจทำไม่ได้แล้ว ผลผลิตอาหารในเมืองใต้ดินลดลงทุกปี แม้แต่ประชากรห้าพันกว่าคนในปัจจุบันก็อาจจะเลี้ยงไม่ไหว หากไม่มีแหล่งอาหารใหม่ เมืองใต้ดินอาจต้องปล่อยให้ผู้คนสองในสามอดตาย

นี่เป็นหายนะด้านมนุษยธรรมที่น่ากลัวมาก ฟิลินพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยง เขาส่งคณะทูตไปขอซื้อธัญพืชจากเมืองใต้ดินอื่น ๆ หลายคณะ แต่ทุกคณะก็ถูกปฏิเสธโดยไม่มีข้อยกเว้น

นี่เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่แค่เมืองใต้ดินของพวกเขาเท่านั้นที่ขาดแคลนอาหาร เมืองใต้ดินอื่น ๆ ก็ขาดแคลนเช่นกัน หากขายให้ผู้อื่นก็จะทำให้ตนเองอดตาย

หากเป็นสถานการณ์ปกติ ฟิลินคงจะประกาศระดมพลไปแล้ว ใช้กำลังทั้งหมดของเมืองใต้ดินไปช่วงชิงอาหารของผู้อื่นมา

อย่างไรก็ตาม สายลมแห่งชีวิตได้ขัดขวางไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ไม่มีเมืองใต้ดินใดสามารถฝืนกระแสลมนี้เพื่อก่อสงครามได้

เมื่อเส้นทางสงครามใช้ไม่ได้ ตัวเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่คงมีแต่ภัยพิบัติแห่งความตายนิรันดร์เท่านั้น

ทว่าในช่วงเวลาสำคัญนี้ ผู้พิทักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้น นี่หมายความว่าอย่างไร นี่หมายความว่าสถานีผ่านโลกอาจจะเปิดใหม่อีกครั้ง

แม้ไม่เปิดใหม่ ด้วยความสามารถของท่านผู้พิทักษ์ การแก้ไขปัญหาอาหารไม่เพียงพอก็คงเป็นเรื่องง่ายดาย พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปถึงขั้นสุดท้าย

คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของฟิลินก็เต็มไปด้วยแววแห่งความหวัง ธาตุลมพัดพาร่างของเขาลอยเข้าไปในเมืองใต้ดินโดยที่เท้าไม่แตะพื้น

หลังจากเดินผ่านอุโมงค์มืดครึ้ม สายตาก็พลันสว่างโล่ง พื้นที่ใต้ดินอันกว้างใหญ่ทอดตัวลาดเอียงลงเล็กน้อย บ้านเรือนจำนวนมากถูกขุดเจาะตามความลาดชัน ตั้งเรียงรายตามถนนสายหลักสองสาย

มีตะเกียงน้ำมันจุดให้แสงสว่างเป็นระยะ ๆ ตามแนวถนน สิ่งมีชีวิตหลากหลายเดินทางผ่านไปมา สนทนากันอย่างขะมักเขม้น เป็นภาพที่ดูคึกคักยิ่งนัก

อายส์เคที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหันกลับมามองอังเกอร์แล้วกล่าวว่า "เอาล่ะ เมื่อมาถึงที่นี่แล้วเจ้าก็ปลอดภัยแล้ว ตราบใดที่ไม่ไปทำร้ายใคร ก็จะไม่มีใครมาทำร้ายเจ้า ถ้าอย่างนั้น ก็ขอให้จิตวิญญาณของเจ้าสงบสุขแล้วกัน แล้วพบกันใหม่"

พูดจบอายส์เคก็ขึ้นกระเช้าไม้แล้วเลื่อนไปตามหน้าผาฝั่งตรงข้าม แม้เขาจะได้พบกับฟิลินแล้ว แต่เมืองใต้ดินก็มีผู้ปกครองคนอื่น ๆ ไม่ใช่แค่ฟิลินคนเดียว เขาจำเป็นต้องไปรายงานสถานการณ์ให้ผู้ปกครองคนอื่น ๆ ทราบด้วย

อังเกอร์และซอมบี้ตัวน้อยถูกทิ้งไว้อย่างนั้น พวกเขามองตามอายส์เคที่เลื่อนห่างออกไปบนกระเช้าอย่างงุนงง

เสียงกุกกักดังขึ้น อังเกอร์หันไปมอง เห็นโครงกระดูกสีขาวตัวหนึ่งแบกตะกร้าไม้ไผ่ที่บรรจุถ่านหินเดินขึ้นมาตามขั้นบันได

ซอมบี้ตัวน้อยมองด้วยดวงตาที่สว่าง อ้าปากกว้างพร้อมจะกระโจนเข้าใส่ ตอนอยู่ที่ทะเลแห่งผู้วายชนม์ มันออกไปล่าโครงกระดูกทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ วันนี้เดินทางมาทั้งวันโดยไม่ได้กินอะไรเลย มันจึงหิวโหยมานานแล้ว

อังเกอร์คว้าปกเสื้อของมันไว้ ขัดขวางการเคลื่อนไหวของมัน อังเกอร์เคยพูดหลายครั้งแล้วว่า 'ห้ามโจมตีคนอื่น' หมายถึงโครงกระดูก และเขาน่าจะนับรวมถึงมนุษย์ด้วย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด