ตอนที่แล้วบทที่ 5 หมอผี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 7 ผู้พิทักษ์

บทที่ 6 เมืองใต้ดิน


แม้ว่าเสาหินจะเปล่งประกายแล้ว แต่ม่านแสงกลับไม่ปรากฏ อายส์เคเดินวนรอบเสาหินสองสามรอบ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถอดเอาคริสตัลพวกนั้นออก แสงจากเสาหินก็ริบหรี่ลง

อังเกอร์มองจากที่ไกลๆ เห็นความพยายามของอายส์เคล้มเหลว เขาก้มลงมองกำไลหนังที่ข้อมือตัวเอง ครั้งสุดท้ายม่านแสงมันกลายเป็นกำไลหนังที่ข้อมือนี่ หรือจริงๆแล้วมันจำเป็นต้องมีกำไลหนังนี้ถึงจะเปิดประตูมิติได้หรือเปล่านะ?

อังเกอร์มองอีกครั้งตอนที่อายส์เคถอดคริสตัลออก และเสาหินก็กลับมาดับมืดลงอีก อังเกอร์รู้แล้ว ว่ากุญแจสำคัญที่พาเขากลับบ้านได้นั้น น่าจะอยู่ที่คริสตัลพวกนั้น

คริสตัลที่ถอดออกหดเล็กลงกว่าตอนประกอบไปในเสาหิน อายส์เคเป่ามันด้วยความเสียดาย ก่อนจะใส่กลับลงในย่ามข้างเอวตามเดิม

ระหว่างทางกลับ เขาเดินสวนกันกับอังเกอร์ อายส์เคยักไหล่ พูดด้วยสีหน้าไม่ถือสาอะไรปนกวนๆว่า "ล้มเหลวซะแล้ว ยังเปิดไม่ได้อยู่ดี บางทีข้าอาจต้องเรียนรู้วิธีการอยู่รอดของเจ้าก่อนก็ได้นะ"

วิธีการอยู่รอดของข้าน่ะหรือ? ปลูกผักงั้นเหรอ? อังเกอร์เอียงคอ แล้วก็ก้าวเท้าตามไปติดๆ

เห็นอังเกอร์ยังตามมาอยู่ อายส์เคอดหัวเราะไม่ได้ "ยังจะตามมาอีกเหรอ? ตั้งใจจะตามข้ากลับไปเมืองใต้ดินด้วยหรือไง? แต่ก็ดีอยู่หรอก ทุ่งร้างนี่อันตรายมาก ครั้งหน้าที่ข้าลงมา ข้าอาจไม่ได้เห็นเจ้าอีกแล้ว ถ้ามันอยากตามก็ตามมาเถอะ"

อังเกอร์เอียงศีรษะไปมา เขารู้สึกว่าอายส์เคคงเข้าใจผิด ไปเมืองใต้ดินน่ะหรอ? ในเมืองใต้ดินมีคริสตัลสีฟ้าหรือเปล่า?

พอพวกเขาย้อนกลับมาใกล้โพรงที่อังเกอร์อาศัยอยู่ ก็เห็นซอมบี้ตัวหนึ่งคลานอยู่หน้าโพรงของอังเกอร์จากที่ไกลๆ มันกำลังส่งเสียงโหยหวนอยู่

ซอมบี้ตัวเล็กพอตื่นมา พบว่าอังเกอร์หายไป มันก็เลยไม่ออกไปไหนอีก นอนอยู่นอกโพรงพลางส่งเสียงครวญคราง บางทีมันอาจคิดว่า ขอแค่ตัวเองส่งเสียงดังพอ อังเกอร์ก็จะปรากฏตัวขึ้นมั้ง

ดังคาด พอส่งเสียงเรียกร้องอยู่นาน อังเกอร์ก็โผล่มาจริงๆ ซอมบี้ตัวเล็กกระโดดขึ้นอย่างดีใจ ส่งเสียงโหยหวนพลางวิ่งมาหาอังเกอร์ จากนั้นมันก็ไม่เคยยอมห่างเลยเขาเลยสักนิด

อายส์เคก็เดินต่อไป อังเกอร์ก็ยังคงเดินตามไป เพียงแต่มีเงาเล็กๆ ตามหลังมาด้วย ซอมบี้ตัวเล็กเดินไปช้าๆ ตามก้นอังเกอร์อย่างใกล้ชิด

คู่หนึ่งเป็นคนกับม้าโครงกระดูก อีกคู่หนึ่งเป็นกระดูกหนึ่งตนกับซอมบี้ กลุ่มแปลกประหลาดนี้เดินขึ้นไปตามไหล่เขา ไปเรื่อยจนถึงจุดสูงสุด แล้วก้าวข้ามผ่านเขาไป สิ่งที่ปรากฏคือทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา แผ่นดินแห้งแล้งอ้างว้างไร้ขอบเขต

เดินไปข้างหน้าตามทิศทางหนึ่ง จากเช้ายันเย็น ใกล้ถึงเวลาที่สายลมแห่งชีวิตจะพัดมาแล้ว จู่ๆ ข้างหน้าที่ดูเหมือนพื้นที่เรียบสม่ำเสมอ กลับผุดขึ้นมาเป็น 'ร่อง' อย่างกะทันหัน

ประหนึ่งแผ่นดินถูกผ่าให้แยกออกจากกัน เว้าแหว่งลงไป เมื่อเห็น 'ร่อง' แบบนี้ อายส์เคยิ้มระรื่น พูดอย่างตื่นเต้นว่า "ข้านึกว่าจะมาไม่ทัน ต้องนอนข้างนอกอีกซะแล้ว เร่งหน่อย ใกล้ถึงเมืองใต้ดินแล้ว"

ทันทีที่อังเกอร์กับพรรคพวกเข้าสู่บริเวณของ 'ร่อง' ลมบนทุ่งก็ค่อยๆ แรงขึ้น แต่เพราะถูกขอบร่องขวางเอาไว้ ลมในร่องจึงอ่อนลงมาก มันทำหน้าที่กันลมได้เหมือนโพรงใต้ดิน

อังเกอร์เงยหน้ามอง รับรู้ถึงลมเย็นเฉียบที่ปรัดเป่าผ่านศีรษะของเขา ความรู้สึกเยือกเย็นนั้นเข้มข้นกว่าตอนอยู่ในโพรงใต้ดินซะอีก หากนำพลังเย็นยะเยือกแบบนั้นมาหล่อเลี้ยงที่นี่ คงได้ผลดีกว่าที่ในโพรงใต้ดินแน่ๆ

อายส์เคหันมองอังเกอร์อีกที พูดว่า "เดินให้เร็วหน่อย ระวังคือลมแห่งชีวิตพัดร่างเจ้าหายไปเชียวล่ะ"

พูดกำชับเสร็จ โรคชอบคุยคนเดียวของอายส์เคก็กำเริบ เขาพึมพำต่อ "ที่นี่เมื่อก่อนเป็นแม่น้ำสายใหญ่นะ น้ำจากแม่น้ำไหลมาถึงตรงนี้ เจอชั้นหินหลอมเหลว ก็ซึมลงไปใต้ดิน กัดเซาะชั้นใต้ดินให้เป็นโพรงขนาดมโหฬาร เมืองใต้ดินของพวกเราก็สร้างอยู่ในโพรงใต้ดินนั่นแหละ โชคดีที่มีโพรงใต้ดินพวกนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเราป่านนี้คงโดนคือลมแห่งชีวิตพัดตายไปหมดแล้ว"

อายส์เคพูดพึมพำไม่หยุด เขาไม่ได้คาดหวังคำตอบอะไร ตามที่เขาบอก การเดินทั้งวันบนทุ่งร้าง แม้แต่คนคุยด้วยสักคนยังไม่มี เขาเลยเกิดเป็นนิสัยที่ไม่ว่าเจออะไรก็ชอบคุยกับตัวเองไปเรื่อยแบบนี้

ก่อนหน้านี้ มีอะไรก็พูดคุยกับม้าโครงกระดูก ตอนนี้หันมาคุยกับโครงกระดูกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แถมเขายังรู้สึกอีกว่า อังเกอร์โครงกระดูกตัวน้อยนี่ เหมือนจะฟังรู้เรื่องในสิ่งที่เขาพูด อย่างน้อยก็เข้าใจมากกว่าม้าโครงกระดูกโง่ๆ ของเขา

อังเกอร์นิ่งฟังไปเงียบๆ ขณะเดียวกันก็สอดส่องซ้ายขวา คงเป็นเพราะลมแห่งชีวิตถูกขวางเอาไว้ข้างนอก สภาพแวดล้อมในร่องจึงดีกว่าด้านนอกมาก ตามซอกมุมยังมีพุ่มไม้เล็กๆ ต้นหญ้าขึ้นอยู่บนด้านมืดของหิน ยังเห็นแมลงบางชนิดเคลื่อนไหวไปมาเป็นระยะ

ด้านหน้าในพุ่มไม้มีก้อนหินก้อนหนึ่งดึงดูดความสนใจของอังเกอร์ เห็นก้อนหินนั้นมีหมอกควันสีดำที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นพันอยู่รอบๆ พอเห็นอังเกอร์มองมา กลุ่มควันนั้นก็ขยับตัว ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นใบหน้าคน

"นั่นคือ 'หน้าดำ' วิญญาณเร่ร่อนหนึ่งตน เป็นสัตว์เลี้ยงของผีแม่มดแก่ฟิลิน หน้าดำ นี่คือเด็กๆ ที่ข้าพากลับมา อย่าไปทำให้พวกเขากลัวสิ" อายส์เคแนะนำให้รู้จัก จากนั้นก็หันไปพูดกับวิญญาณเร่ร่อนหนึ่งประโยค

ใบหน้าที่รวมตัวจากกลุ่มควัน ตำแหน่งดวงตาโหว่ลึกสองช่อง จ้องที่อังเกอร์กับซอมบี้ตัวเล็กนิ่งสักพัก จากนั้นก็กลายร่างกลับเป็นกลุ่มควันไปหุ้มห่อก้อนหินเหมือนเดิม

เดินต่อไปด้านล่าง ด้านข้างของพื้นร่องมีช่องแยกออกมา กว้างประมาณสิบกว่าเมตร สูงก็สี่ห้าเมตร นั่นคือทางเข้าสู่เมืองใต้ดิน

ตอนนี้ที่ปากทางเข้ามี 'คน' ผอมแห้งมากคนหนึ่งยืนอยู่ กำลังชะโงกหน้าชะโงกตามองมาทางร่องเบื้องล่าง ในมือถือไม้เท้าอันงดงาม

ผิวหนังที่โผล่พ้นเสื้อผ้าของเขาไร้ความเปล่งปลั่งใดๆ เห่อเหี่ยวย่นยับ กล้ามเนื้อก็เหี่ยวแฟบราวกับขาดน้ำ ไร้ความยืดหยุ่น ตาลึกโบ๋ โหนกแก้มสูงเด่น เหมือนศพที่แห้งไปทั้งร่าง

นี่ก็คงเป็นศพแห้งจริงๆ นั่นแหละ เมื่อเห็น 'คน' ผู้นี้ อายส์เคโบกมือทักทายแต่ไกล "เฮ้ ฟิลิน ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ล่ะ? อย่าบอกนะว่ามาต้อนรับข้า นี่มันเกินไปแล้วนะ"

นั่นก็คือเจ้าของวิญญาณเร่ร่อนเมื่อครู่นี้เอง แม่มดแก่ฟิลิน

ฟิลินยิ้มน้อยๆ แสดงสีหน้าเป็นมิตรยิ่ง "หน้าดำบอกว่าท่านกลับมาแล้ว เลยมาดูหน่อย เป็นไงบ้าง? ได้อะไรมาไหม?"

คำถามของผีแม่มดแก่นั้นเลี่ยงความตรงไปตรงมา แต่อายส์เครู้ว่าเขากำลังจะถามอะไร แค่ไม่อยากให้อายส์เครู้สึกกดดันมากเกินไปเท่านั้น

อายส์เคแสร้งยิ้มฝืดๆ ส่ายหน้าและกล่าวว่า "ไม่มี พวกเขาก็ขาดแคลนธัญพืช ไม่ยอมขาย"

ฟิลินพยักหน้าอย่างผิดหวังเล็กน้อย "มันก็ปกตินั่นแหละ ที่ดินที่ปลูกธัญพืชได้มีน้อยลงทุกที ไม่มีบ้านไหนไม่ขาดแคลนธัญพืช ถ้าขายให้เราส่วนหนึ่ง พวกเขาคงต้องอดตาย ท่านไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องนี้หรอก นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน"

อายส์เคหัวเราะแห้งๆ ปนเสียงแหบๆ "ยังไงซื้อธัญพืชไม่ได้อยู่ดี เลยผ่านไปที่ทะเลแห่งผู้วายชนม์ด้วย แต่ประตูเชื่อมโลกก็ยังเปิดไม่ได้เลย นอกจากนี้คริสตัลเวทย์ก็หดเล็กลงไปอีกชั้น"

ฟิลินฟังแล้วหรี่ตาเล็กลง เขารู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง "ยังเปิดไม่ได้อยู่ดีเหรอ? แบบนี้ก็ปกติแหละ ตั้งพันปีแล้ว ไม่รู้ว่าในวังสงบจิตจะเป็นยังไงบ้าง หวังว่าพระองค์คงทรงสงบสุข คริสตัลเวทย์จะหดก็หดไป ซื้อธัญพืชไม่ได้ เก็บคริสตัลเวทย์ไว้ก็กินไม่ได้หรอก ไม่ต้องใส่ใจมันหรอก ท่านก็เหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ"

คำปลอบประโลมของฟิลินกลับทำให้อายส์เคน้ำตารินขึ้นมา เขาสูดจมูกฟุดฟิด เดินผ่านฟิลินไป แล้วฝืนยิ้มพร้อมพูดว่า "ที่ทะเลแห่งผู้วายชนม์เจอโครงกระดูกไร้เสียง ตัวหนึ่ง มันตามข้ากลับมาเอง เฮะเฮะ ข้าสงสัยเหมือนกันว่ามันฟังที่ข้าพูดรู้เรื่องรึเปล่า เหมือนมีสติปัญญาอย่างไรชอบกล"

คำพูดของอายส์เคทำให้ฟิลินหันสายตามามอง เขาสำรวจอังเกอร์อย่างไม่ใส่ใจนัก จนกระทั่งสายตาเขาไปหยุดที่ข้อมืออังเกอร์ ทั้งตัวของเขาก็สั่นเทิ้มขึ้นมา ตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

ตอนนั้นอายส์เคเดินเข้าไปในปากทางเข้าแล้ว ไม่เห็นอาการที่ผิดปกติของฟิลิน ฟิลินเดินโซเซมาหยุดตรงหน้าอังเกอร์ โยนไม้เท้าอันงดงามทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี ยื่นมือสั่นเทาออกไปเหมือนจะจับมืออังเกอร์ แต่พออีกมือยื่นไปได้ครึ่งทาง ก็พบว่าตัวเองทำไม่ถูกต้อง จึงรีบชักมือกลับ ท่าทางลนลานไม่รู้จะทำยังไงดี

หากอายส์เคยังไม่ได้เข้าไป เห็นท่าทีแม่มดแก่ดูปกติและสงบนิ่งเขากลับมาสภาพแบบนี้ อันที่จริงแม่มดแก่คงตาถลนแน่ๆ

ฟิลินตื่นเต้นจนต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะสงบลง เขาจ้องมองอังเกอร์ด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง แล้วถามขึ้นว่า "ท่าน ท่านเป็นเทพผู้พิทักษ์องค์ใหม่หรือ?"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด